ภายในบริเวณดังกล่าวยังมีอุทยานวาติกันอันงดงาม มีสถานีวิทยุของวาติกัน มีที่ทำการไปรษณีย์วาติกัน สถานีรถไฟวาติกัน ธนาคารวาติกัน และร้านค้าปลอดภาษีทุกชนิด มีคุก มีสำนักพิมพ์ของตนเอง เช่น มีหนังสือพิมพ์ชื่อ โลสเสอร์วาโตเร โรมาโน
นอกจากนี้ก็มีเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นทูตวาติกันประจำอยู่ในประเทศต่างๆ พลเมืองในนครแห่งนี้จะมีสัญชาติวาติกันเฉพาะในขณะที่ ดำรงตำแหน่งหรือเป็นภรรยาของพลเมืองวาติกัน หรือเป็นลูกที่มีอายุไม่เกิน 25 ปีเท่านั้น
เรื่องราวที่ว่าเหตุใดที่แห่งนี้เป็นที่พำนักขององค์สันตะปาปานั้น เห็นทีจะต้องฉายภาพย้อนอดีตไปไกลสมัยยุโรปกลาง ในสมัยนี้คริสต์ศาสนามีอำนาจล้นฟ้าเหนือกษัตริย์ทุกพระองค์ในยุโรป องค์สันตะปาปาจึงจัดได้ว่าเป็นบุคคลมากล้นด้วยบารมี ซึ่งการได้มาของอำนาจนั้น เกิดจากศรัทธาอันแรงกล้าของผู้คนชาวยุโรปที่มีต่อประมุขทางศาสนาของพวกเขา จนทำให้องค์ สันตะปาปาสามารถครอบครองดินแดนตอนกลางของอิตาลี ไว้ทั้งหมดรวมเรียกว่า ปาปาสเตท และมีศูนย์ กลางการปกครองอยู่ที่ วาติกัน กลางกรุงโรม
การที่พระสันตะปาปาในสมัยแรกๆ ทรงมีอำนาจทางโลกล้นฟ้า และเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทางการเมืองมากเกินไป กลุ่มอำนาจรัฐในยุโรปหลายแห่งจึงเริ่มที่จะเล่นเกมต่อต้านพระองค์เพื่อลิดรอนอำนาจลง จนทำให้เขตการปกครองอย่าง ปาปาสเตทหดหายไป และในปี ค.ศ. 1860 ก็เหลือ อยู่แค่รอบๆ กรุงโรมเท่านั้น
จวบจนในปี ค.ศ. 1929 ได้มีการทำสนธิสัญญา ลาเตรัน (Lateran Treaty) ในสมัยมุสโสลินี ผู้นำอิตาลีกับวาติกันให้การรับรองและ คํ้าประกันอธิปไตยของนครรัฐวาติกัน พร้อมทั้งอำนวยความสะดวกสบายอีกหลายๆ อย่าง เพื่อให้นครแห่งนี้สามารถดำรงอยู่ได้ในฐานะรัฐอิสระ เหมาะสมที่จะให้สันตะปาปาปฏิบัติภารกิจ ในฐานะองค์ประมุขของ ชาวคาทอลิกทั่วโลกได้ เหตุที่เรียกสนธิสัญญาลาเตรัน เพราะมีการเซ็นกันที่พระราชวังลาเตรัน
บทบาทขององค์สันตะปาปา จึงได้เปิดกว้างขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และนครแห่งนี้กลายมาเป็นที่มีผู้คนจากทั่วโลก พากันไปเยือนไม่ตํ่ากว่าปีละ 10 ล้านคน
หลังจากนั้น ในปี ค.ศ. 1506 สมัยสันตะปาปา จูเลียสที่ 2 พระองค์ได้ตัดสินพระทัยรื้อของเก่าและสร้างวิหารเซนต์ปีเตอร์ขึ้นมา ซึ่งกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ก็ใช้เวลาสร้างนานถึง 150 ปี โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญปีเตอร์ และแสดงความยิ่งใหญ่ของคริสตจักร ตลอดจนเป็นศูนย์กลางศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
งานก่อสร้างวิหารเซนต์ปีเตอร์นั้นอยู่ภายใต้การบริหารงานของสันตะปาปาถึง 20 องค์ ใช้เงินทอง ในการก่อสร้างวิหารหลังนี้ราว 300 ล้านเหรียญ กว่าจะสำเร็จได้
ประตูเข้าทางด้านหน้าวิหารแห่งนี้มี 5 ประตู แต่ที่เปิดให้คนเข้าออกอยู่ประจำมี 4 ประตู ประตูขวาสุดเป็นประตูศักดิ์สิทธิ์เชื่อกันว่าใครได้เดินผ่านประตูนี้ เข้าวิหารไปจะสามารถไถ่บาปได้ แต่เดิมเคยเปิด 100 ปีต่อครั้ง โดยองค์สันตะปาปาทรงเปิดเอง ต่อมาได้มีการเปิดให้น้อยลงหน่อยเป็น 50 ปีต่อครั้ง แล้วลดเหลือ 25 ปีต่อครั้ง
และศิลปกรรมที่นับว่าเยี่ยมยอดที่สุด แห่งวาติกัน ก็น่าจะได้แก่จิตรกรรมลํ้าค่าบนเพดาน โบสถ์ซิสติน (Sistine Chapel) ซึ่งเป็นโบสถ์ทําศาสนกิจสําหรับ สันตะปาปาเป็นส่วนพระองค์ จิตรกรรมนี้เป็นฝีมือของมิเกลันเจโล ซึ่งมีทั้งภาพ “การพิพากษาสุดท้าย (Last Judgement)” และ “กำเนิดของอดัม (Creation of Adam)” อันลือลั่น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น