John Titor มนุษย์อนาคตผู้ย้อนเวลามาจากปี ค.ศ. 2036
หลายสิบปีที่ผ่านมา มีข่าวลือมากมายถึงเรื่องมนุษย์จากอนาคต ปรากฏกายขึ้นในโลกปัจจุบัน หรือช่วงเวลาที่เป็นอดีตกาลของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นจอห์น ไตเตอร์ นายทหารจากโลกอนาคตเดินทางย้อนเวลาตามหาเครื่องคอมพิวเตอร์ IBM รุ่นแรก แอนดรูว์ คาร์ลส์ซิน ผู้ใช้ความรู้ทางประวัติศาสตร์สร้างผลกำไรมหาศาลจากตลาดหุ้นและการลงทุน หรืออีลอย โคล เดินทางมายับยั้งการทดลองการสร้างหลุมดำจำลองที่นำไปสู่หายนะของโลกในอนาคต
เรื่องเล่าของคนเหล่านั้น เป็นที่กังขาของคนส่วนใหญ่เพราะขาดวัตถุหลักฐานยืนยัน จนกระทั่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีคนสังเกตเห็นสิ่งผิดปรกติในภาพถ่ายอายุ 70 ปีของพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งในประเทศแคนาดา เป็นภาพคนแต่งกายทันสมัย ถือกล้องถ่ายภาพขนิดพกพายืนอยู่ท่ามกลุ่มคนและภาพนี้ได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญแล้วว่า เป็นภาพถ่ายจริงที่ไม่ผ่านการตบแต่งแต่อย่างใด
คอมพิวเตอร์กู้โลก
จอห์น ไตเตอร์ (John Titor) ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกในห้องพูดคุยสาธารณะแห่งหนึ่งบนอินเทอร์เน็ต เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ.2000 โดยครั้งแรกเขาได้ลงทะเบียนชื่อว่า “Timetravel_0” และได้เปลี่ยนไปใช้ชื่อ “John Titor” ในภายหลัง
แน่นอนว่าชื่อ John Titor เป็นนามแฝง John เป็นชื่อสามัญเหมือนกับชื่อ สมชาย ของคนไทย ส่วน Titor เป็นคำย่อของคำว่า Time Travelor โดยเล่นคำสะกดพยางค์สุดท้าย Travelor ด้วย or แทนที่จะเป็น Traveler สะกดด้วย er
เขาออกตัวว่าเป็นผู้ที่เดินทางมาจากอนาคตเมื่อปี ค.ศ.2036 ด้วยเครื่องย้อนกาลเวลาที่ผลิตขึ้นในปี ค.ศ. 2034 โดยบริษัท GE (General Electronic) เพื่อพิสูจน์ว่าคำพูดของเขาเป็นความจริง จอห์นได้โพสต์ภาพถ่ายเครื่องย้อนกาลเวลา (Time Machine) และคู่มือการใช้งานเครื่องให้ทุกคนได้เห็น
เขาออกตัวว่าเป็นผู้ที่เดินทางมาจากอนาคตเมื่อปี ค.ศ.2036 ด้วยเครื่องย้อนกาลเวลาที่ผลิตขึ้นในปี ค.ศ. 2034 โดยบริษัท GE (General Electronic) เพื่อพิสูจน์ว่าคำพูดของเขาเป็นความจริง จอห์นได้โพสต์ภาพถ่ายเครื่องย้อนกาลเวลา (Time Machine) และคู่มือการใช้งานเครื่องให้ทุกคนได้เห็น
แน่นอนว่าผู้คนที่เข้าร่วมวงสนทนาไม่เชื่อน้ำมนต์ของนายจอห์น ไตเตอร์ หลายคนพยายามยิงคำถามต่างๆนานาเพื่อจับผิดเขา แต่ดูเหมือนจอห์นจะสามารถตอบคำถามเหล่านั้นได้ทั้งหมด แถมยังสอนมวยกลับมายังคนลองภูมิอีกด้วย
หลายๆคำถามที่จอห์น ไตเตอร์ ยิงกลับมายังผู้ร่วมสนทนา ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังพูดถึงอะไร แต่เมื่อไปค้นคว้าดูในภายหลังพบว่ามันล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับฟิสิกส์ชั้นสูงทั้งสิ้น อีกทั้งคำเตือนเรื่องจะเกิดการแพร่ระบาดของโรคสมองฝ่อ (Mad Cow Disease) ได้เกิดขึ้นจริงในปี ค.ศ.2001 ทำให้หลายคนชักจะลังเล
ร่ำรวยด้วยความรู้ประวัติศาสตร์
เดือน มกราคม ค.ศ.2003 หนังสือพิมพ์วีคลีย์เวิลด์ด์นิวส์ (Weekly World News) ตีพิมพ์ข่าวเจ้าหน้าที่ FBI บุกจับกุมตัวแอนดรูว์ คาร์ลส์ซิน (Andrew Carlssin) วัย 44 ปี ในข้อหานำข้อมูลลับภายในไปแสวงหาผลประโยชน์ในตลาดหลักทรัพย์
สำนักงานคณะกรรมการ กำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (Security and Exchange Commission) ได้แจ้งความดำเนินคดีกับนายแอนดรูว์ โดยสงสัยว่าเขานำข้อมูลลับของบริษัทมหาชนต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ไปแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนเอง เพราะแอนดรูว์สร้างความร่ำรวยในเวลาเพียงชั่วพริบตาด้วยการลงทุนเพียง 800 ดอลลาร์ซื้อหุ้นต่างๆแล้วขายออกไป นำเงินที่ได้กลับมาซื้อหุ้นตัวใหม่แล้วทำชอร์ตเซลขายออกไปอีกครั้ง ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนเงินทุนเริ่มต้น 800 ดอลลาร์เพิ่มพูนขึ้นเป็น 350 ล้านดอลลาร์ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น
แอนดรูว์รับสารภาพ โดยให้การว่าเขามีข้อมูลว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้นในช่วงเวลานั้น เพราะเขามาจากโลกอนาคตในปี 2556 เขาเพียงศึกษาประวัติศาสตร์ข้อมูลทางเศรษฐกิจ นำความรู้ที่ได้ติดตัวเดินทางย้อนอดีตมาในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อช้อนซื้อหุ้น
เดิมทีนั้นเขาตั้งใจจะลงทุนแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต หากแต่ความโลภทำให้เขาหักห้ามใจไม่อยู่ เทเงินที่หามาได้ในช่วงแรกๆลงทุนซื้อหุ้นที่เขารู้อยู่แล้วว่ามันจะมีราคาสูงขึ้น จนกระทั่งไปสะดุดตาเจ้าหน้าที่สำนักงาน ก.ล.ต.
หายตัวอย่างลึกลับ
แอนดรูว์หายตัวไปอย่างลึกลับระหว่างที่ตำรวจควบคุมตัวขึ้นศาล พร้อมกับข่าวคราวการจับกุมตัวเขา ไม่มีสื่อใดๆเสนอข่าวนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามไปยังสำนักงาน ก.ล.ต. และ FBI เจ้าหน้าที่ทุกคนล้วนปฏิเสธตรงกันว่าไม่เคยได้ยินชื่อแอนดรูว์ คาร์ลส์ซิน มาก่อน
ปี ค.ศ.2006 แอนดรูว์โผล่ออกมาให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์วีคลีย์เวิลด์ด์นิวส์อีกครั้ง เขาไม่ยอมเปิดเผยว่าสามารถเล็ดลอดจากการควบคุมตัวมาได้อย่างไร โดยบอกแต่เพียงว่าตอนนี้เขาทำงานบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแห่งหนึ่งในแคนาดา
เช่นเคยเขาใช้ข้อมูลที่เป็นประวัติศาสตร์ในยุคสมัยเขาล่วงรู้ว่า “ทรายน้ำมัน” (Tar Sands) เป็นแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ที่จะมาทดแทนบ่อน้ำมันตามที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะทรายน้ำมันอัลเบอร์ตา (Alberta Tar Sands) ของประเทศแคนาดาเพียงแห่งเดียว สามารถผลิตน้ำมันได้มากถึง 3 แสนล้านบาร์เรล
การรีดน้ำมันออกมาจากทรายนั้นไม่ง่ายเหมือนกับการขุดเจาะน้ำมันทั่วๆไป เขาต้องสร้างเครื่องมือพิเศษที่เรียกว่า “คาร์ลส์ซินนิซิตี้” (Carlssinicity) เพื่อใช้ในการแยกน้ำมันดิบออกจากทราย โดยมีค่าใช้จ่ายเพียง 1 ดอลลาร์ต่อ 1 บาร์เรลเท่านั้น
เป็นที่น่าสังเกตว่ามีเพียงหนังสือพิมพ์วีคลีย์เวิลด์ด์นิวส์เท่านั้นที่ลงเรื่องราวของแอนดรูว์ คาร์ลส์ซิน และหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ได้รับสมญานามว่าเป็นหนังสือพิมพ์ประเภทลงข่าวโคมลอย เพื่อความบันเทิง (Entertainment Tabloid) อย่างไรก็ตาม มันเป็นความบังเอิญอย่างน่าประหลาดที่ต่อมาในปี 2008 สำนักงานพลังงานหลายแห่งทั่วโลกยอมรับว่าสามารถแยกน้ำมันดิบออกจากทรายน้ำมันได้จริง ซึ่งมันจะเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญในอนาคต และ ทรายน้ำมันอัลเบอร์ตาเป็นหนึ่งในแหล่งพลังงานที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง
หยุดยั้งโครงการหลุมดำ
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา หน่วยรักษาความปลอดภัยองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศในทวีปยุโรปสามารถจับ กุมตัวอีลอย โคล (Eloi Cole) ระหว่างพยายามก่อวินาศกรรมเครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ (Large Hardon Collider) ของห้องทดลองเซิร์น (European Organization for Nuclear Research; CERN) ซึ่งกำลังทำการทดลองสร้างหลุมดำจำลอง (Black Hole)
อีลอย ให้การว่าเขาลอบเข้ามาในห้องทดลองเพื่อหาแหล่งพลังงานให้กับเครื่องเดินทางข้ามเวลาของเขา และเตือนว่าการทดลองสร้างหลุมดำจำลองนี้นำไปสู่การสร้างแหล่งพลังงานที่มีอย่างไม่จำกัดในอนาคต อันเป็นการนำไปสู่หายนะของโลกในที่สุด
อีลอย ยังบอกอีกด้วยว่าเขาเองเป็นคนที่ก่อวินาศกรรมเครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2009 ทำให้เครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่มีอุณหภูมิสูงขึ้นจนอาจก่อให้เกิดอันตราย ทำให้นักวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องหยุดการเดินเครื่องชั่วคราว
เหตุการณ์ในครั้งนั้นนักวิทยาศาสตร์พบว่า ต้นเหตุคือเศษขนมปังชิ้นเล็กๆหลุดเข้าไปในเครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ โดยเข้าใจว่ามีนกคาบเศษขนมปังบินผ่านเครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่แล้วทำเศษขนมปังหล่นลงมา ระหว่างที่อีลอยถูกควบคุมตัวในห้องขังเพื่อรอการส่งตัวไป ยังสถานบำบัดโรคทางจิต เขาก็หายตัวไปอย่างลึกลับบนสถานีตำรวจกลางกรุงเจนีวานั่นเอง
หลักฐานชิ้นสำคัญ
เดือน กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พิพิธภัณฑ์ Bralorne Pioneer Museum ได้แสดงนิทรรศการภาพถ่าย เล่าเรื่องราวเหตุการณ์ในอดีตผ่านทางภาพถ่าย โดยหนึ่งในภาพถ่ายนั้นเป็นภาพกลุ่มคนมุงดูเหตุการณ์น้ำท่วมในปี 1941
ท่ามกลางฝูงชนในภาพ มีชายคนหนึ่งแต่งกายผิดแผกแตกต่างไปจากผู้คนในยุคสมัยนั้น โดยเขามีทรงผมล้ำสมัย สวมแว่นตาดำ ใส่เสื้อยืดสวมเสื้อแจ๊กเกตทับ อันเป็นแฟชั่นในยุคปัจจุบัน ไม่ใช่เมื่อ 70 ปีก่อน แต่ที่สำคัญกว่าการแต่งกายคือชายคนนี้ถือกล้องถ่ายรูปพกพา ที่ยังไม่ผลิตออกจำหน่ายในสมัยนั้น ภาพถ่ายใบนี้เป็นภาพถ่ายโบราณของพิพิธภัณฑ์ Bralorne Pioneer Museum ไม่ใช่ภาพถ่ายทั่วๆไปที่คนมือบอนจะนำตบแต่งด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้ อีกทั้งผู้เชี่ยวชาญทางคอมพิวเตอร์กราฟิคได้พิสูจน์แล้วว่า ภาพนี้เป็นภาพถ่ายจริงที่ไม่ผ่านการตบแต่ง มันจึงถูกกล่าวขานว่าเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่พิสูจน์ว่ามีคนจากอนาคตเดินทางย้อนเวลามาสู่อดีตจริง
ภาพถ่ายภาพนี้จึงกลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ในสังคมอินเทอร์เน็ตตั้งแต่กลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา หลายคนพยายามสืบค้นว่าบุคคลแปลกปลอมในภาพถ่ายเป็นใครมาจากไหน ในขณะเดียวกันผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องการเดินทางย้อนเวลาก็พยายามหาข้อมูลมาหักล้าง ซึ่งผลการดีเบตระหว่างคน 2 ฝ่ายนี้จะเป็นอย่างไรเราก็ต้องคอยติดตามข่าวกันต่อไป
บางส่วนจากบทสนทนากับ John Titor
What are your memories of 2036?
I remember 2036 very clearly. It is difficult to describe 2036 in detail without spending a great deal of time explaining why things are so different.
In 2036, I live in central Florida with my family and I'm currently stationed at an Army base in Tampa. A world war in 2015 killed nearly three billion people. The people that survived grew closer together. Life is centered on the family and then the community. I cannot imagine living even a few hundred miles away from my parents.
จอห์น กล่าวว่า ในปี 2015 จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 และคนจะตายเกือบ 3,000 ล้านคน คนที่เหลือรอดอยู่ จะอยู่กระจัดกระจายกันไปเป็นกลุ่มชนรุ่นใหม่
Does anything happen in the year 2012?
I've heard stories about the world ending. In my 2012, I was 14 years old spending most of my time living, running and hiding in the woods and rivers of central Florida. The civil war was in its 7th year and the world war was three years away. Yes, there are unusual events in 2012 but they do not cause the world to end.
Unfortunately, I have decided not to discuss events that you or I can do anything about. It is important that they be a surprise. Perhaps you are familiar with the story of the Red Sea and the Egyptians?
ถามว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในปี 2012 ทีว่ากันว่าจะเป็นปีสิ้นโลกหรือไม่ จอห์นตอบว่า ในปี 2012 เขามีอายุ 14 ปี ใช้ชีวิตดูเหมือนปกติทั่วไป จะมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นแน่นอน แต่ไม่ทำให้สิ้นโลก แต่เขาไม่บอกว่าจะเกิดอะไร อยากให้รอดูเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ บอกให้นึกถึงเหตุการณ์ทะเลแดงที่เกิดกับชาวอียิปต์ในยุคโบราณ (ตามเหตุการณ์ในพระคัมภีร์ไบเบิล) สรุปคือ 2012 โลกไม่แตก
ขอขอบคุณ http://board.palungjit.com by เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิตพิเศษ
John Titor เป็นนักประดิษฐ์ที่อ้างว่าสามารถคิดค้นเครื่องมือเห็นอนาคต ซี่งได้ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าหลายอย่างซี่งส่วนใหญ่เกี่ยวกับเรื่องการเมืองเศรษฐกิจ ผู้ที่สนใจสามารถอ่านเรื่องราวของเขาได้ที่นี่
สิ่งประดิษฐ Time machine ของ John Titor ไม่ทราบว่าจะจริงหรือเปล่า ในสิทธิบัตร์บอกถึงวิธีการสร้างและคำนวณ ผู้ที่สนใจสามารถอ่านในรายละเอียดได้ที่นี่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น