THE NATURAL OF REVENGE: นาซีกับแอตแลนติส

วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2557

นาซีกับแอตแลนติส


เรื่องราวลึกลับนี้เริ่มขึ้น เมื่อจิตรกรรมและประติมากรรมในโบราณสถานหลายแห่งที่เปนรูปแสดงถึงวัตถุ ประหลาดซึ่งมีลักษณะคล้ายยานบินหรือแม้กระทั้งยานอวกาศ

เป็นไปได้ไหมว่า ในอดีตนั้นเราเคยมียานที่บินได้ โดยมนุษย์จากนอกโลกเป็นผู้นำมา และเป็นที่กำเนิดยาน UFO??

หลักฐานชิ้นแรกในประวัติศาสตร์คือในสมัยพระเจ้า อโศกมหาราช(Ashoka) พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของอินเดียมีคำร่ำลือว่าพระองค์เป็นผู้ริเริ่มก่อ ตั้งแหล่งวิทยาการ “สมาคมลับของบุรุษนิรนามทั้งเก้า”(Secret Society of the Nine Unknown Men) ซึ่งปราชญ์อินเดียในสมัยนั้นต่างกระหายที่จะเรียนรู้วิทยาการเหล่านี้ แต่พระเจ้าอโศกกลับงานวิทยาการต่างๆ ของพวกเขาเป็นความลับ เพราะกลัวว่าวิทยาการเหล่านั้นถ้าเผยแพร่ไปอาจเกิดเหตุนองเลือดขึ้นได้ เพราะพระองค์เองเคยใช้วิทยาการเหล่านั้นทำสงครามมาแล้ว พระองค์จึงเน้นทำนุบำรุงศาสนาพุทธแทน

“บุรุษนิรนามทั้งเก้า(The Nine Unknown Men) หมายถึงหนังสือเก้าเล่มที่พระเจ้าอโศกทรงนิพนธ์ขึ้นมา เล่มหนึ่งมีชื่อว่า “ความลับของแรงโน้มถ่วง(The Secrets of Gravitation) เป็นที่รู้จักกันดีในสมัยโบราณ เนื้อหาในหนังสือเป็นคนละแบบกับ “กฎของแรงโน้นถ่วงของนิวตัน” และหนังสือเก้าเล่มนี้อาจเก็บอยู่ในห้องสมุดที่ไหนสักแห่งในอินเดียหรือ ทิเบต(หรือแม้แต่ในอเมริกา)

เมื่อไม่นานมาแล้ว ชาวจีนได้ค้นพบแท่งหินอักขระจารึกเป้นภาษาสันสกฤตในเมืองลาศา(Lhasa) ในทิเบต และส่งแท่นหินเหล่านี้ไปศึกษาค้นคว้าที่มหาลับชานดริการ์ ดร.รูท เรย์นา อาจารย์ประจำมหาลัยกล่าวว่า แท่งหินอักขระพวกนี้บ่งบอกถึงวิธีการสร้างยานอวกาศที่สามารถเดินทางไป มาระหว่างดวงดาวได้!!

ส่วนวิธีการขับเคลื่อนนั้น ด็อกเตอร์เรย์นาอธิบายว่าจากอักขระว่า เป็นแรงต่อต้านโน้นถ่วง ในชื่อที่พวกเขาเรียกว่า ลากิมะ(Laghima) ซึ่งเป็นแรงที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน เกิดมาจากพลังจิตของมนุษย์ โดยมีหลักการว่า แรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง(Centrifugak Force) จะมีกำลังมากพอที่สามารถต่อต้านแรงดึงดูดของโลกได้ และจากความรู้ทางฮินดูโบราณ(Hindu Yogis)แรงหรือ พลัง ลากิมะนี้สามารถยกมนุษย์ให้ลอยขึ้นฟ้าได้

ดร.เรย์ยังอธิบายอีกว่าสำหรับตัวเครื่องจักรหรือยานพาหนะนี้พวกเขา เรียกว่า “แอสทรา(Astras)” ซึ่งเป็นยานที่สามารถต่อต้านแรงดึงดูดของโลกและมีหลักฐานที่เกี่ยวกับ เทคโนโลยีชนิดนี้ว่ามีใช้กันในอินเดียสมัยโบราณหรือในสมัยที่ยังมีอาณาจักร ของพระรามอยู่ อาณาจักรของพระรามอยู่ อาณาจักรนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอินเดียและปากีสถาน ได้ก่อตั้งมานาน 15,000 ปีแล้วในทวีปอินเดียซึ่งตอนนั้นยังแยกออกมาจากทวีปเอเซียอยู่และดำรงมาควบ คู่กับอาณาจักรแอตแลนติสที่อยู่กลางมหาสมุทรแอนแลนติกมาก่อน

อาณาจักรพระรามปกครองโดย “สังฆราชาผู้สำเร็จ”(Enlightened Priest-Kings) เรียกชื่อเมืองหลวงทั้งเจ็ดเมืองว่า เมืองฤษีทั้งเจ็ด(The Seven Risni Cities)

ตามหลักฐานของชาวอินเดียโบราณ ผู้คนในสมัยนั้นใช้ยวดยานพาหนะที่สามารถบินได้ชื่อ วิมาน(Vimanas)

แท่งอักขระ ได้บรรยายรูปร่างลักษณะของยานวิมานว่า

“มันเป็นยานที่มีสองชั้น รูปร่างค่อนข้างกลม มีท่อไอเสียอยู่ด้านล่าง และในห้องผู้โดยสารด้านบนมีรูปร่างคล้ายโดม”

จากข้อความดังกล่าว ทำให้เราจิตนาการว่ามันคือจากบินหรือเปล่านี่!!

ยานวิมานบินด้วย “ความเร็วที่ยิ่งกว่าสายลม(Speed of The Wind)และมีเสียงที่ดังมาก ยานนี้มีรูปร่างที่ต่างๆ กันถึงสี่แบบ มีรูปร่างคล้ายกับจานบินบ้าง หรือไม่ก็มีรูปร่างคล้ายกระบอกยาวๆ บ้าง (หรือมีรูปร่างคล้ายซิการ์ดังเช่น UFO)

ชาวอินเดียโบราณผลิตยานเหล่านี้ด้วยตัวพวกเขาเอง และพวกเขาได้เขียนวิธีควบคุมยานบินทั้งสี่แบบเหล่านี้ไว้ซะด้วย!!



ในปี ค.ศ.1875 มีการค้นพบหลักฐานเกี่ยวกับยานชนิดนี้ในวัดแห่งหนึ่งในอินเดีย เป็นหลักฐานที่มีอายุออยู่ในช่วงศตวรรษที่สี่ก่อนคริสต์ศักราช ในหลักฐานนั้นบ่บอกถึงวิธีการควบคุมยานวิมาน รวมถึงการบังคับเลี้ยว การระมัดระวังในการเดินทาง การป้องกันยานจากพายุและสายฟ้า และยังบอกวิธีการขับเคลื่อนโดยการใช้แสงอาทิตย์ที่คล้ายๆ กับ “แรงต่อต้านแรงโน้นถ่วง”

นอกจากนี้ หลักฐานชิ้นนี้ยังบอกวิธีการสร้างยานวิมานอย่างละเอียดถึงชิ้นส่วนของยาน 31 ชิ้น และวัสดุที่ใช้สร้างอีก 16 อย่าง ซึ่งวัสดุพวกนี้มีคุณสมบัติที่ดูดซับแสงและความร้อนได้ และนี่คงเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างยานที่สามารถขับเคลื่อนไปบนฟ้าได้

เป็นไปได้ว่ายานวิมานจะต้องใช้พลังบางอย่างที่สามารถต่อต้านแรงโน ถ่วงได้อย่างแน่นอน มันออกตัวในแนวดิ่งจากพื้นดิน และยังสามารถลอยอยู่บนฟ้าได้ราวกับเฮลิคอปเตอร์หรือยานบินในสมัยนี้ซะอีก

ในด้านพลังงานที่ใช้ขับเคลื่อนนั้นหลักฐานกล่าวไว้ว่า ยานวิมานใช้ของเหลวสีขาวอมเหลือง(Yellowish white liguid)เป็น สารประกอบที่คล้ายกัยปรอท ดูเหมือนว่าบางทีของเหลวสีขาวอมเหลืองนี้อาจเป็นสารที่คล้ายๆ กับน้ำมันเชื้อเพลิงและใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน หรือเครื่องยนต์ไอพ่นก็ได้

นอกเหนือจากหลักฐานแท่งอักขระแล้ว ก็ยังมีเนื้อเรื่องบางส่วนในมหากาพย์มหาภารตะกับรามายณะที่บรรยายลักษณะของ ยานวิมานว่ามีรูปร่างเป็นทรงกลมและขับเคลื่อนไปด้วยความเร็วยิ่งกว่าสายลม โดยใช้ปรอทเป็นตัวขับเคลื่อน การขับเคลื่อนคล้ายกับ UFO ไม่มีผิด เพราะสามารถเคลื่อนที่ขึ้นลงในแนวดิ่ง ถอยหลังหรือเดินเท้าได้ตามที่นักบินต้องการ และระบุว่ายานวิมานเป็นเครื่องจักรกลที่ทำด้วยเหล็ก เชื่อมติดกันอย่างดีและเรียบร้อยสามารถขับเคลื่อนไปได้โดยใช้ปรอทพ่นออกมา จากข้างหลังของตัวยานในรูปแบบของเปลวไฟคำราม(Roaring Flame)


นักวิทยาศาสตร์ชาว โซเวียตได้ค้นพบสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “เครื่องมือในยุคโบราณที่ใช้ระบบนำร่องของยาน” ในถ้ำแห่งหนึ่งของประเทศตุรกีและในทะเลทรายโกบี มันเป็น “อุปกรร์” ที่เป้นรูปทรงครึ่งวงกลมที่ทำมาจากแก้วเหมือนถ้วบชาม โดยส่วนปลายสุดจะเรียวเล็กลงเป้นรูปกรวยและมีสารปรอทอยู่ภายในด้วย หลักฐานบ่ชี้ว่าชาวอินเดียในสมัยโบราณเคยใช้พาหนะนี้บินผ่านทั่วเอเชียมา แล้ว และอาจจะเคยบินผ่านทวีปแอตแลนตีสมาแล้วด้วย

นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึงรถศึกเพลิงกัลป์(Fiery Charot)ไว้ ในมหากาพย์มหาภารตยุทธว่า “ภีมะขับรถของเขาบินสู่ฟากฟ้า ลุกสว่างราวกับแสงอาทิตย์ เสียงดังราวกับฟ้าผ่า ราชรถที่อยู่บนฟ้า ลุกสว่างราวกับเปลวเพลิงที่ส่องสว่างฟากฟ้ายาวค่ำคืนของฤดูร้อน มันบินโฉบไปราวกับผีพุ่งใต้ ราวกับมีพระอาทิตย์สองดวงกำลังส่องแสงอยู่กระนั้น และสวรรค์ทั่วทั้งชั้นฟ้าก็สว่างขึ้นบัดดล”


คัมภีร์พระเวท(Vedas)หลัก ฐานทางฮนดูโบราณที่เก่าแก่ที่สุดก็คือกล่าวถึงยานวิมานว่า “อนิโหตระวิมาน(Ahnihotra-Vinana)เป็นยานที่มีสองเครื่องยนต์, วิมานรูปช้าง(Elephant VimanaX,มีเครื่องยนต์มากกว่านั้น และระบุชื่อยานวิมานรูปแบบอื่นๆ ที่ตั้งชื่อเป็นสัตว์ต่างๆ

ชาวแอตแลนติสเคยใช้ยานบินที่เรียกว่า “ไวลิกซี(Vaillxl)” มีรูปร่างคล้ายกับเครื่องบินในสมัยนี้ หลักฐานของอินเดียว่าคนทวีปนี้ต้องการจะใช้ยานของเขาเพื่อครอบครอง โลก(ติดตามได้ในเมื่อนาซีค้นหาแอตแลนตีส)

ยานของแอตแลนตีสเรียกว่า “อัศวิน(Asvins)และยังบอกว่าชาวแอ ตแลนตีสมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่าของอินเดียและยังเป็นที่ชื่นชอบการทำ สงครามด้วย แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่บ่งบอกถึงยานบินวืมานก็ตาม แต่ก็มีข้อมูลบางอย่างอยู่บ้าง เช่นว่า รูปร่างคล้ายซิการ์และสามารถแทรกตัวลงใต้น้ำได้ดีพอๆ กับการบินผ่านชั้นบรรยากาศหรือนอกโลก


เอกลัล เกศนะ ผู้แต่งหนังสือชื่อ The Ultimate Frontier พิมพ์ขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1966 กล่าวว่าวิมานสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อ 20000ปีก่อน ในทวีปแอตแลนติส และส่วนใหญ่มีรูปร่างคล้ายๆ จานแบนๆ ภาคตัวยานตัดขวางรูปสี่เหลี่ยมคางหมู มีเครื่องยนต์รูปครึ่งวงกลมสามตัวติดตั้งอยู่ส่วนล่างของยาน...พวกเขาใช้ อุปกรณ์ต่อต้านแรงโน้นถ่วงที่ขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์ที่มีกำลังประมาณ 30,000แรงม้า

บาง ตอนในมหากาพย์รามายณะกับมหาภารตะก็เคยกล่าวถึงสงครามมหาประลัย ครั้งนั้นว่า

“อาวุธที่เคลื่อนที่เป็นวิถีโค้งปลดปล่อยพลังของเอกภพมาอย่างมหาศาล เปลวเพลิงและควันที่ลุกโซติช่วงราวกับมีพระอาทิตย์ส่องแสงอยู่นับพัน ดวง...พายุสายฟ้ากัมปนาท ผู้ส่งสารแห่งความตาย ที่นำมาซึ่งขี้เถ้า เผ่าพันธุ์ทั้งปวง........ซากศพกลับถูกเผาไหม้ จนจำหน้าตาไม่ได้ ผมและเล็บก็หลุดร่วงออกมาเครื่องดินเผาต่างๆ กลับแจกหักโดยไม่รู้สาเหตุ และนกก็เปลี่ยนเป็นสีขาว.........หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงอาหารทั้งหมดก็ เป็นพิษ เพื่อที่จะหนีออกมาจากไฟบรรลัยกัลป์นี้ ชะล้างตัวพวกเขาและเครื่องไม้เครื่องมือของพวกเขาด้วย

นี้เขาบรรยายมหาภารตะหรือบรรยายเรื่องมหาสงครามนิวเคลียร์นี้!!

และดูเหมือนว่ามหากาพย์มหาภารตะจะเป็นเรื่องจริงซะ ด้วย เพราะว่ามีการค้นพบอุโมงค์ในซากโบราณสถานในเมืองโมเฮ็นโจดาโร เมื่อศตวรรษที่แล้ว พวกเขาพบโครงกระดูกหลายศาก บางโครงนอนกุมมืดอยู่บนหน้าอกด้วยความกลัว ราวกับมีหายนะครั้งใหญ่ นอกจากนี้เขายังพบสารกัมมันตรังรังสีค้างอยู่ในตัวด้วย

เมื่ออาณาจักรแอตแลนตีสกับรามาล่มสลายด้วยอาวุธนิวเคลียร์หรืออะไร ก็เถอะ โลกก็เริ่มเข้าสู่ยุคหิน และประวัติศาสตร์สมัยใหม่ก็ดำเนินต่อไปอีกนับพันปี แต่ดูเหมือนว่าเรื่องราวของจานบินวิมานยุคโบราณจะไม่สูญหายไปไหน เพราะมันปรากฏอีกทีก็บันทึกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์บุกโจมตีอินเดียเมื่อสอง พันปีก่อน มีบันทึกไว้ว่า ครั้งหนึ่งกองทัพของพระองค์ถูกโจมตีโดยโล่บินได้ที่ทำให้รถศึกและกองทัพของ พระองค์ต้องหวั่นเกรงไปตามกัน

ว่า กันว่า สมาคมลึกลับที่เรียกตัวเองว่า ภราดรภาพ(Brotherhoods) ได้เก็บยานวิมานกับยานไวลิกซี่ไว้ในถ้ำลึกลับที่ไหนสักแห่งในทิเบตหรือเจ กลางเอเซียรวมทั้งทะเลทรายลอปนอร์(Lop Nor Desert) ที่อยู่ทางทิศตะวันตกของจีน ที่มีคนกล่าวขวัญกันมากที่สุดว่าเป็นศูนย์กลางของลึกลับ UFO


ในช่วงปี ค.ศ.1930 พรรคนาซีของฮิตเลอร์เคยส่งนักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีไปยังอินเดียเพื่อ เก็บเรื่องราวลึกลับและวิทยาการในสมัยโบราณที่พวกเขาเชื่อว่าเคยมีอยู่จริง พวกเขาเชื่อว่าอารยธรรมในอดีตนั้นมียานบินต่างๆ และรวมไปถึงอาวุธทำลายล้างที่พวกเขาเคยใช้ในอดีต

นักโบราณคดีเยอรมันได้ถอดความสันสกฤตโบราณและอักขระโบราณเหล่านี้ ว่ามีการบรรยายถึงเหตุการณ์ที่มียานบินผ่านอยู่บนฟ้า โดยมีผู้สังเกตการณ์อยู่ในทวีปอเมริกาใต้, อาฟริกา, แถบแปซิฟิก และอื่นๆ เกือบทั่วโลก และเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ยังคงได้ศึกษาวิจัยต่อจากประเทศอเมริกาและโซเวียตให้ การสนับสนุน

นอก จากนี้ยังมีทีมงานของจีนก็เคยทำการสืบค้นอักขระภาษาสันสกฤตทั้งในทิเบตและ อินเดียเหมือนกัน และทางจีนเคยยืนยันแล้วว่าข้อมูลจากแหล่งโบราณเหล่านี้ได้ถูกนำมาใช้ใน โครงการสำรวจอวกาศของพวกเขา

ทาง ด้านอเมริกาเองก็เคยทำการสืบสวนในเรื่องนี้เมื่อปี ค.ศ.1947 เหมือนกัน แต่น่าเสียหลักฐานต่างๆถูกทำลายจนหมดสิ้น เช่นห้องสมุดอเล็กซานเดรีย(The Great Lirary of Alexandria)ที่ถูกทำลายเพราะกองทัพโรมัน และทำให้หลักฐานต่างๆ ถูกเผาทำลายจนหมด ซึ่งข้อมูลเหล่านี้อาจเป็นกุญแจไขความลับเรื่องยานบินยุคโบราณให้เราทราบได้

หลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 ใกล้สิ้นสุด เยอรมันเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ตอนนั้นสัมพันธ์มิตรเข้าค้นห้องของมือขวาคนสนิทของฮิตเลอร์นาม ไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์ เมื่อปีค.ศ.1945 พวกเขาได้พบหนังสือเกี่ยวกับศาสตร์ลึกลับเล่มหนึ่งที่รวบรวมไว้เป็นจำนวนมาก ในจำนวนนั้นมีเล่มหนึ่งชื่อ “ทฤษฎีน้ำแข็งโลก(The World Lce Theory) โดยเอิร์นสต์ เฮอร์บิเกอร์ ผู้แต่งอ้าวไว้ในหนังสือเล่มนี้ว่า เผ่าพันธุ์มนุษย์ดีเลิศนั้นมาจากอวกาศมาลงที่เกาะแอตแลนตีส และคนพวกนั้นได้สร้างอารยธรรมที่ล้ำยุคกว่าอารยธรรมอื่นขึ้นที่นั่น แต่แล้ว แผ่นน้ำแข็งที่เกิดจากอากาศหนาวเย็นได้ผลักดันให้พวกเขาต้องอพยพหนีไปอยู่ ที่อื่น และคนพวกนี้ได้เป็นผู้ถ่ายทอดอารยธรรมให้อียิปต์และกรีก
ดู เหมือนว่าฮิมม์เลอร์จะเชื่อเรื่องในหนังสือเรื่องนี้มากๆ และยังเชื่ออีกว่าชาวแอนแลนตีสที่อพยพมานั้นได้สืบเชื้อสายกลายมาเป็นชาว เยอรมันในปัจจุบัน ส่วนสายอื่นๆ กระจัดกระจายไปทั่วโลก ในสายตาของเขา”ชาวอารยัน”นั้นเป็นสายพันธุ์มนุษย์ที่เลิศกว่ามนุษย์อื่นๆ เสมือนพระเจ้าเลยทีเดียว และความคิดของฮิมม์เลอร์จึงได้สร้างสายเลือดใหม่คือหน่วยเอสเอส(SS)องค์กรที่แนน่ากลัวของนาซีเยอรมัน




และ เพื่อเป็นการพิสูจน์ทฏษฎีของเขาเป็นเรื่องจริง ฮิมม์เลอร์ได้ส่งคนออกไปสำรวจที่ไอซ์แลนด์ กรีนแลนด์ อเมริกากลาง รวมทั้งธิเบตด้วย เพื่อจะค้นหาหลักฐานทางโบราณคดีและเผ่าพันธุ์ของสายเลือดที่ล้ำมนุษย์ที่ได้ กระจัดกระจายไปจากแอตแลนตีสและอาวุธมหาประลัยของอารธรรมโบราณ นอกจากหนังสือของเฮอร์บิกอร์แล้ว ยังมีชาวออสเตรีย ชื่อ เฮอร์เบิร์ต วิลลีกุต ซึ่งฮิมม์เลอร์นับถือเป็นอาจารย์ที่ช่วยเสริมความเชื่อเรื่องเผ่าพันธุ์ที่ เหนือคนอื่นให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
คา ร์ล โวลฟ์ นายทหารคนสนิทของฮิมม์เลอร์เป็นผู้แนะนำคนผู้นี้กับฮิมม์เลอร์ โดยบอกว่า “เขาเคยเป็นนายพันเอกในกองทัพบกออสเตรียมาก่อน เขาได้รับชื่อใหม่จากเรา(หน่วยเอสเอส)ว่าไวส์ธอร์....”ธอร์”เป็นเทพเจ้ายิ่ง ใหญ่ของเยอรมัน และ “ไวส์”หมายความว่า เขามาจากครอบครัวผู้ฉลาด และเขารับผิเดชอบการปลุกสำนักในคติโบราณก่อนสมัยคริสเตียน เขาแลเห็นว่าหน้าที่ในชีวิตของเขาก็คือการถ่ายทอดวามรู้และประสบการณ์ของเขา แก่ชาวเอสเอสผู้ซึ่งในอนาคตจะเป็นผู้ถูกเลือกให้เฝ้าอาณาจักรไรซ์พันปี”
ระหว่าง ปี 1933-39 วิลลีกุต หรือไวส์ธอร์อยู่ในหน่วยเอสเอสและได้รับมอบหมายให้ทำงานค้นคว้าเรื่องราว ก่อนยุคประวัติศาสตร์ เหตุที่เขาทำหน้าที่นี้ ก็เพราะเขาอ้างว่าตนเองสืบเชื้อสายจากนักปราชญ์เยอรมันในยุคก่อนประวัติ ศาสตร์ และยังอ้างอีกด้วยว่าเขาสามารถระลึกชาติเห็นเหตุกาณณ์ในอดีตของเผ่าพันธุ์ ของเขาได้ไกลนับพันปี ดังนั้นเขาสามารถประกอบพิธีกรรมตามแบบฉบับชาวเยอรมันได้
“เขา เป็นคนที่น่าสนใจทีเดียว”โวลฟ์พูดถึงวิลลีกุต “เขาเป็นคนชี้ให้ผมดูสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชนเยอรมันที่เราไม่เคยรู้มาก่อน เลยและเขาอธิบายเรื่องเหล่านี้จนตลอดสัญลักษณ์และอักขระโบราณต่าองๆให้เรา ได้ฟัง”
มี อยู่ครั้งหนึ่งฮิมม์เลอร์ต้องการปราสาทสำหรับหน่วยเอสเอส ในปี 1933 เขาได้อาศัยความรู้ของวิลลีกุดเพื่อหาที่อยู่ จนพบปราสาทที่ถูกโฉลก โดยเขาบอกว่ามีพลังมหาศาจเพราะมันอยู่ใจกลางของเยอรมันพอดี เป็นอันว่าปราสาทแห่งนี้ก็กลายเป็นที่อยู่ของฮัศวินเอสเอสของเขาทันที



ฮิมม์เลอร์เป็นผู้สนใจโบราณคดีมาก เขาจึงได้ก่อตั้งหน่วยงานขึ้นมาใหม่ในปี 1935 เรียกว่า อานน์เบอ(Ahnerbe) หรือกรมมรดกบรรพชน ประกอบด้วยคณะทำงานที่เป็นคนของเขาทั้งสิ้น คนเหล่านี้มีหน้าที่ออกสำรวจด้านโบราณคดีทั่วโลก

ใน ปี 1934 กาบรีเลอ วิงเคลอร์ ผุ้ช่วยของวิลลีกุตที่ทำงานอยู่ในกรุงเบอร์ลิน เกิดไปพบหนังสือเล่มหนึ่งเรื่องอัศวินกับจอกศักดิ์สิทธิ์(The Crusade Against the Grail) หนังสือเล่มเขียนโดยเด็กหนุ่มอายุ 28 ปี ชื่อฮ็อตโต ราน เป้นหนังสือเล่มหนาเล่าถึงพวกนิกายคาธาร์ในยุคกลาง คนพวกนี้เป็นอัศวินเยอรมันที่ยึดถือคติความเชื่อของชนเผ่าเยอรมันสมัยโบราณ อย่างเหนียวแน่น และเป้นพวกเก็บรักษาจอกศักดิ์สิทธิ์ไว้ที่ปราสาทของพวกเขาบนภูเขาปีเรนีสทาง ตอนใต้ของฝรั่งเศสจอกนี้เป็นของศักดิ์สิทธิ์ของชาวคริสต์ เพราะเป็นจอกที่พระเยซูใช้ดื่มเหล้าองุ่นก่อนที่พระองค์จะถูกจับตรึงกางเขน

เพราะ หนังสือเล่มนั้นเอง รานจึงถูกเชิญไปเบอร์ลิน และดำเนินแผนการค้นหาจอกศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรก็ตามคณะของรานก็ไม่ได้จัดคณะค้นหาจอกนี้ แต่รานได้ออกไปสำรวจสถานที่อื่นที่ฮิมม์เลอร์คิดว่าสำคัญกว่า คือ ย่านอาร์ติก ในไอซ์แลนด์และกรีนแลนด์เพื่อค้นหาหลักฐานโบราณคดีเกี่ยวกับแอตแลนตีสและต้น กำเนิดของชาวอารยันตามทฤษฏีน้ำแข็งของพวกเขาแต่ก็ไม่พบอะไรเลย

ต่อ มาฮิมม์เลอร์ก็ได้ทราบข่าวว่าเอิร์นสต์ แชฟเฟอร์ นักไต่เขาชาวเยอรมันจะนำคณะไปธิเบตในปี ค.ศ.1938 เขารีบติดต่อแชฟเฟอร์และรับเอาเข้าพวกทันที และได้ติดต่อกับรัฐบาลอังกฤษเพื่อออกหนังสือรับรองการเดินทางเขาธิเบตทันที ซึ่ง หลังจากนั้นแชฟเฟอร์ได้เข้าร่วมกองทัพอเมริกันภายหลังสงคราม เขาบอกว่าฮิมม์เลอร์ขอร้องให้เขาช่วยตามหาร่องรอยอารยันในยุคน้ำแข็ง แต่ตัวเขาสนใจสัตว์ป่ามากกว่า
แช ฟเฟอร์กลับจากธิเบตในปี 1939 ในตอนนั้นเกิดเรื่องวุ่นๆ ในหน่วยอานแนร์เบอ เหตุเพราะวิลลีกุตสร้างความอับอายขายหน้าโดยเขาเอาแต่ดื่มสุราเมามาย และมีการสืบทราบว่าเขาเคยเป็นโรคจิต(น่าจะรู้ตั้งนานแล้วว่าบ้านะเนี้ย) ฮิมม์เลอร์ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากส่งเขาไปเก็บตัวไว้ที่ชนบทมีคนคอยดูแลใกล้ชิด วิลลีกุตอยู่นั่นได้ไม่นานก็ถึงแก่กรรม

อ็อต โต ราน ยิ่งแย่กว่านั้น เขาถูกจับได้ว่ามีพฤติกรรมร่วมลักรักเพศ ซึ่งนาซีเยอรมันถือว่าเป็นอาชญากรรมร้ายแรง รามจึงถูกส่งไปทำงานในค่ายกักกันที่ดาเซา ต่อมารานได้เขียนจดหมายถึงฮิตเลอร์เพื่อจะขอพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน แต่ฮิตเลอร์ตอบกลับว่า “ฉันไม่สามารถปกป้องเธอได้อีกแล้ว” รานจึงยิงตัวตายที่ลานหิมะเชิงภูขาแอลฟ์เมื่อฤดูหนาวปี 1939 ถือว่านี้เป็นทางออกที่มีเกียรติของหน่วยเอสเอส

เมื่อสงครามเริ่มขึ้นเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ขึ้นกับอานแนร์เบออีกครั้ง คราวนี้พวกบ้าๆ บอๆ ตำแหน่งใหญ่ๆ ถูกเบียดตกขอบ และนักโบราณคดีแท้ๆ เข้ามาแทนที่ ทั้งนี้เป็นเพราะนักโบราณคดีแท้ๆ เหล่านี้ยอมเข้าหน่วยเอสเอสก็เพื่อจะสามารถทำงานของตนต่อไปได้โดยไม่มีการ เมืองเข้ามาแทรกแซง อีกทั้งมีเหตุผลประจวบเหมาะในตอนนั้นพวกเขาได้ขุดพบเครื่องดินเผายุคก่อน ประวัติศาสตร์ที่มีลวดลายสวัสดิกะในโปแลนด์และรัสเซีย เยอรมันจึงทึกทักเอาไว้นั้นเป็นเครื่องปั้นดินเผาของชาวเยอรมันโบราณทำไส้ ซึ่งเยอรมันเคยครอบครองดินแดนแห่งนี้มาก่อน เยอรมันจึงมีสิทธิ์จะเอาดินแดนพวกเขาคืน

ความจริงแล้ว เครื่องหมายสวัสดิกะเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณทั้งฮินดูและ พุทธ มิใช้ชนชาติเยอรมันหรือนาซีมาแต่เดิม นาซีเพิ่มรับเอาใช้ในที่หลัง สวัสดิกะเป็นเครื่องหมายแห่งความโชคดี มาจากคำว่า “สุ” และ “อัสดิ”
การ ค้นหาแอตแลนตีสของนาซีประสบความล้มเหลว เพราะไม่เคยหาพบและฮิมม์เลอร์ได้ฆ่าตัวตายเมื่อเยอรมันเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ส่วนนักโบราณคดีของอานแนร์เบอทั้งตำแหน่งสูงและต่ำยังคงทำงานในสายอาชีพของ ตนต่อไป หลายคนได้กลายเป็นศาสตราจารย์ที่มีชื่อเสียงไปทั่วเยอรมัน

แต่ น่าแปลกตรงที่แม้ฮิมม์เลอร์จะตายไปนานแล้ว แต่ความคิดของเขาไม่ได้ตายไปด้วย ซ้ำยังกับกลายเป็นทฤษฏีแก่คนหลายๆ กลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นคนชอบเรื่องยูเอฟโอที่เชื่อว่าเรามาจากต่างดาว อารยธรรมอียิปต์และมายาอาจได้รับการช่วยเหลือจากโลกที่ห่างไกล, หรือแม้กระทั้งแก๊งค์นีโอนาซีและแก๊งอารยันที่ได้รับทฤษฏีว่าเราคือมนุษย์ ที่เลิศล้ำในโลกใบนี้อย่างไม่เสื่อมคลาย

บรูโน เบเกอร์(bruno beger)
นักมนุษยวิทยาที่เข้าร่วมคณะค้นหาต้นตออารยันที่ธิเบต



ขอขอบคุณ Pantip.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น