THE NATURAL OF REVENGE: หนังดีน่าดู

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

หนังดีน่าดู


Confucius : ขงจื๊อ...คนคมที่คงอยู่




สำหรับบางคนหรือบางสิ่ง กาลเวลาอาจไม่ต่างอะไรกับสนิมที่กัดกร่อนเนื้อใน แต่สำหรับขงจื๊อ หลักธรรมพากเพียรสอนสั่ง กาลเวลาหลับยิ่งช่วยขับเน้นคุณค่าให้เด่นชัดกว่าเดิม
ไม่แปลก ที่รัฐบาลจีนจะทุ่มทุนสร้างกว่า 700 ล้านบาท ในหนังเรื่องนี้ แถมยังมีเสียงเม้าธ์ลับหลังมาอีกว่า สาเหตุหนึ่งที่จีนถอดหนังอวตารออกจากโรงอย่างรวดเร็ว ก็เพื่อเปิดทางให้ขงจื๊อนี่ล่ะ
ในภาคภาพยนตร์ เริ่มต้นในช่วงวัยกลางคนของขงจื๊อในยุคชุนชิวที่จีนยังไม่ได้รวมกับแผ่นดินใหญ่ และเป็นยุคแห่งการแย่งชิงอำนาจของเจ้านครต่าง ๆ ที่ต่างต้องการขยายอาณาเขต ขงจื๊อ (โจว เหวินฟะ) ที่เป็นเพียงนายอำเภอเล็กๆ มีผลงานเตะตาเจ้านครหลู่ เพราะขงจื๊อสามารถทำให้เมืองเล็ก ๆ แห่งนั้นมีความสงบร่มเย็น โดยไม่จำเป็นต้องใช้กฎหมาย "บังคับ"
"บ้านเมืองจะสงบได้ มิใช่ใช้แค่กฎหมายควบคุมบังคับ แต่ต้องให้ประชาชนได้รับการศึกษา ได้รับความรู้ด้านคุณธรรมจริยธรรม หากประชาชนมีคุณธรรม ก็ไม่ต้องกังวลว่าบ้านเมืองจะไม่สงบเจริญรุ่งเรือง" ขงจื๊อกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
แต่คำที่ว่า "ทำดีได้แต่อย่าเด่นจะเป็นภัย" คงจะคงอยู่ทุกยุคสมัย เพราะสามตระกูลใหญ่แห่งแคว้นหลู่รู้สึกเป็นปฏิปักษ์กับขงจื๊อเพราะเกรงว่าเขาจะมาทำลายอำนาจเดิมที่เคยมีอำนาจที่มีพื้นฐานอยู่บนการแบ่งแยกชนชั้น และเห็นว่าลมหายใจของผู้ที่ศักดิ์ต่ำกว่าไร้ค่า
ขงจื๊อเจอการเมืองทำพิษ เลยต้องระหกระเหินออกจากแผ่นดินพร้อมเหล่าลูกศิษย์ แต่นั่นก็ไม่ได้สั่นคลอนความเชื่อและศรัทธาในสิ่งที่เขามี ตลอดการเดินทางเขายังถ่ายทอดศาสตร์สี่แขนงอย่าง วัฒนธรรม ความประพฤติ ความจงรักภักดี และความซื่อสัตย์ โดยเน้นถึงการเคารพบรรพบุรุษและยึดถืออาวุโสเป็นหลัก แต่ไม่อายที่จะหาความรู้จากคนที่ต่ำชั้นหรืออายุน้อยกว่า
ภาพยนตร์เรื่องนี้ จึงไม่ได้อิงแค่ประวัติศาสตร์แต่ยังแฝงนัยยะทางการเมืองจีนในปัจจุบัน ที่ต้องการเอาหลักธรรมของขงจื๊อมาสอนคนจีนอีกครั้งเพื่อเป็นภูมิคุ้มกันกระแสความเปลี่ยนแปลงจากโลกภายนอก ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ขงจื๊อถูกตราหน้าว่าเป็นพวกศักดินาตกยุค แถมกองกำลังของพรรคคอมมิวนิสต์ยังพยายามทำลายทั้งตำราคำสอนและหลุมศพของปราชญ์ผู้นี้ด้วยซ้ำ
เพราะงั้นทั้งเรื่องจึงจะเห็นความพยายามขับเน้นให้ขงจื๊อและคำสอนของเขาโดดเด่นเหนือทุกอย่าง เป็นพระเอกแบบสุดสุดด้วยหลายฉากที่ทำให้เห็นถึงสติปัญญา เห็นคุณค่าของสิ่งที่ขงจื๊อสอน อย่างฉากที่ศิษย์เอกของขงจื๊อยอมให้ตัวเองตายเพื่อรักษาตำราที่กำลังจะจมน้ำไว้
แต่แทนที่จะเป็นผลดีกลับเน้นจนทำให้หนังอืดอาดโดยเฉพาะในช่วงกลางเรื่อง อย่างน้อยคำพูดที่ผ่านปากของโจว เหวิน ฟะ ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าถูกจับวางใส่ปากดูแล้วก็นั่งผงกหัวเห็นด้วยอย่างแรงกันเลย อาจเพราะเหตุการณ์ที่รายล้อมสัมพันธ์กับคำพูด และทำให้เชื่อได้ว่านั่นคือความจริงและอาจเป็นวิธีที่ดีเพื่อใช้คลี่คลายปัญหาบางอย่างได้ด้วยทั้งจริยะส่วนบุคคล และหลักการปกครองที่ว่าด้วยวิถีการบริหารประเทศที่จะสร้างความสงบสุขแก่ประชาชนได้นั้นต้องเน้น "คุณธรรมจริยธรรม" เป็นสำคัญ
ถึงแม้ในยุคสมัยที่ขงจื้อมีชีวิตนั้น สิ่งที่เขาคิด-เขียน อาจล้ำสมัยและยากแก่การทำความเข้าใจ แต่วันนี้คงพิสูจน์ได้แล้วว่า ทุกคำสอนของเขาคือความจริง ที่มีคุณค่าเหนือกาลเวลา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น