THE NATURAL OF REVENGE: 2012

วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ดาวเคราะห์น้อย 2012 DA14 เฉียดโลก

ดาวเคราะห์น้อย 2012 DA14 เฉียดโลกดาวเคราะห์น้อย 2012 DA14 เฉียดโลก        นับตั้งแต่มนุษย์มีความรู้ความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศให้มีความก้าวหน้ามากขึ้น ทำให้เราทราบว่าในระบบสุริยะของเราไม่ได้มีแค่ดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์เพียงอย่างเดียว แต่ปัจจุบันเราทราบว่า มีวัตถุอื่นอีกจำนวนมากอยู่ในระบบสุริยะ และโคจรรอบดวงอาทิตย์เช่นเดียวกับดาวเคราะห์ ผลจากความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอวกาศทำให้เราสามารถล่วงรู้ปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ได้ล่วงหน้า ล่าสุดมีข่าวการค้นพบดาวเคราะห์ น้อย คาดว่าจะเคลื่อนที่พาดผ่านวงโคจรของโลกประมาณ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ .. 2556 ดังรูปภาพแสดงตำแหน่งและวงโคจรของดาวเคราะห์น้อย 2012 DA14 (Asteroid 2012 DA14)คาดว่าจะเคลื่อนที่พาดผ่านวงโคจรของโลก ประมาณวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556         ทั้งนี้ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ดาวเคราะห์น้อย 2012 DA14 ถูกค้นพบโดยหอดูดาวลาซากรา (Lasagra) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศสเปน ดาวเคราะห์น้อยดังกล่าวมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 45 เมตรโดยประมาณ ซึ่งมีระยะการโคจรเป็น 3.5 เท่าของรัศมีโลก ระดับการโคจรระดับนี้จะมีค่าใกล้เคียงกับระดับการโคจรของดาวเทียมจำนวนมาก อาจจะสร้างความเสียหายต่อดาวเทียมของโลกได้  การค้นพบดาวเคาระห์น้อย (Asteroid)ครั้งนี้นับเป็นเรื่องที่น่าฮือฮามากสำหรับนักดาราศาสตร์และนักล่าดาวเคราะห์น้อย  และเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น แต่จากการคำนวณแล้วนั้นนักดาราศาสตร์ยืนยันว่า มันแค่เคลื่อนที่เฉียดโลกเท่านั้น ไม่ได้พุ่งเข้าชนโลก โดยในวันที่ 15  กุมภาพันธ์ .. 2556  ดาวเคราะห์น้อยจะเคลื่อนที่พาดผ่านเข้ามาทางตอนเหนือของโลกเวลาประมาณ 02.26 ตามเวลาในประเทศไทย และจะอยู่ในเงาของโลกประมาณ 18 นาที การสังเกตดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ด้วยตาเปล่านั้นถือเป็นเรื่องยากมากเพราะดาวเคราะห์ดวงนี้มีค่าแมกนีจูด 8ซึ่งถือว่าน้อยมาก จะต้องใช้กล้องโทรทรรศน์ในการสังเกตการณ์ปรากฏการณ์ในครั้งนี้ 

ขอบคุณ http://www.narit.or.th/

วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Ada Lovelace เว็บไซต์ Google ได้ร่วมรำลึกถึงคุณงามความดีของ Ada Lovelace โดยเปลี่ยนเป็นโลโก้ร่วมฉลองวันเกิดครบรอบ 146 ปีของ Ada Lovelace ด้วย



Ada Lovelace
Ada Lovelace 
วันนี้เป็นโลโก้เว็บกูเกิ้ลน่าจะเป็นบุคคลสำคัญด้านใดด้านหนึ่งเราไปทำความรู้จัก
กันสักหน่อยครับ
Ada Lovelace มีชื่อเต็มว่า Lady Augusta Ada Byron, Countess of Lovelace (เอดา ไบรอน เลิฟเลซ) เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2358 (ค.ศ. 1815) เป็นบุคคลสำคัญในวงการคอมพิวเตอร์ที่น่าเรียนรู้ประวัติของท่านเป็นอย่างยิ่งเพราะท่านคือโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก
Ada Lovelace ศึกษาด้านคณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ และได้รู้จักกับ ชาร์ลส แบบเบจ ในงานสังสรรค์แห่งหนึ่ง เธอได้ใช้ความรู้ความสามารถในการสร้างภาษาสำหรับเครื่องวิเคราะห์ (analytical engine) ของชาร์ลส แบบเบจ
เครื่องมือนี้สามารถรับโปรแกรมและทำงานตามคำสั่งในโปรแกรมได้ โดยท่านได้เสนอเทคนิคการเขียนโปรแกรมแบบวนรอบซ้ำ ๆ ที่เรียกว่า loop จนเป็นพื้นฐานการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน เธอเชื่อว่าต่อไปเครื่องมืออันนี้จะมีความสามารถที่จะแต่งเพลงที่ซับซ้อน สร้างภาพกราฟิก นำมาใช้เพื่อการคำนวณขั้นสูง และพัฒนาวงการวิทยาศาสตร์ได้
เอดาได้แนะนำแบบเบจให้ลองเขียนแผนผังการทำงาน ของเครื่องมืออันนี้ให้สามารถคำนวณ Bernoulli numbers ขึ้นมา ต่อมาแผนการทำงานที่แบบเบจเขียนนั้นได้ถูกยกย่องว่าเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์แรกของโลก เธอจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก
ต่อมาไม่นานสุขภาพของเธอก็เริ่มมีปัญหาและก็เสียชีวิตด้วยวัยเพียง 37 ปีเท่านั้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯก็ได้สร้างภาษาคอมพิวเตอร์มาตรฐาน ISO ขึ้นมาตัวแรก และได้ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ Ada Lovelace ว่า ภาษา “ADA”
Ada Lovelace คือใครประวัติ Ada Lovelace เป็นอย่างไร
เว็บไซต์ Google ได้ร่วมรำลึกถึงคุณงามความดีของ Ada Lovelace โดยเปลี่ยนเป็นโลโก้ร่วมฉลองวันเกิดครบรอบ 146 ปีของ Ada Lovelace ด้วย


Credit :  http://www.comfixclub.com/ada-lovelace/#ixzz2EevnfBVR

เฉลยปัญหาโลกเเตก ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อน ?

นักวิทยาศาสตร์ในอังกฤษประกาศว่า พวกเขาพบคำตอบของปัญหาโลกแตกนี้แล้ว ซึ่งก็คือ "ไก่" เกิดก่อน โดยนักวิจัยได้บันทึกคำตอบดังกล่าวลงในรายงานที่มีการเผยแพร่ออกมาแล้วว่า โปรตีนชื่อ ovocledidin-17 เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ไข่มีเปลือกแข็งอย่างที่เห็น และด้วยเหตุผลง่ายๆ ก็คือ โปรตีนที่จำเป็นดังกล่าวจะสามารถผลิตได้จากในตัวไก่เท่านั้น ดังนั้นไข่จึงไม่มีวันที่จะเกิดขึ้นมาก่อนที่จะมีไก่ได้ 

"มันเป็นเวลานานแล้วที่เราสงสัย ว่า ไข่น่าจะเกิดก่อนไก่ แต่ตอนนี้ เราได้ข้อพิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์ที่แสดงให้เห็นข้อเท็จจริงแล้วว่า ไก่เกิดก่อน" ดร.โคลิน ฟรีแมน จากสาขาวัสดุวิศวกรรม (Department of Engineering Materials) มหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ กล่าว ในขณะเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า การค้นพบคำตอบดังกล่าวสามารถนำไปใช้ในการหาคำตอบของอายุของพวกมันว่าเกิดมา นานเท่าไรแล้วได้อีกด้วย
โดยการใช้คอมพิวเตอร์ที่สามารถวิเคราะห์โครง สร้างโมเลกุลของเปลือกไข่ ทีมนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ และวอร์วิคพบว่า โปรตีน OC-17 ทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้น และเริ่มต้นกระบวนการเปลี่ยนสภาพของแคลเซียมคาร์บอเนตจากในตัวไก่ให้อยู่ใน รูปของเปลือกแข็งที่ใช้ห่อหุ้มไข่แดงและไข่ขาว ซึ่งหากไม่มีไก่ขั้นตอน หรือกระบวนการนี้ก็จะไม่อาจเกิดขึ้นได้ 
"การเข้าใจว่า ไก่สามารถสร้างเปลือกไข่ได้จากในตัวมันเองได้อย่างไร ยังทำให้เราได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับการออกแบบวัสดุ และกระบวนการผลิตใหม่ๆ อีกด้วย" ศาสตราจารย์ จอห์น ฮาร์ดิง จากมหาวิทยลัยเชฟฟิลด์ กล่าว "ธรรมชาติพบคำตอบที่เป็นนวตกรรมที่สามารถนำมาแก้ปัญหาได้ทุกอย่างในเรื่อง ของวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีทางด้านวัสดุ เราสามารถเรียนรู้อะไรได้อีกมากมายจากการค้นพบนี้"

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

"Hope Diamond"

 "Hope Diamond"


ขอขอบคุณ http://www.oneclickdiamond.com/

เพชร นอกจากจะสวยงาม เป็นสิ่งล้ำค่าหายากแล้ว ยังผูกพันธ์อยู่กับความเชื่อมากมาย เพชร
"โฮปไดมอนด์" เพชรสีน้ำเงินเข้มเม็ดนี้เป็นอีกหนึ่งตำนานที่ได้รับการกล่าวขานมาเนิ่นนาน โฮปไดมอนด์ ปรากฏตัวเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในปี 1660 (บางเอกสารกล่าวว่าปี 1661) ว่ากันว่า เพชรโฮปมาจากดวงตาของเทวรูปในวัดริมแม่น้ำโคเลอรูน (Coleroon) ในอินเดีย เพชรหนัก 112 กะรัต(22.44 กรัม) 3/16 กะรัต ซึ่งนับว่าใหญ่ที่สุดในโลกในบรรดาเพชรสีน้ำเงินในอดีตที่เคยพบมา เม็ดนี้ ถูกขุดพบในเหมืองคอลเลอร์ (Kollur mine) ในกอลคอนดา เป็นเพชรที่หายากและมีสีน้ำเงินเหมือนสีไพลินเข้ม ชอง-แบปตีส ตาแวร์นีเย (Jean-Baptist Tavernier) พ่อค้าเพชรชื่อดังชาวฝรั่งเศส ซื้อเพชรนี้มาและลักลอบนำเข้าไปยังกรุงปารีสใน ค.ศ. 1668
จุดกำเนิดอาถรรพ์อยู่ที่เรื่องเล่าที่ว่า แท้จริงแล้วเพชรถูกขโมยมาจากพระเนตร (บางที่ก็ว่าจากพระนลาฏ) ของเทวรูปนางสีดาซึ่งเป็นร่างที่พระนางลักษมีชายาของพระวิษณุที่ชาวอินเดียเคารพนับถืออย่างสูงแปลงลงมาจุติ ทำให้เทพเจ้าไม่พอพระทัยและสาปแช่งมนุษย์ผู้ใดก็ตามที่บังอาจครอบครองสมบัติชิ้นนี้ อย่างไรก็ตาม มีผู้แสดงความคิดเห็นคัดค้านว่าตำนานนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง เนื่องจากรูปร่างของเพชรดิบสีน้ำเงินไม่เหมาะที่จะเป็นอัญมณีประดับที่พระเนตร(หรือพระนลาฏ) ของเทวรูปเลย แต่ไม่ว่าคำสาปแช่งจะมีอยู่จริงหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่จะได้เล่าต่อไปก็ล้วนชี้ให้เห็นว่าบรรดาเจ้าของเพชรอาถรรพ์ต่างก็ประสบชะตากรรมเลวร้ายทั้งสิ้น
หลังจากที่ตาแวร์นิเยร์เดินทางกลับประเทศฝรั่งเศส เขาได้ขายเพชรเม็ดใหญ่นี้ให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งราชวงศ์บูร์บอง ในปี 1668 และเมื่ออายุได้ 84 ปี ตาแวร์นิเยร์ก็เสียชีวิตอย่างลึกลับที่รัสเซีย โดยมีข่าวลือว่าเขาถูกหมาป่าฉีกร่างจนตาย นับเป็นการสังเวยครั้งแรกให้แก่อาถรรพ์เพชรโฮป พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซื้อเพชรจากตาแวร์นิเยร์ ด้วยราคาหลักล้าน เพชรถูกเจียระไนเป็นรูปหยดน้ำรูปทรงสามเหลี่ยมหนัก 67.5 กะรัต โดยนายเปเตออง (Petean) ช่างฝีมือเน้นเรื่องขนาดมากกว่าความงามของน้ำเพชร
ครั้งนี้พระองค์ทรงให้ตัดแบ่งเพชรออกเป็น 3 ส่วน ชิ้นแรกนั้นหายสาปสูญไป ส่วนอีกสองชิ้น ชิ้นหนึ่งได้รับการเจียระไนเป็นรูปหัวใจขนาด 67 1/8 กะรัต และใช้เป็นเพชรประดับประจำราชวงศ์ฝรั่งเศสมาอีกนับทศวรรษในชื่อ "เพชรมงกุฏสีน้ำเงิน" (Blue diamond of the crown) หรือ "สีน้ำเงินแห่งฝรั่งเศส" (French Blue) ซึ่งในเวลาต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นเพชรโฮป ส่วนเพชรชิ้นสุดท้ายไม่มีหลักฐานแน่ชัดแต่เชื่อว่าคือเพชรที่เรียกว่า "บรันสวิก บลู " เคราะห์กรรมของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กับพระนางมารีอังตัวเน็ตนั้นมีชื่อเสียงเกินพอจนไม่มีอะไรจะให้พูดถึง และมีการกล่าวว่าเจ้าหญิงซึ่งเคยยืมเพชรเม็ดนี้จากพระนางมารีอังตัวเน็ตมาใส่บ่อยๆก็ถูกประชาชนรุมฆ่าตายอย่างทารุณ เวลาผ่านไป
ความโชคร้ายก็เริ่มคืบคลานเข้าครอบงำสมาชิกราชวงศ์และผู้ที่เกี่ยวข้องกับเพชรทีละน้อย เสนาบดีคลัง นิโคลัส ฟูเก ที่เคยหยิบยืมเพชรไปใส่ ในที่สุดก็ต้องออกจากตำแหน่ง ทั้งยังต้องโทษติดคุก แต่ที่ร้ายไปกว่านั้น คือชะตากรรมของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระราชินีมารี อังตัวเนตต์ที่ได้รับสืบทอดเพชรแห่งหายนะ ทั้งสองพระองค์ถูกตัดพระเศียรด้วยกิโยตินอย่างน่าสยดสยอง ดังที่จารึกอยู่ในประวัติศาสตร์การปฏิวัติอันนองเลือดของฝรั่งเศสในปีคริสตศักราช 1789 และบางส่วนของเพชรมรณะเม็ดนี้ก็ได้หายสาปสูญไปในเหตุการณ์วุ่นวายครั้งนี้ด้วย ปี 1792 ระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส มีกลุ่มหัวขโมยบุกเข้าปล้นเพชรบางส่วนที่เหลืออยู่จากราชวังที่ปิดตายอยู่ ในระหว่างนี้เพชรถูกตัดให้เล็กลงอีกเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยที่มาจนเหลือขนาด 44.50 กะรัต คนรักของพระองค์ที่ได้รับเพชรเม็ดนี้เป็นของขวัญก็ถูกขับออกจากราชสำนักในภายหลังเนื่องจากวางแผนจะวางยาพิษราชินี คือ มาดาม เดอ มงเตสปอง (Madam de Montespan) นางกลายเป็นที่เกลียดชังของราชสำนัก เพชรฝรั่งเศสสีน้ำเงินนี้ ได้หายไปในเดือนกันยายน ค.ศ. 1792 หลังจากการปล้นเพชรครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ที่คลังเก็บสมบัติแห่งชาติ (The National Garde Meuble) ใน ค.ศ. 1812


ต่อมาในปี 1813 ณ กรุง ลอนดอน นายหน้าค้าเพชรนาม ดาเนียล เอเลียสัน (Daniel Eliason) ได้เพชรสีน้ำเงินเม็ดหนึ่งขนาด 44 กะรัตมาไว้ในครอบครอง ถึงแม้รูปร่างลักษณะจะไม่เหมือนเดิม แต่ด้วยความงามที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นเชื่อกันว่า มันก็คือเพชรน้ำเงินแห่งฝรั่งเศสที่ถูกเปลี่ยนรูปร่างไปเพื่อให้สะดวกต่อการขนย้ายข้ามชาติอย่างลับๆ กล่าวกันว่าผู้ที่ทำการเจียระไนคือ วิลเฮล์ม ฟาลส์ (Wilhlem Fals) นักเจียระไนชาวฮอลแลนด์ก็มีจุดจบอย่างน่าเศร้า ถูกบุตรชายของตนเองขโมยเพชรล้ำค่าไปจนตรอมใจตาย ในขณะที่บุตรคนนั้นในภายหลังก็ได้ฆ่าตัวตายอย่างไม่ทราบสาเหตุ มีหลักฐานจากบางแหล่งว่าพระเจ้าจอร์จที่ 4 แห่งราชวงศ์อังกฤษก็เป็นพระองค์หนึ่งที่เคยได้ครอบครองเพชรอาถรรพ์ และทางราชวงศ์ต้องขายมันไปเมื่อสิ้นพระชนม์เพื่อจ่ายหนี้ที่มีอยู่มหาศาล
จากนั้นเพชรก็ถูกเปลี่ยนมือไปเรื่อยๆ จนในปีคริสตศักราช 1939 เฮนรี ฟิลิปโฮป (Henry Philip Hope) เจ้าของมรดกบริษัทการธนาคารก็ซื้อเพชรสีน้ำเงินเม็ดนี้ไว้ เพชรมงกุฏแห่งฝรั่งเศสจึงได้กลายเป็นเพชรประจำตระกูลโฮป และได้ชื่อว่า "เพชรโฮป" นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ลอร์ดฟรานซิส เพลแฮม คลินตัน โฮป (Lord Francis Pelham Clinton Hope) ซึ่งได้เป็นเจ้าของเพชรของพ่อของเขา ท้ายที่สุดแล้วกลับล้มละลายและเพชรก็ได้หายไปอีกครั้งหนึ่ง (ภายหลังเมย์ภรรยาเก่าหย่ากับฟรานซิสและใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้นไปจนเสียชีวิต เธอกล่าวว่าเคราะห์ร้ายของตัวเองเป็นเพราะโฮปไดอามอนด์) หลังจากถูกขโมย เพชรถูกขายให้กับช่างเจียระไนเพชรในอัมสเตอร์ดัมส์ ซึ่งลูกชายของช่างที่ขโมยออกมาขายก็เกิดคลุ้มคลั่งจนฆ่าตัวตายไป ส่วนเอเรียสันนั้นถูกกล่าวว่าตกม้าตายหลังจากซื้อเพชรมาไว้ในครอบครอง

ฟรานซิสล้มละลาย จึงขายเพชรต่อให้กับพ่อค้าเพชรในลอนดอนชื่ออดอฟล์ เวล เป็นเงิน 29,000 ปอนด์ ซึ่งอดอฟล์ก็ขายต่อให้กับไซมอน แฟรงเกล พ่อค้าเพชรชาวอเมริกาอีกที อีกครั้งที่เพชรโฮปได้เดินทางไปทั่ว ผ่านพระหัตถ์ของเจ้าชายคานิตอฟสกีแห่งรัสเซีย ซึ่งทรงได้มอบเพชรเป็นของกำนัลแก่นางละครที่โฟลีส์ แบแย (Folies Bergere) คนเดียวกับที่พระองค์ทรงยิงจนเสียชีวิตในอีกไม่กี่วันต่อมา ส่วนตัวเจ้าชายก็ถูกพวกกบฏแทงสิ้นพระชนม์ตามไปติดๆ ไปจนถึงชาวกรีกคนหนึ่งชื่อ ไซมอน มอนธะริเดส (Simon Montharides) ที่ซื้อเพชรโฮปไว้แต่ก็ต้องประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิตทั้งครอบครัว
ถึงปีคริสศักราช 1908 ปีแยร์ การ์ตีเย (Pierre Cartier) พ่อค้าเพชรชาวปารีส ได้ขายเพชรโฮปผ่านทางสุลต่านอับดุล-ฮามิด (Abdul - Hamid) เพชรตกเป็นของสุลต่านแห่งตุรกี อับดุล ฮามิดที่ 2 ไม่นาน อาณาจักรออสมันด์ล่มสลาย พระองค์จึงถูกเรียกว่าเป็น"ราชาที่ถูกเพชรสาป" แฟรงเกลขายเพชรให้กับโซโลมอน ฮาบิบ ชาวกรีก เป็นเงิน 400,000 ดอลล่าร์ ฮาบิบเอาเพชรออกขายในงานประมูลเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ และพ่อค้าเพชรโรสนัวก็เป็นผู้ซื้อไปก่อนจะขายให้กับปีแยร์ การ์ตีเย ในปี 1910 เป็นเงิน 550,000 ฟรัง และในปลายปีถัดมา นายฮาบิบ ก็เสียชีวิตจากเรืออัปปาง ที่ช่องริโอ

เพชรจึงถูกนำมาประมูลขายมาใช้หนี้ โดยปิแอร์ คาร์เทียร์เป็นผู้ได้เพชรเม็ดในปี 1950 เป็นเงิน 550,000 ฟรัง และปี 1911 จึงตกแต่งเพชรขายให้กับ วิลเลียม แมกลีน (William Mclean) ภรรยานายเอ็ดเวิร์ด แมคลีน (Edward Mclean) เจ้าของหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ แล้วเพชรเม็ดนี้ก็ถูกนำไปที่สหรัฐอเมริกา แมกลีน ซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ซื้อเพชรมาด้วยราคา 154,000 ดอลลาร์สหรัฐ ภรรยาของแมกลีนต้องการให้พระทำพิธีขับไล่ผีในเพชรก่อน พิธีนี้จึงได้มีขึ้นและเธอก็ป่าวประกาศว่ามี "ฟ้าผ่าและฟ้าแลบในระหว่างพิธี" ด้วย หลังจากนั้นเธอจึงค่อยสวมใส่เพชรเม็ดนี้ โชคร้ายที่ดูเหมือนคำสาปในเพชรยังคงมีอยู่ ใน ค.ศ. 1918 ลูกชายของแมกลีนอายุ 9 ขวบ หลุดรอดจากการดูแลของบรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและถูกรถคันหนึ่งชนเสียชีวิต แมกลีนจึงดื่มเหล้าและหลังจากนั้นไม่กี่เดือนลูกสาวคนเดียวของพวกเขาก็ปลิดชีพตัวเองโดยใช้ยานอนหลับ
ใน ค.ศ. 1949 แฮร์รี วินสตัน (Harry Winston) พ่อค้าเพชรชาวนิวยอร์ก ได้ซื้อเพชรโฮปไปด้วยราคา 180,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำไปเพิ่มชุดสะสมส่วนตัวของเขา แม่ของแมคลีนเสียชีวิตหลังจากซื้อเพชรมาได้ไม่นานนัก ในไม่ช้าคนใช้ 2 คนก็เสียชีวิต ตามด้วยลูกชายวัย 10 ปีของเธออีกคน หลังเหตุการณ์นี้ เอวาลินหย่าจากเอ็ดวาร์ด ซึ่งตัวเอ็ดวาร์ดเอง หลังจากป่วยมีอาการทางจิตก็เข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิตที่นั่น ลูกสาวเพียงคนเดียวของเอวาลีนตายเนื่องจากทานยานอนหลับเกินขนาด เอวาลีนพยายามแก้เคล็ดด้วยการไปอธิษฐานในโบสถ์ แต่ก็ไม่เป็นผลและต้องเสียครอบครัวทั้งหมดไป (ในความเป็นจริง ยังมีหลานอยู่รับกรรมสิทธิ์ต่อ) ใน ค.ศ. 1958 เอดนา วินสตัน (Edna Winston) ได้บริจาคเพชรเม็ดนี้ให้แก่สถาบันสมิทโซเนียนในกรุงวอชิงตัน ซึ่งเป็นที่ที่จัดแสดงเพชรจนปัจจุบัน



 "Hope Diamond"

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

หลักฐานเด็ด (หลุดจากนาซ่า) ยืนยันสิ่งก่อสร้างบนดวงจันทร์มีอยู่จริง!!!



ภาพถ่ายจากศูนย์วิจัย Nasa Ames Research Centre  เผยให้เห็นสิ่งก่อสร้างรูปสี่เหลี่ยม 


 

ภาพถ่ายของสอง นักวิทยาศาสตร์ Anthony Colaprete และ Karen Gundy-Burlet
กำลังทำงานอยู่ที่  ศูนย์วิจัย Nasa Ames Research Centre  ซึ่งดูจากภาพ ในคอมพิวเตอร์
น่าจะเกี่ยวกับดวงจันทร์



แต่ประเด็นสำคัญ ของภาพถ่ายนี้คือ ภาพถ่ายพื้นผิวดวงจันทร์ที่วางอยู่บน โต๊ะทำงาน
ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ คนหนึ่งวางแขนทับมันอยู่ และเมื่อซูมเข้าไปใกล้ๆ สิ่งที่พบคือ....





มันคือ..... สิ่งก่อสร้างคล้ายฐานทัพรูปสี่เหลี่ยม ตั้งอยู่ตรงฐาน ของปล่องภูเขาไฟ
หรืออาจเป็นปล่องทางเข้าไปสู่ พิภพใต้พื้นดินของดวงจันทร์....
หลักฐานมัดแน่นหนาสำหรับจอมลวงโลก..

แต่....ทะว่า เจ้าสิ่งนี้โดนนาซ่าทำลายไปซะแล้ว โดยการทิ้งระเบิด นิวเคลียร์ ไปเมื่อ ปี 2009
ตามลิ้งค์ นี้ครับ
http://www.scientificamerican.com/article.cfm?id=nasas-mission-to-bomb-the-moon-2009-06
NASA's mission to bomb the Moon

เปรียบเทียบภาพจากศูนย์วิจัย กับภาพอื่นๆของปล่องภูเขาไฟดังกล่าว แต่กลับไม่พบสิ่งนั้น




ตอนนี้หลายๆ ข้อมูลที่โดน ปกปิด เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตนอกโลก ในระบบสุริยะของเราและในจักรวาล
เริ่มโดน ตีแผ่ ความจริงออกมาเรื่อยๆ...







เพิ่มเติมข้อมูล

เมื่อปี 2009  

ยังจำกันได้ไหม กับภาระกิจระเบิด ดวงจันทร์หาน้ำ  
โดย อ้างว่า   เพื่อตรวจหาแหล่งน้ำและน้ำแข็ง ซึ่งมีความสำคัญต่อการสำรวจดวงจันทร์ของมนุษย์ในอนาคต 

นาซา เรียกชื่อภารกิจครั้งนี้ว่า "LCROSS" มูลค่า 79 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยยานอวกาศที่จะถล่มดวงจันทร์ ประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญคือจรวดขนาดใหญ่ชื่อว่า Centaur และส่วนของยานอวกาศ นาซาปล่อยจรวดและยานขึ้นสู่อวกาศตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และได้เชื่อมต่อกันในเวลาต่อมา นาซาได้ออกแบบให้ส่วนของยานอวกาศเป็นผู้นำพาจรวดไปยังเป้าหมายที่ขั้วใต้ ของดวงจันทร์ ซึ่งมีปากปล่องภูเขาไฟความกว้าง 98 เมตร 
ข้อมูลจาก : news.sanook.com/นาซาส่งยานอวกาศพุ่งชนดวงจันทร์หาน้ำ

อันที่จริงแล้ว การระเบิดดวงจัทร์ ครั้งนั้น เป็นเพียงการเปิดทาง เพื่อเข้าไปสำรวจข้างในดวงจัทร์
เพื่อคนหาสิ่งมีชิวิต

ในปี 2011 หรือ 2554 

นาซ่าได่ส่ง ยานไปสำรวจภายใน ดวงจันทร์ อย่างจริงจัง  หลังจากที่ระเบิด เปิดทางเข้าไว้แล้ว
โดยอ้างว่า เพื่อการจัดทำแผนที่โครงสร้างภายใน  



วันที่ 11 ก.ย. 2554 'นาซา'ปล่อยยานแฝด 'เกรล' ทำแผนที่ภายในดวงจันทร์

องค์การนาซาได้ทำการส่งยานแฝดเกรล ไปสำรวจดวงจันทร์ เพื่อการจัดทำแผนที่โครงสร้างภายใน ของดาวบริวารของโลกดวงนี้เป็นครั้งแรก และคาดว่าจะเดินทางไปถึงในช่วงสิ้นปี...


สำนักข่าวต่าง ประเทศ รายงานวันที่ 11 ก.ย.2554 ว่า องค์การบริหารหารบินและยานอวกาศแห่งชาติ หรือ องค์การนาซา เปิดเผยว่า ได้ทำการปล่อยยานอวกาศแฝด 'เกรล' ไปกับจรวดที่ชื่อว่า 'เดลตา ทู' จากฐานปล่อยจรวดของกองทัพอากาศ ที่แหลมคานาเวรัล รัฐฟลอริดา เมื่อเวลา 9.08 น. วันเสาร์ (ตามเวลาท้องถิ่น) โดยส่งไปสำรวจและจัดทำแผนที่ส่วนแกนชั้นในของดวงจันทร์เป็นครั้งแรก

นาย จอร์จ ดิลเลอร์ นักวิเคราะห์ของนาซาคาดว่า ยานอวกาศทั้งสองลำจะใช้เวลาเดินทางสู่ดวงจันทร์ประมาณ 3 เดือน และจะเดินทางถึงขั้วของดวงจันทร์ในช่วงวันขึ้นปีใหม่ และเมื่อถึงแล้ว ยานทั้งสองจะลอยอยู่ห่างจากพื้นผิวของดวงจันทร์ราว 55 กม. และมีระยะห่างจากกันราว 60-225 กม. โดยจะใช้เวลาทำภารกิจประมาณ 40 วัน

แผน การในครั้งนี้คือ จะให้ยานทั้งสองใช้อุปกรณ์แรงโน้มถ่วง สำรวจและทำแผนที่ภายในของดวงจันทร์ และจะทำให้รู้ถึงสิ่งที่อยู่ภายในดวงจันทร์ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์โลกยังมีความรู้ในส่วนนี้น้อยมาก และอาจทำให้รู้ไปถึงพื้นที่ส่วนไกล หรือ 'ด้านมืด' ของดวงจันทร์ ที่ยังไม่เคยมีการสำรวจมาก่อน ซึ่งอาจตอบคำถามของเหล่านักวิทยาศาสตร์ได้ว่า ครั้งหนึ่งโลกเคยมีดวงจันทร์สองดวง แต่อีกดวงได้ชนและรวมตัวกันเป็นดวงจันทร์ในปัจจุบันแล้วหรือไม่

ด้าน นายบ๊อบบี โฟเกล นักวิทยาศาสตร์ของนาซา กล่าวว่า ภารกิจของยานแฝดเกรล ถือเป็นภารกิจแรก ที่เป็นการสำรวจโครงสร้างภายในของดวงจันทร์อย่างจริงจัง

นัก วิทยาศาสตร์เชื่อมาตลอดว่า ดวงจันทร์เกิดจากการที่วัตถุขนาดเทียบเท่าดาวเคราะห์พุ่งชนโลกในช่วงที่ กำลังก่อตัวใหม่ๆ ทำให้เนื้อบางส่วนของโลกที่ยังคงร้อนอยู่กระเด็นออกไป และก่อตัวเป็นดวงจันทร์ แต่ทฤษฎีนี้ไม่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมดวงจันทร์ถึงยังคงร้อนอยู่ และทำไมถึงมีทะเลแม็กมา ซึ่งต่อมาได้แข็งตัวเป็นคริสตัล แต่ในภารกิจสำรวจดวงจันทร์ในครั้งนี้ จะทำการทดสอบเพื่อหาคำอธิบายในเรื่องพวกนี้ทั้งหมด




อนึ่ง นาซาใช้งบประมาณไปถึง 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท ในการสร้างยานเกรลทั้งสอง และภายในเดือนพฤศจิกายน นาซาจะทำการส่งยานสำรวจไปยังดาวอังคาร ซึ่งคาดว่า จะใช้เวลาเดินทางราวสองปี


ที่มา: http://allmysteryworld.blogspot.com/2012/03/moon-structures-alien-bases-caught-on.html#ixzz2A5kCcXph
ขอบคุณครับที่ใส่เครดิต 

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

The Satanic Bible -VS-HOLY BIBLE ทำความรู้จักทั้ง 2 Bibleกัน


ขอขอบคุณ www.dek-d.com

 



เมื่อเรามี HOLY BIBLE มารซาตานก็มีเหมือนกัน ค่ะ เขาเรียกว่า The Satanic Bible
เนื้อหาใน 
The Satanic Bible มีอะไรบ้าง และแตกต่างจาก HOLY BIBLE อย่างไร
ท้ายจะค่อยๆ บรรยายและอธิบายให้นะคะ ตามอ่านกันต่อเลยค่ะ ^^


ขอเริ่มที่ The Holy Bible ก่อนนะคะ
http://ldsvoice.files.wordpress.com/2011/09/holy-bible.jpg
The Holy Bible ถูกเขียนขึ้นมา ในประมาณปี 1400 ก่อน ค.ศ. โดยรวมแล้ว The Holy Bible เขียนขึ้นโดย ชนชาติอิสราเอลที่ถูกเลือกสรรไว้โดยพระเจ้าให้เป็นชนชาติของพระองค์  พระ ธรรม ปฐมกาล เริ่มต้นเขียนโดย โมเสส หลังจากที่เขาได้ขึ้นไปพบกับพระเจ้าที่ภูเขาซีนาย เขาได้เขียนเรื่องราวย้อนหลังไปถึงการสร้างโลกของพระเจ้า โดยการดลใจจากพระเจ้า โดยมีคำกล่าวใน พระคำภีร์ว่า พระ คัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง  (2ทิมโมที3:16 - 17)  และ ต่อมาได้มีการรวบรวมพระวจนะ ประวัติศาสตร์ คำพยากรณ์ กฏหมาย และอื่นๆอีกมายมาย ตามการดลใจของพระเจ้าหลังจากนั้นก็มีการ รวบรวมเข้าเป็นพระคัมภีร์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จำถึงเล่มสุดท้ายประมาณปี ค.ศ. 96 – 97 ซึ่งเป็นปีที่พระคัมภีร์เล่มสุดท้ายของยอห์น คือ พระธรรมวิวรณ์ (Revelation of John)ใช้เวลารวบรวมทั้งสิ้น 1600 ปี ถูกเขียนโดยคนประมาณ 40 คน มีทั้งสิ้น 66 เล่ม

พระ คัมภีร์ถูกรวบรวมเอาไว้เป็นอย่างดีในยุค การข่มเหงคริสตจักรในสมัยแรก จดหมายหรือคำสอน ของอัครทูต(พันธสัญญาใหม่)รวมทั้งพันธสัญญาเดิม คริสเตียนได้คัดลอกเก็บเอาไว้เป็นอย่างดี เพราะในสมัยนั้น ผู้ที่ครอบครองพระคำภีร์มีอันตรายมากถึงชีวิต เนื่องจากการโดนข่มแหง ซึ่งเป็นส่วนช่วยให้ พระคำภีร์ต้นฉบับถูกเก็บเอาไว้อย่างมิดชิด จึงไม่มีปัญหาเรื่องฉบับปลอม เพราะในเวลานั้นอัครทูตก็ยังมีชีวิตอยู่ และควบคุมดูแลอยู่ต่อมาเมื่อมี ค.ศ. 1454 เครื่องพิมพ์ได้ถูกสร้างขึ้น โดยมีสำเนาพระคัมภีร์ถึง 2000 ฉบับ ในการเปรียบเทียบกัน เพื่อสร้างพระคัมภีร์ฉบับที่สมบูรณ์ที่สุดในสมัยนั้น ซึ่งจัดพิมพ์โดยนาย John Gutenberg เป็นภาษาเยอรมัน ต่อมาได้ถูกแปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษ ในยุคของกษัตริย์ King James ในปี ค.ศ. 1611 และต่อมาก็ได้แปลออกเป็นภาษาอื่นๆเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันได้ถูกแปลกว่า1200 ภาษา รวมทั้งภาษาไทยด้วย
พระคัมภีร์ไบเบิล มีเอกลักษณ์ คือพระคัมภีร์มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างน่าอัศจรรย์เป็นเรื่องที่ยากมากที่หนังสือ 66 เล่มจะมีความสอดคล้องกัน โดยไม่ขัดกันเลยแม้แต่เล่มเดียว โดยที่มีผู้เขียนกว่า 40 คน ที่เกิดในยุคและสมัยแตกต่างกัน

พระ คัมภีร์เป็นหนังสือที่ไม่มีการปรับปรุงแก้ไข ใดๆทั้งสิ้นจึงมั่นใจได้ว่า ไม่มีการตกหล่นหรือเพิ่มเติมเนื้อหาอย่างแน่นอน เนื่องจากยอห์นผู้เขียนพระคัมภีร์เล่มสุดท้ายนั้นได้บอกไว้อย่างชัดเจน ว่า(วิวรณ์ 22:18 – 19) ข้าพเจ้า เตือนทุกคนที่ได้ยินคำพยากรณ์ในหนังสือนี้ว่า ถ้าผู้ใดจะเพิ่มเติมคำเข้าไปในหนังสือนี้ พระเจ้าก็จะทรงเพิ่มภัยพิบัติที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้แก่ผู้นั้น และถ้าผู้ใดตัดข้อความออกจากหนังสือพยากรณ์นี้ พระเจ้าก็จะทรงเอาส่วนแบ่งของผู้นั้น ที่มีอยู่ในต้นไม้แห่งชีวิตและที่มีอยู่ในวิสุทธนครนั้น ซึ่งบรรยายไว้ในหนังสือเล่มนี้ไปเสีย

มี หนังสืออรรถาธิบายมากมาย ในประเทศไทยใช้หนังสือหลายเล่มด้วยกันในการตีความหมาย พระคำภีร์เนื่องจากพวกเราต่างชาติต่าววัฒธรรมในสมัย พันธสัญญาใหม่และพันธสัญญาเดิมมาก จึงจำเป็นที่จะต้องใช้หนังสือหลายเล่มในการอ้างอิง ไม่เพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่ต่างประเทศก็ใช้กันอย่างแพร่หลาย เอาที่ท้ายพอรู้มาแล้วกันนะคะ 
หนังสือที่ช่วยตีความหมายของ ไบเบิล ได้แม่งยำมากขึ้นคือ


1-พระคำภีร์ฉบับแปลต่างๆ โดยทั่วๆไปแล้วเราจะใช้ ฉบับ English Bible เป็นหลัก
ซึ่งคนที่นิยมใช้มากที่สุด สำหรับมือใหม่ก็คือ 
ฉบับ International English Bible ซึ่งผู้เขียนคือ  Jackson  
 
Jackson สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโท Master of Divinity จาก Fuller Theological Seminary และปริญญาเอก Doctor of Ministryจากมหาวิทยาลัย Godon-conwell Theological Seminary ท่านได้รับใช้ พระเจ้ากว่า 20 ปี โดยการเป็นศิษยาภิบาลคริสตจักรขนาด ใหญ่ในรัฐ Virginia และรัฐ Arizona และเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย  ท่านเคยกล่าวว่า โชค ไม่ดีที่เรามีพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษจำนวนมากที่แปลอย่าง ถูกต้องแม่นยำอยู่ในขณะนี้ แต่ใช้ภาษาที่แข็งทื่อเกินไป ยากแก่การที่ผู้อ่านจะเข้าใจและนำตัวเอง เข้าสู่ความหมายของพระวจนะอย่างถ่องแท้ได้ บางฉบับก็ใช้วิธีตีความที่บ่อยครั้งพบว่า ไม่ได้สอดคล้องกับเนื้อหาที่ผู้เขียนตั้งใจจะสื่อไปถึงผู้อ่านปัจจุบัน ท่าน ทำหน้าที่เป็นผู้นำกลุ่มท่องเที่ยวเชิงศึกษาสถานที่ในพระคัมภีร์ที่ตะวันออก กลาง ด้วยประสบการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้ท่านเกิดแนวคิดที่จะนำเอาสาระความรู้ทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมของคน ยิวผนวกเข้าไป ในการแปลพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ด้วย สิ่งที่ตามมาก็คือ ท่านมีความตั้งใจที่จะสร้างให้พระคัมภีร์ฉบับ International English Bible ให้เป็นฉบับที่อ่านง่ายสำหรับคนในยุค ศตวรรษ ที่21 รวม ทั้งการใช้ประโยคอ้างอิงจากพันธสัญญาเดิม การชี้ให้เห็นจุด ทางภูมิศาสตร์ที่เหตุการณ์เกิดขึ้น โดยโยงมาสู่สถานที่ที่ปรากฏในยุคปัจจุบัน การเล่าเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์อย่างย่อๆ และหน่วยการชั่ง ตวง วัด เปรียบเทียบกับยุคปัจจุบัน2- พจนานุกรม (Bible Dictionary)
3-คู่มือพระคำภีร์(Bible Handbook)
4- ศัพท์สัมพันธ์ (Concordance)
5-คู่มืออธิบายพระคำภีร์(Commentary)
6-หนังสือศาสนศาสตร์ (The ology)
7-แผนที่พระคำภีร์ (Bible Atlas)
8-หนังสือแนะนำพระคำภีร์ (Bible Introduction)
9- ภาษาฮิบรูและภาษากรีก
10-โปรมแกรมศึกษาพระคำภีร์ 

พระ คัมภีร์เป็นหนังสือที่มีผู้เขียนหนังสือ เพื่ออธิบาย และตีความหมายเนื้อหาของพระคัมภีร์มากที่สุดในโลก ซึ่งต่างจากหนังสือเล่มอื่นๆที่ไม่จำเป็นต้องมีอรรถาธิบายก็สามารถเข้าใจได้ หมดแล้ว


พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่อ่านได้ทั้งชีวิต
พระ คัมภีร์เป็นหนังสือเพียงเล่มเดียวที่อ่านได้ตลอดทั้งชีวิต ไม่ว่าจะอ่านจบกี่รอบแล้ว แต่เมื่อมาอ่านใหม่ก็จะได้รับข้อคิดใหม่ๆเสมอ คริสเตียนจะอ่านพระคัมภีร์ทุกวันเพื่อรับการสอนจากพระเจ้า เชื่อหรือไม่ว่า ไม่มีมนุษย์สักคนในโลกที่อ่านพระคัมภีร์หมดจนเข้าใจถี่ถ้วน100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครที่รู้หมดทั้งเล่ม แม้จะอ่านสักร้อยรอบก็เป็นเรื่องยาก คริสเตียนทุกคนต่างก็ต้องเรียนพระคัมภีร์อยู่เสมอ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพระเจ้าต้องการให้อ่านไปตลอดทั้งชีวิตนั่นเอง

เหตุผลที่พระคัมภีร์ไบเบิลเชื่อถือได้

1. ความตรงไปตรงมา
พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ซื่อตรงมาก แม้ความจริงจะน่าเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม
พระคัมภีร์ก็กล่าวถึงคนในพระคัมภีร์ว่า 

ยาโคบ (
Jacob) ผู้เป็นต้นกำเนิดแห่งชนชาติอิสราเอล เป็นคนหลอกลวง ซึ่งเขาได้หลอกลวงพี่ชายตนเองเพื่อจะได้รับสิทธิบุตรหัวปี(ปฐก 25:27 -34 ,27:6-35)




โมเสส(Moses) ผู้นำชนชาติอิสราเอล เป็นผู้นำที่ไม่มีความมั่นคงและโลเล ก่อนที่โมเสสจะมาช่วยเหลือชนชาติอิสราเอลนั้น โมเสสได้ฆ่าคนแล้วหลบหนีไปยังทะเลทราย นอกจากนั้นโมเสสยังไม่วางใจในพระเจ้า โดยได้ปฏิเสธคำสั่งของพระเจ้าอยู่หลายหน และยังละเมิดคำสั่งพระเจ้า จนพระเจ้าไม่พอใจเพราะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่ชนชาติอิสราเอล จนโมเสสถูกลงโทษไม่ให้มีโอกาสเข้าสู่ดินแดนพันธสัญญา




ดา วิด(David) กษัตริย์ ที่ชาวอิสราเอลรักมากที่สุด พระคัมภีร์ได้กล่าวว่าพระองค์ได้เอาภรรยาของทหารคนหนึ่งของพระองค์มา และได้วางอุบายให้สามีของนางไปออกรบเพื่อจะได้ถูกฆ่าเพื่อปกปิดความผิดบาปDavid & Bathsheba ดาวิด และ นางบัทเชบา (2 ซามูเอล 11:1-4)

พระ คัมภีร์ได้กล่าวโทษคนของพระเจ้าคือชนชาติอิสราเอลว่า เลวร้ายมากยิ่งกว่าเมืองโสโดมและโกโมราห์เสียอีก พระคัมภีร์ยังแสดงถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า และยังทำนายถึงอนาคตที่เต็มไปด้วยปัญหา พระคัมภีร์สอนว่าทางไปสู่สวรรค์นั้นแคบ แต่ทางไปสู่นรกนั้นกว้าง เห็นได้ชัดว่าพระคัมภีร์ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อต้องการ คำตอบสบายๆ หรือง่ายๆ ที่มองศาสนาและธรรมชาติของมนุษย์ในแง่ดีเพียงด้านเดียว

2. การรักษาพระคัมภีร์ไว้ให้เหมือนต้นฉบับเดิม
เมื่อ ประเทศอิสราเอลได้ถูกจัดตั้งขึ้นใหม่หลังจากได้กระจัดกระจายไปหลายพันปี คนเลี้ยงแกะชาวเบดูอินคนหนึ่งได้พบสมบัติทางโบราณคดีที่สำคัญที่สุดชิ้น หนึ่ง เป็นเวลากว่า 2000 ปีมาแล้วที่เอกสารนี้ได้ ถูกซ่อนอยู่ในไหแตก ในถ้ำแห่งหนึ่งทางชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลตาย นอกจากนี้ยังมีการค้นพบต้นฉบับคัดลอกซึ่งมีอายุเก่ากว่าสำเนา ที่เก่าที่สุดที่มีอยู่ ถึง 1000 ปี ฉบับคัดลอกฉบับหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือฉบับคัดลอกของพระธรรมอิสยาห์ ที่ปรากฎว่าเหมือนกับหนังสืออิสยาห์ในพระคัมภีร์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้ได้ลบคำกล่าวอ้างของบรรดาผู้ที่เชื่อว่า ต้นฉบับพระคัมภีร์ ได้สูญหายไปกับกาลเวลา และถูกบิดเบือนไป

3. ข้ออ้างในพระคัมภีร์เองว่าได้รับการดลใจจากพระเจ้า
ทิโมธี 3:16
พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม
ถ้า ผู้เขียนพระคัมภีร์ ไม่ได้กล่าวว่าตนกำลังพูดแทนพระเจ้า เราก็คงจะทึกทักไปเอง แต่ว่าหากไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว พระคัมภีร์ก็เป็นเพียงแค่วรรณกรรมทางประวัติศาสตร์และจริยธรรม ธรรมดาๆเล่มหนึ่งเท่านั้น และปัจจุบันนี้ก็คงจะไม่มีคริสเตียนและชาวยิวทั่วโลกอยู่เป็นล้านๆคนได้ แต่ว่ามีหลักฐานและข้อโต้แย้งมากมายที่สนับสนุนว่าผู้เขียนได้รับแรงบันดาล ใจจากพระเจ้า พระคัมภีร์คงจะเป็นหนังสือที่ดีไม่ได้ หากผู้เขียนโกหกเรื่องแหล่งที่มาของข้อมูล

4. การอัศจรรย์ของพระคัมภีร์
การ อพยพออกจากอียิปต์ของชาวอิสราเอล เป็นพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ที่สนับสนุนให้เชื่อว่าพระเจ้าทรงสำแดงต่อชาว อิสราเอล ถ้าทะเลแดงไม่ได้แยกออกตามในพระคัมภีร์ พระคัมภีร์เดิมก็คงสูญเสียสิทธิอำนาจที่จะกล่าวในนามพระเจ้า


ล้อรถม้าอยู่ก้นทะเล น้ำลึก มีโครงกระดูกและรอยรถม้าจำนวนมาก ที่ตกอยู่เบื้องลึกขอ


  URL สำหรับเรื่องนี้คือ:
http://www.arkdiscovery.com/red_sea_crossing.htm

พระ คัมภีร์ใหม่ก็มีเรื่องราวของการอัศจรรย์ต่างๆเช่นกัน อัครทูตเปาโลยอมรับว่า ถ้าพระเยซูไม่ได้ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย ความเชื่อของคริสเตียนก็มีพื้นฐานอยู่บนการหลอกลวงเท่านั้น
โครินธ์ 15:14 - 17
ถ้า พระคริสต์มิได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา การเทศนาของเรานั้นก็ไม่มีหลัก ทั้งความเชื่อของท่านทั้งหลายก็ไม่มีหลักด้วยและก็จะปรากฏว่าเราอ้างพยาน เท็จในเรื่องพระเจ้า เพราะเราอ้างพยานว่าพระองค์ได้ทรงชุบพระคริสต์ให้เป็นขึ้นมา แต่ถ้าคนตายไม่ถูกทรงชุบให้เป็นขึ้นมาแล้ว พระองค์ก็ไม่ได้ทรงชุบพระคริสต์ให้เป็นขึ้นมา เพราะว่าถ้าการชุบให้เป็นขึ้นมาไม่มี พระคริสต์ก็ไม่ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา และถ้าพระคริสต์ไม่ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา ความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์ ท่านก็ยังตกอยู่ในบาปของตน เพื่อเป็น การยืนยันความน่าเชื่อถือ พระคัมภีร์ใหม่ได้อ้างรายชื่อพยานหลายคนไว้ ซึ่งพยานเหล่านี้อยู่ในช่วงเวลาที่พิสูจน์ได้ด้วย พยานหลายคนยอมสละแม้ชีวิต มิใช่เพื่อศีลธรรมที่ไม่อาจจับต้องได้หรือเพื่อความเชื่อมั่นฝ่ายวิญญาณ แต่เพื่อคำกล่าวอ้างที่พวกเขายืนยันว่าพระเยซูทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย
การ สละชีวิตตนเองเพื่อความเชื่อไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าคนเหล่านั้นยอมสละชีวิตของตนเองบนพื้นฐานอะไร คงไม่มีใครยอมตายเพื่อเรื่องที่รู้ว่าเป็นเรื่องโกหก

5. เอกภาพของพระคัมภีร์
ผู้ เขียน 40 คน ใช้เวลากว่า 1600 ปีเขียนพระคัมภีร์ 66 เล่ม ซึ่งประกอบขึ้นเป็นพระคัมภีร์ แม้จะมีช่วงเวลาในช่วงยุค เงียบ 400 ปี ที่พระเจ้าไม่ได้ตรัสอะไร (แต่ก็มีบันทึกไว้ในพระธรรมนอกสารบบของคาทอลิก) อย่างไรก็ตามหนังสือปฐมกาลไปจนถึงวิวรณ์ ทุกเล่มต่างก็ให้คำตอบไปในทางเดียวกันต่อคำถามทุกคำถามที่เราสงสัยกันว่า ทำไมเราจึงมาอยู่ที่นี่เราจะขจัดความกลัวของเราได้อย่างไรเราจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขได้อย่างไรเราจะคืนดีกับพระเจ้าได้อย่างไรและ อีกหลายๆคำถาม พระคัมภีร์ทุกเล่มได้ตอบคำถามเหล่านี้อย่างสอดคล้องกัน แสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์ไม่ได้เป็นหนังสือหลายเล่ม แต่เป็นเล่มเดียว

6. ความเที่ยงตรงทางประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์
ทุก ยุคทุกสมัยมีคนมากมายที่คลางแคลงใจในความเที่ยงตรงทางประวัติศาสตร์ของพระ คัมภีร์ แต่ครั้งแล้วครั้งเล่าที่นักโบราณคดีสมัยปัจจุบันได้ขุดพบหลักฐานของบุคคล สถานที่ และวัฒนธรรมที่ปรากฏในพระคัมภีร์อยู่เสมอ บ่อยครั้งที่เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวที่บันทึกในพระคัมภีร์นั้นน่าเชื่อถือ กว่าข้อสันนิษฐานของบรรดานักวิชาการเสียอีก และนับวันเข้าก็มีการค้น พบหลักฐานมากมายที่พิสูจน์ให้เห็นว่าเรื่องราวที่มีอยู่ในพระคัมภีร์นั้น เป็นเรื่องจริง ไม่ว่า ล้อรถม้าของทหารอียิปต์ในทะเลแดง เรือโนอาห์ที่ยอดเขาอารารัต กำมะถันที่เมือโสโดมและโกโมราห์ เป็นต้น

7. ความแม่นยำของคำพยากรณ์
พระ คัมภีร์เป็นหนังสือที่บันทึกคำพยากรณ์ไว้มากมายและล้วนแล้วเป็นจริงทั้งสิ้น ตั้งแต่ยุคของโมเสสมาแล้ว พระคัมภีร์ได้พยากรณ์ถึงเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากจะเชื่อ ก่อนที่อิสราเอลจะเข้าสู่ดินแดนพันธสัญญา โมเสสได้ทำนายว่า อิสราเอลจะไม่สัตย์ซื่อจนทำให้ต้องสูญเสียแผ่นดินที่พระเจ้าประทานให้ และต้องกระจัดกระจายไปทั่วโลก แต่ในที่สุดก็จะรวมตัวกันอีก และกลับมาตั้งถื่นฐานอีกครั้งหนึ่ง (เฉลยธรรมบัญญัติ 28 – 31 ) แต่หัวใจ สำคัญของคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมคือ พระสัญญาเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ผู้จะทรงช่วยประชากรของมนุษย์ โลกให้พ้นจากความบาปผิดของเขาทั้งหลาย และในที่สุดจะนำการพิพากษาและสันติสุขมาในวันสุดท้าย

8. ความอยู่รอดของพระคัมภีร์
ตลอด ช่วงประวัติศาสตร์อันยาวนานนั้น ไม่มีหนังสือเล่มใดเป็นที่รักและเกลียดชังเท่ากับพระคัมภีร์ ไม่มีหนังสือเล่มใดที่มีผู้ซื้อ ผู้ศึกษาและอ้างอิงอย่างมากมายเท่ากับหนังสือเล่มนี้ ในขณะที่หนังสือเล่มอื่นๆเป็นล้านๆเล่มได้ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่พระคัมภีร์ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าบ่อยครั้งผู้ที่ไม่ชอบใจคำสอนของพระคัมภีร์จะไม่ใส่ใจ แต่พระคัมภีร์เองก็เป็นหนังสือที่เป็นศูนย์กลางของอารยธรรมตะวันตกตลอดมา
พระ คัมภีร์นั้นมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน และไม่มีการสังคายนาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่า เนื้อหาพระคัมภีร์ทุกตอนตรงกับต้นฉบับจริงๆ


ส่งท้าย
เหตุผล หลายประการเหล่านี้คงจะยืนยันความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์ไบเบิลได้เป็น อย่างดี และมีข้อสนับสนุนมากมายที่ยืนยันเช่นนั้น ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่มักจะมีการอ้างอิงข้อพระคัมภีร์อยู่เสมอ แสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์ไบเบิลไม่ใช่แค่หนังสือธรรมดาๆทั่วไปอย่างเห็นได้ ชัด



บทความนี้มาจาก Mythland
http://www.mythland.org

URL สำหรับเรื่องนี้คือ:
http://www.mythland.org/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=216





The Satanic Bible
 ซาตานไบเบิล คือ การรวบรวมบทความที่แต่งและรวบรวมในปี 1969 โดย Anton Lavey ซึ่งมีรายละเอียดพื้นฐานเกี่ยวกับพิธีกรรมและอุดมการณ์ ผู้สนับสนุนต่างๆยืดถือซาตานไบเบิล เป็นพื้นฐานแบบอย่างในด้านซาตาน ขณะเดียวกันก็ห้ามมีการเปลี่ยนแปลงหรือแปลหนังสือนี้และห้ามมีพิธีกรรมหรือ หลักการใดๆที่ตรงข้ามกับซาตานไบเบิล ถึงจะอยู่ในลักธิซาตานได้ Note: คนที่เชื่อในลักธิซาตานนี้ส่วนใหญ่ไม่เชื่อแม้กระทั่งการมีตัวตนของซาตานเอง แต่ซาตานเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้กับพระเจ้าที่ทรราชย์

The Satanic Bible มีทั้งหมด 4 เล่มด้วยกัน คือ
The Book of Satan
The Book of Lucifer
 The Book of Belial
The Book of Leviathan
เป็นที่เชื่อกันว่า 

Anton Szandor LaVey  (11 เมษายน 1930 - 29 ตุลาคม 1997) เขาเกิด Howard Stanton Levey เป็นผู้ก่อตั้งคริสตจักรของซาตาน เป็น นักเขียน แนว ลึกลับ และ นักดนตรี เขาเป็นผู้เขียน The Satanic Bible และเป็นผู้ก่อตั้ง ลัทธิซาตาน LaVeyan   เขาเขียน The Satanic Bible ด้วยความเข้าใจของเขาและได้นำธรรมชาติของมนุษย์ มาประกอบกับข้อมูลเชิงลึกของนักปรัชญาที่สนับสนุน วัตถุนิยม และ ปัจเจก
ซึ่งเขาอ้างว่าไม่มีแรงบันดาลใจเหนือธรรมชาติใด ทั้งหมดทั้งสิ้นขับเคลื่อนด้วยตัวของเขาเอง
Anton LaVey ได้แนวคิดนี้มาจากหนังสือ “The Book of the Sacred Magic of Abramelin the Mage,” ซึ่งในทั้งสี่เล่มนั้น ซึ่งแต่ละเล่มจะมีซาตานประจำ แต่ละเล่มีหลักการที่แตกต่างกัน  ทำหน้าที่ต่างกัน ลักษณะต่างกัน ตามบทบาทหน้าที่ของหัวหน้าซาตานทั้งสี่
                  
The Satanic Bible สร้างขึ้นบนพื้นฐาน ปรัชญามนุษยนิยมแบบดั้งเดิม(ฆราวาส)
มนุษยนิยม (อังกฤษHumanismหมายถึงประเภทกว้างๆ ของปรัชญาเชิงจริยศาสตร์ ที่ยืนยันถึงความสง่างามและคุณค่าของมนุษย์ทุก คน โดยอาศัยหลักความสามารถของบุคคลนั้นในการบ่งชี้ได้ด้วยตนเองว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด โดยได้การยอมรับโดยมนุษย์ทั่วไปที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะคุณภาพเชิงตรรกยะหรือเชิงเหตุผล มนุษยนิยมเป็นองค์ประกอบเฉพาะหลายๆ ตัวของระบบปรัชญาและได้รับการผนวกไว้ในหลายสำนักคิดทางศาสนา
มนุษยนิยม วางเงื่อนไขไว้ให้มีการค้นหาความจริงและศีลธรรมในวิธีการที่มนุษย์จะนำมาใช้สนองความต้องการของมนุษย์ด้วยกัน เมื่อมองไปที่ ความสามารถในการกำหนดและตัดสินได้ด้วยตนเอง มนุษยนิยมจะไม่รับการชั่งใจและตัดสินใจโดยสิ่งที่อยู่เหนือความเข้าใจ เช่นการตัดสินใจที่ขึ้นอยู่กับ "ความเชื่อที่ปราศจากเหตุผล" สิ่งเหนือธรรมชาติ หรือด้วยคำทำนายที่อ้างไว้ในคัมภีร์ใดๆ มนุษยนิยมสนับสนุนจริยธรรมสากล (
universal morality)ที่อยู่พื้นฐานของมนุษย์ทั่วไปที่มีความเป็นอยู่ธรรมดา ซึ่งแสดงให้เห็นได้ว่า การแก้ปัญหาในสังคมมนุษย์และปัญหาทางวัฒนธรรมของมนุษย์จะใช้แนวทางเฉพาะ กลุ่มชนแคบๆ กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไม่ได้
เพราะฉนั้นใน  The Satanic Bible จึงมีหลักข้อเชื่อคือ ที่แต่ละคนสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ โดยที่ไม่ต้องมีพระเจ้าชี้นำทาง เบื้องหลังของหลักคำสอนคือ ความหยิ่งผยองและ มีตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางในความคิด และเหตุผลของตัวของเราเอง  โดยที่ตัวของเราเองไม่ต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้าในเรื่องใดๆ สำหรับทุกสิ่งที่เราได้ทำในชีวิตของเราเอง โดยข้อคิดนี้ได้ต่อต้าน พระคริสตธรรมคัมภีร์ เยเรมีย์ 17:10 “เราคือพระเจ้าตรวจค้นดูจิต และทดลองดูใจ เพื่อให้แก่ทุกคนตามพฤติการณ์ของเขา ตามผลแห่งการกระทำของเขา
โดยหลักการนี้ได้ปรากฏในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ปฐมกาล 3:5 เพราะพระเจ้าทรงทราบอยู่ ว่า เจ้ากินผลไม้นั้นวันใด ตาของเจ้าจะสว่างขึ้น ในวันนั้น แล้วเจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า คือ สำนึกในความดีและความชั่ว"
นี่เป็นภาพของการล่อลวงของซาตานที่มีต่ออีฟในสวนเอเดน โดยพูดชักจูงและยืนยัน ว่า "... คุณจะเป็นเช่นพระเจ้า" เมื่ออีฟกินผลไม้นั้นในวันนั้นแล้ว เราก็เป็นเช่นดั่งพระเจ้าแล้ว รู้ผิดรู้ชอบในพระเจ้าแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่มนุษย์เราต้องพึ่งพาพระเจ้าอีก


The Satanic Bible ระบุว่า  ความบาปเป็นส่วนหนึ่งโดยธรรมชาติของมนุษย์ และเป็นส่วนใหญ่ที่ไม่ผิดศีลธรรมหรือน่าอับอาย   


การมีความสัมพันธ์กับเพศเดียวกันหรือ รักร่วมเพศ(Same-sex) ในรูปแบบอื่นๆของพฤติกรรมที่ผิดศีลธรรมทางเพศอย่างเปิดเผยนั้น The Satanic Bible  ระบุบเอาไว้ ในหน้าที่ 69 ว่าจะได้รับการให้อภัยโดย  The Satanic Bible  LaVey ระบุว่า "ซาตานส่งเสริมให้รูปแบบของการแสดงออกทางเพศที่คุณอาจต้องการที่ใดก็ได้ ตราบใดที่มันไม่ทำให้ผู้อื่นเจ็บปวด" นี่ยังเป็นข้อขัดแย้งกับพระคริสต์ธรรมพระคัมภีร์ซึ่งอณุญาติให้มีเพศสัมพันธ์ในบริบทของการแต่งงานแบบที่พระองค์ทรงสร้างคือ สัมพันธ์ระหว่างผู้ชายคนหนึ่งและผู้หญิงหนึ่งคนเท่านั้น ในพระธรรม
  

1โครินธ์ 6:18-20 “จงหลีกเลี่ยงเสียจากการล่วงประเวณี บาปอย่างอื่นที่มนุษย์กระทำนั้นเป็นบาปนอกกาย แต่คนที่ล่วงประเวณีนั้น ทำผิดต่อร่างกายของตนเอง ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเองพระเจ้าได้ทรงซื้อท่านไว้แล้ว ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น ท่านจงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด

สิ่งแรกที่พระธรรมตอนนี้สั่งเอาไว้คือการให้เรา หลีกเลี่ยงเสียจากการล่วงประเวณี  โดยก่อนหน้านี้ พระเจ้าบอกว่า ชายหนึ่งคนและหญิงหนึ่งคนเท่านั้น หมายความว่า  1:1 เท่านั้น ไม่ใช่ ชายหนึ่งคนกับหญิงหลายคน หรือหญิงหนึ่งคนกับชายหลายคน
  
คำว่า ล่วงประเวณี” ในที่นี่ หมายถึง ความ​สัมพันธ์​ทาง​เพศ​ที่​ผิดก​ฎ​หมาย​ของ​ชาย​และ​หญิง. แม้​ว่า​โดย​ทั่วไป​การ​ล่วงประเวณี​หมาย​ถึง​การ​ร่วมเพศ​ระหว่าง​คน​ที่​แต่งงาน​แล้ว​กับ​คน​อื่น​ที่​ไม่​ใช่​คู่ครอง  แต่​ใน​พระ​คัมภีร์​อาจ​หมาย​ถึง​คน​ที่​ยัง​ไม่​แต่งงาน​ด้วย เช่น  กฎที่ว่าด้วยการล่วงประเวณีทั้งหมดของพวกเลวี ในพระธรรม
ลน​ต. 20:13 ชายใดเข้านอนกับผู้ชายกระทำอย่างกับผู้หญิง ทั้งสองคนกระทำผิดในสิ่งอันพึงรังเกียจ ให้ขว้างทั้งสองคนนั้นเสียให้ตาย ที่เขาต้องตายนั้นเขาเองรับผิดชอบ
ลน​ต. 20:14-22   ชายใดได้ภรรยา และได้มารดาของนางมาเป็นภรรยาด้วย นี่เป็นเรื่องอธรรม ให้เผาทั้งชายนั้น และหญิงทั้งสองนั้นเสียด้วยไฟ เพื่อว่าจะไม่มีความอธรรมในหมู่พวกเจ้า ถ้าชายใดสมสู่กับสัตว์เดียรัจฉาน ให้ขว้างชายคนนั้นเสียให้ตาย และเจ้าจงขว้างสัตว์เดียรัจฉานนั้นเสียให้ตาย  ถ้าหญิงคนใดเข้าใกล้สัตว์เดียรัจฉาน และเข้านอนกับมัน เจ้าจงขว้างหญิงนั้น และสัตว์เดียรัจฉานนั้นเสียให้ตาย ทั้งสองต้องถูกขว้างตาย ที่เขาต้องตายนั้นเขาเองรับผิดชอบ ถ้าชายใดพาพี่สาว หรือน้องสาวของตน คือ บุตรสาวของพ่อ หรือบุตรสาวของแม่ และดูของลับของเธอ และเธอก็ดูของลับของเขา เป็นสิ่งที่น่าอายมาก จะต้องอเปหิเขาต่อหน้าชนชาติของเขา เพราะเขาได้เปิดของลับของพี่สาวน้องสาวของเขา เขาต้องรับโทษของเขา ชายใดเข้านอนกับหญิงผู้มีประจำเดือน และเปิดของลับของเธอ เขาได้กระทำให้แหล่งโลหิตของเธอเปิด ส่วนเธอก็เปิดแหล่งโลหิตของเธอ ให้อเปหิทั้งสองคนออกจากชนชาติของเขาเจ้าอย่าเปิดของลับของพี่สาว หรือน้องสาวมารดาเจ้า หรือพี่สาวน้องสาวของบิดาเจ้า เพราะกระทำเช่นนั้นเจ้าได้เปิดของลับของญาติสนิท เขาต้องได้รับโทษ ถ้าชายใดเข้านอนกับภรรยาของลุง เขาได้เปิดของลับของลุง ทั้งสองจะต้องรับโทษ เขาจะตายโดยไม่มีบุตรถ้าชายใดเอาภรรยาของพี่ชาย หรือน้องชายไปเป็นเรื่องมลทิน เขาได้เปิดของลับของพี่ชาย หรือน้องชาย เขาจะต้องไม่มีบุตร เพราะฉะนั้น เจ้าจงรักษากฎเกณฑ์ทั้งสิ้นของเรา และกฎหมายทั้งสิ้นของเรา และกระทำตาม เพื่อว่าแผ่นดินซึ่งเรานำเจ้าให้มาอยู่นั้น จะมิได้สำรอกเจ้าให้ออกไปเสีย
 Joseph Flees Potiphar's Wife
โย​เซ​ฟไม่ยอม​ทำความ​บาปอัน​ใหญ่​หลวง​นี้
 ป​ฐ​ก. 39:7-12  โยเซฟนั้นเป็นคนสวยหน้าตาคมคาย อยู่มาภายหลังภรรยาของนายมองดูโยเซฟด้วยความปฏิพัทธ์ และชวนว่า "มานอนกับฉันเถิด"แต่โยเซฟไม่ยอม จึงตอบแก่ภรรยาของนายว่า "คิดดูเถิด เมื่อมีข้าพเจ้า นายก็มิได้ห่วงสิ่งใดซึ่งอยู่ในบ้านเรือน ได้มอบของทุกอย่างที่มีอยู่ไว้ในมือข้าพเจ้าในบ้านนี้ นายก็ไม่ใหญ่กว่าข้าพเจ้า นายมิได้หวงสิ่งใดจากข้าพเจ้า ยกเสียแต่ตัวท่านเพราะเป็นภรรยาของนาย ข้าพเจ้าจะทำความผิดใหญ่หลวงนี้อันเป็นบาปต่อพระเจ้าอย่างไรได้"แม้นางชวนโยเซฟวันแล้ววันเล่า โยเซฟก็ไม่ยอมนอนกับนางหรืออยู่ด้วยกัน วันหนึ่ง โยเซฟเข้าไปในบ้านเพื่อทำธุระการงานของเขา ไม่มีชายประจำบ้านคนใดอยู่ในนั้นนางก็คว้าเสื้อผ้าโยเซฟเหนี่ยวรั้งไว้ แล้วพูดว่า "มานอนอยู่กับฉันเถิด" แต่โยเซฟทิ้งเสื้อผ้าไว้ในมือนางหนีไปข้างนอกเมื่อนางเห็นว่า โยเซฟทิ้งเสื้อผ้าไว้ในมือของนาง หนีไปข้างนอกแล้ว
 อ​พย.20:14 อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา  
มธ.5:28 “ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองผู้หญิงเพื่อให้เกิดใจกำหนัดในหญิงนั้น ผู้นั้นได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว
รูปภาพ
การเกิด ใจกำหนัด บางคนเรียกสิ่งนี้ว่า ราคจิต โดยความหมาย หมายถึง ความ​หลงใหล​หรือ​ปรารถนา​ความ​พึง​พอใจ​ที่​ไม่​ชอบธรรม​ทาง​ร่างกายโดย​เฉพาะ​อย่าง​ยิ่ง​การ​ผิด​ศีลธรรม​ทาง​เพศ.
อย่างเช่น ภรรยา​ของ​โปทิฟาร์ ​ที่มอง​ดู​โย​เซ​ฟด้วยใจกำหนัด ป​ฐ​ก. 39:7

1 ค​ร. 6:9-10 ท่านไม่รู้หรือว่า คนอธรรมจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า อย่าหลงเลย คนล่วงประเวณี คนถือรูปเคารพ คนผิดผัวเมียเขา โสเภณีชาย ชายรักร่วมเพศ คนขโมย คนโลภ คนขี้เมา คนปากร้าย คนฉ้อโกง จะไม่ได้รับส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า
ฮ​บ 13:4 จงให้สมรสเป็นที่นับถือแก่คนทั้งปวง และให้เตียงสมรสปราศจากความชั่วช้า เพราะคนมีชู้ และคนที่ล่วงประเวณีนั้น พระเจ้าจะทรงพิพากษาโทษเขา
 same_sex_fertility_laws_fertility_blog_Apr09.jpg
นอกจากนี้ การล่วงประเวณียังคง รวมไปถึง การ​มี​สัมพันธภาพ​ทาง​เพศ​ระหว่าง​บุคคล​เพศ​เดียวกัน. พระผู้เป็นเจ้า​ทรง​ห้าม​กิจกรรม​ทาง​เพศ​ทำนอง​นี้.
(ป​ฐ​ก 19:1-14) ข้อ 4-11 ท่านทั้งสองยังไม่ทันเข้านอน พวกผู้ชายเมืองนั้น คือ ชายชาวเมืองโสโดมทั้งหนุ่มและแก่หมดทั้งเมือง จนถึงคนสุดท้ายพากันมาล้อมเรือนนั้นไว้ พวกเขาร้องเรียกโลท ว่า "ชายที่เข้ามาหาเจ้าคืนนี้อยู่ที่ไหน จงนำเขาออกมาให้เรา เราจะได้สมสู่กับเขา"โลทก็ออกทางประตูไปหาชายเหล่านั้น แล้วปิดประตูเสีย กล่าวว่า "พี่น้องของข้าเอ๋ย ข้าขอเสียทีเถอะ อย่ากระทำการโหดร้ายเช่นนี้เลย ดูเถิด ข้ามีลูกสาวสองคนยังไม่เคยสมสู่กับชายเลย ข้าจะนำออกมาให้ท่าน ท่านจะทำแก่เขาอย่างไรก็ได้ตามใจชอบเถิด แต่ขออย่าทำอะไรกับชายเหล่านี้เลย เพราะเขามาอยู่ใต้ร่มชายคาของข้าแล้ว"แต่พวกนั้นร้องว่า "ถอยไป" และขู่ว่า "เจ้าคนนี้มาขออาศัยอยู่ แล้วยังมาตั้งตัวเป็นตุลาการ เราจะทำกับเจ้าให้เจ็บเสียยิ่งกว่าทำแก่คนเหล่านั้นอีก" พวกนั้นผลักโลทโดยแรง และเข้ามาใกล้จะพังประตู แต่แขกทั้งสองนั้นยื่นมือออกไปดึงตัวโลทเข้ามาในบ้านแล้วปิดประตูเสีย ท่านทั้งสองทำให้พวกคนที่อยู่หน้าประตูบ้านนั้น ตาบอดหมด ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็เที่ยวคลำหาประตูจนอ่อนใจ
ลวต 
18: 22 เจ้า​อย่า​สมสู่​กับ​ผู้ชาย​ใช้​ต่าง​ผู้หญิง เป็น​สิ่ง​พึง​รังเกียจ ในฉบับ JKV เจ้าอย่าสมสู่กับผู้ชายใช้ต่างผู้หญิง เป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน

ฉ​ธ​บ.  23:17- 18  ผู้หญิงชาวอิสราเอลนั้น อย่าให้คนหนึ่งคนใดเป็นเทวทาสี (หญิงผู้ร่วมประเวณีในพิธีศาสนา) อย่าให้บุตรชายอิสราเอลคนหนึ่งคนใดเป็นเทวทาส(ชายผู้ร่วมประเวณีในพิธีศาสนา) ท่านอย่านำค่าจ้างของเทวทาสี หรือค่าจ้างจากหมา (ชายที่ร่วมประเวณีในพิธีศาสนา) มาในโบสถ์ ของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน เป็นเงินแก้บนอย่างหนึ่งอย่างใด เพราะสิ่งทั้งสองนี้ เป็นสิ่งพึงรังเกียจแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน   

อสย. 3:9  ความลำเอียงของเขาเป็นพยานปรักปรำเขาทั้งหลาย เขาป่าวร้องความผิดของเขาอย่างโสโดม เขามิได้ปิดบังไว้ วิบัติแก่เขา เพราะว่าเขาได้นำความชั่วร้ายมาเหนือตัวเขาเอง

รม. 1:27  ฝ่ายผู้ชาย ก็เลิกการสัมพันธ์กับผู้หญิงให้ถูกตามธรรมชาติเช่นกัน และเร่าร้อนด้วยไฟแห่งราคะตัณหาที่มีต่อกัน ผู้ชายกับผู้ชายด้วยกันประกอบกิจอันชั่วร้ายอย่างน่าละอาย เขาจึงได้รับผลกรรมอันสมควรแก่ความผิดของเขา

1ค​ร. 69-10 ฝ่ายผู้ชาย ก็เลิกการสัมพันธ์กับผู้หญิงให้ถูกตามธรรมชาติเช่นกัน และเร่าร้อนด้วยไฟแห่งราคะตัณหาที่มีต่อกัน ผู้ชายกับผู้ชายด้วยกันประกอบกิจอันชั่วร้ายอย่างน่าละอาย เขาจึงได้รับผลกรรมอันสมควรแก่ความผิดของเขา คนขโมย คนโลภ คนขี้เมา คนปากร้าย คนฉ้อโกง จะไม่ได้รับส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า

 1 ท​ธ. 19-10 คือ โดยรู้ว่าธรรมบัญญัตินั้น มิได้ทรงบัญญัติไว้สำหรับคนชอบธรรม แต่ทรงบัญญัติไว้สำหรับคนอธรรม และคนดื้อด้าน คนผิด และคนบาป คนไม่นับถือพระเจ้า และคนหมิ่นประมาท คนฆ่าพ่อ คนฆ่าแม่ คนฆ่าคน คนล่วงประเวณี ชายรักร่วมเพศ ผู้ร้ายลักคน คนโกหก คนทวนสบถ และอะไรๆ ที่ขัดกับคำสอนอันมีหลัก

ยู​ดา 1:7 เช่นเดียวกับเมืองโสโดม และเมืองโกโมราห์ และเมืองที่อยู่รอบๆ นั้น ที่ได้ประพฤติชั่ว และมัวเมาในกามวิตถาร ก็ได้ทรงบัญญัติไว้เป็นตัวอย่างของการที่ต้องได้รับอาชญาในไฟนิรันดร์  

แต่ในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์บาง​ครั้ง​การ​ล่วงประเวณี​ใช้​เป็น​สัญลักษณ์​แทน​การ​ละทิ้ง​ความ​เชื่อ​ ของ​ประชาชาติ​หนึ่ง​หรือ​ผู้คน​ทั้ง​กลุ่ม​ที่​ออก​นอก​วิถี​ทาง​ของ​พระ เจ้า
The Satanic Bible ระบุว่า  ความบาปเป็นส่วนหนึ่งโดยธรรมชาติของมนุษย์ และเป็นส่วนใหญ่ที่ไม่ผิดศีลธรรมหรือน่าอับอาย   ข้อโต้แย้งกล่าวว่าศาสนาคริสต์เลือกจุดนั้นซึ่งเป็นตัวผลักดันตามสัญชาติญาณ อันเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์เพื่อประกาศว่าเป็นความบาปเพื่อให้คนต้องยึดถือ พึ่งพาพระคริสต์และพระเมตตาอย่างต่อเนื่อง Lavey โต้ว่าความบาปในความรู้สึกของไบเบิ้ลถูกสนับสนุนมากกว่าที่จะให้ไม่ยอมรับ มัน ในทางกลับกันไบเบิ้ลสอนว่าความบาปแท้จริงแล้วเป็นส่วนหนึ่งตามธรรมชาติ มนุษย์ ดังที่พบใน (เยเรมีย์ 17:9) "จิตใจก็เป็นตัวล่อลวงเหนือสิ่งใดทั้งหมด มันเสื่อมทรามอย่างร้ายทีเดียว ผู้ใดจะรู้จักใจนั้นเล่า" ไบเบิ้ลให้ความกระจ่างว่าผลที่ตามมาของบาปคือความตายและแยกจากพระเจ้า นิรันดร (โรม 6:23) และยังให้คำหนุนใจคือ: "ไม่มีการทดลองใดเกิดขึ้นกับท่านนอกจากการทดลองที่เคยเกิดขึ้นกับมนุษย์ทั้ง หลาย แต่พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ แต่เมื่อท่านถูกทดลองนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้" (1 โครินทร์ 10:13)



The Satanic Bible เชื่อในการดำเนินชีวิตอยู่ใบโลกใบนี้ แต่ไม่เชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย หลังจากที่ตายไปแล้วจะไม่มีชีวิตอีก เป็นการดับสูญไปเลย จึงเป็นเหตุให้ ต้องทำทุกอย่างใบโลกใบนี้ให้เต็มที่ อยากทำอะไรก็ทำ สอนให้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ เมื่อมีชีวิต หรือถ้าพูดในทางของคริสตชนก็คือให้ ดำเนินชีวิตตามเนื้อหนังเต็มที่ ตามความปราถนาของตนเอง ตาราคะ ตัณหาของตน ตราบใดที่มีลมหายใจอยู่นั้นเอง
ฮีบรู 9:27 มีข้อกำหนดสำหรับมนุษย์ไว้แล้วว่า จะตายครั้งเดียว และหลังจากนั้นก็จะมีการพิพากษาฉันใด
จะเห็นได้ว่า The Satanic Bible ขัดแย้งกับ Holy Bible แม้จะมีข้อความว่า ตายครั้งเดียวเหมือนกัน แต่ The Satanic Bible คือการดับสูญไม่มีชีวิตอีกต่อไป เป็นเหตุให้ต้องใช้ชีวิตใบโลกนี้ อย่างเต็มที่ แตกต่างจาก Holy Bible เมื่อตายไปแล้ว ต้องมีการพิพากษาตามมา เป็นเหตุให้คริสชนดำเนินชีวิตอย่างระมัดระวังให้อยู่ในทางธรรมของพระผู้เป็นเจ้า




Baphomet2
Baphomet


Baphomet ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของซาตาน(แพะ) ภาพของมันมักจะเป็นครึ่งหนึ่งเป็นของมนุษย์ และอีกครึ่งหนึ่งเป็นรูปแพะ มีหัวเป็นแพะ มันมักจะถูกตีความผิด มันเป็นสัญลักษณ์ของแม่มดโดยทั่วไป  แต่มันได้เอากลับมาใช้ให้เป็นสัญลักษณ์ ของ The Satanic Bible แต่ไม่ได้ถูกใช้โดยแม่มดนีโอคนป่าเถื่อนที่ไม่เคารพบูชาซาตาน
ต้นกำเนิดของ Baphomet ยังไม่ชัดเจน
ว่ากันว่า Baphomet มาจากคำว่า Muhomet (Mohammed) คาถาประวัติศาสตร์ Summers Montague ภาษาอังกฤษบอกว่ามันคือการรวมกันของสอง baphe คำกรีกและ Metis ความหมาย คือ "การดูดซึมของความรู้."Baphomet ยังได้รับการเรียกว่าแพะของเมนเดสแพะดำและแพะทรยศ
ใน Holy Bible  ได้กล่าวถึงแพะ อยู่ในพระธรรม
บรรดาประชาชาติต่างๆจะประชุมพร้อมกันต่อพระพักตร์พระองค์ และพระองค์จะทรงแยกมนุษย์ทั้งหลายออกเป็นสองพวก เหมือนอย่างผู้เลี้ยงแกะจะแยกแกะออกจากแพะ
อาจจะเนื่องจากพระคำตอนนี้ จึงเป็นแรงบันดาลใจของ
Anton LaVey ที่ใช้ แพะ หรือ Baphomet เป็นสัญลักษณ์ ประจำ  The Satanic Bible