THE NATURAL OF REVENGE: 04/01/2011 - 05/01/2011

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

อยากทราบคนที่ติดตามเราสักนิดนึง

เนื่องจากข้าพเจ้าไม่ค่อยมีเเรงจะอัพสักเท่าไหร่ ถ้าใครที่ติดตามบล็อกของเรารบกวน รายงานตัวนิดนึง ตรงช่องเเสดงความคิดเห็นน่ะครับ  ขอพระคุณครับ ถ้าใครขี้เกียจเสริจในเกิลกูนะฮะ มาขอยื่นเรื่องกะเราก็ได้ เดวเราจะหาให้ ขอบคุณอีกที    เสียงคอมเม้นคือกำลังใจ

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

ชีวิตหลังความตาย


ชีวิตหลังความตาย



ktt
ใครก็กลัวความตายกันทั้งนั้น มากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป คนจำนวนไม่น้อยที่มีประสบการณ์ "ผ่านความตาย" แล้วกลับมาเล่าสิ่งที่พวกเขาพบเห็น

ขณะที่นักวิทยาศาสตร์มองว่า ประสบการณ์ใกล้ความตายเป็นเพียงแค่ภาพหลอน และไม่มีอะไรมากไปกว่าความฝันที่ติดตาเท่านั้น วันนี้เราจะนำชมชีวิตหลังความตายกัน

"คนเราเวลาตายจะยังไม่ตายทันที แต่จะใช้เวลาระยะหนึ่ง ทางการแพทย์นั้นถือว่า เมื่อหมดลมหายใจ หัวใจหยุดเต้น สมองหยุดทำงานก็จะถือว่า ณ จุดนั้นคนนั้นเสียชีวิตแล้ว " น.พ.ทองคำ สุนทรเทพวรากุล แพทย์กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวถึงจุดสุดท้ายของชีวิตมนุษย์

เมื่อแพทย์ระบุว่าผู้ป่วยเสียชีวิตแล้ว ก็ใช่ว่าเจ้าหน้าที่จะนำศพไปยังห้องเก็บศพทันที แต่จะรอดู 1- 2 ชั่วโมง เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยสิ้นชีวิตจริง เนื่องจากมีบางรายที่ตายไปแล้วกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ แต่สำหรับคนไข้ส่วนใหญ่เสียชีวิตจากอาการหนักอยู่แล้ว และแพทย์ได้ตรวจเช็คด้วยเครื่องตรวจระบบการทำงานของร่างกายแล้ว จึงสามารถยืนยันถึงวาระสุดท้ายได้

ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่ผ่านประสบการณ์ใกล้ตาย (Near Death Experience-NDE) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่หัวใจล้มเหลว ช่วงที่หมดสติไป บางคนมีประสบการณ์เห็นปรากฏการณ์บางอย่าง ซึ่งหลังจากฟื้นแล้ว มักจะเล่าประสบการณ์ดังกล่าวในลักษณะของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่ความฝัน


ในต่างประเทศ ได้มีความพยายามการศึกษาและทดลองเพื่อยืนยันถึงการดำรงอยู่ของ "วิญญาณ" ย้อนไปได้ถึงปี พ.ศ. 2425 สมาคมวิจัยจิตวิญญาณได้รับการก่อตั้งขึ้นมาและเริ่มทำการวิจัยปรากฏการณ์ใกล้ตายในสหรัฐ แต่ผ่านมาอีกร้อยปีก็ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนที่ยืนยันถึงภาวะหลังความตาย

ราวปี พ.ศ. 2469 เซอร์วิลเลี่ยม บาร์เร็ต นักวิจัยสภาวจิตและสมาชิกราชบัณฑิตสภาได้ตีพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่งรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับ "นิมิตบนเตียงมรณะ" โดยคนไข้ใกล้ตายบอกเล่ากับเขาว่า ได้เห็นโลกอีกโลกหนึ่งก่อนที่จะสิ้นลม เห็นคนที่ตายไปแล้ว และยังได้พูดคุยด้วย นอกจากนี้ยังมีบางรายที่เล่าว่าพวกเขาได้ยินเสียงเพลงในขณะที่ใกล้สิ้นชีวิต และยังมีผู้เฝ้าไข้บอกว่าเห็นวิญญาณออกจากร่างผู้ป่วยด้วย

ต้องไม่ลืมว่าในยุคที่การแพทย์ยังไม่เจริญ คนป่วยมักจะได้รับการดูแลอยู่ในบ้าน โดยมีญาติพี่น้องห้อมล้อม แต่ปัจจุบัน เทคโนโลยีการแพทย์รุดหน้า นิมิตบนเตียงมรณะจึงมีกล่าวถึงน้อยลงเนื่องจากวาระสุดท้ายของคนส่วนใหญ่จะลงเอยที่โรงพยาบาล และจำนวนไม่น้อยเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยว แต่ก็เป็นเรื่องประหลาด เพราะยิ่งการแพทย์พัฒนาไปเท่าไร รูปแบบของการรายงานประสบการณ์ใกล้ตายยิ่งแตกต่างออกไปจากเดิม

ในปี 2518 เรย์มอนด์ มูดี้ แพทย์อเมริกันท่านหนึ่งเขียนหนังสือ ซึ่งกลายเป็นหนังสือขายดีเรื่อง Life After Life โดยเขาได้สัมภาษณ์ผู้คนที่ "กลับมาจากความตาย" หลายคน ส่วนใหญ่จะเล่าว่า พวกเขาจะได้ยินเสียงบอกกับตัวเองว่า เขาตายแล้ว ตามมาด้วยเสียงหึ่งๆ หรือเสียงกริ๊งดัง อยู่ในอุโมงค์มืด เมื่อมองมาไกลๆ เห็นร่างของพวกเขานอนอยู่ และคอยเฝ้าดูอยู่อย่างนั้นว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ต่อมาได้พบกับคนอื่น ซึ่งช่วยเขาย้อนเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตที่ผ่านมา และมาช่วยกันประเมินสิ่งที่เคยเกิดขึ้น

พอถึงระยะหนึ่ง ตัวเขาเผชิญกับกำแพงกั้น และรู้สึกว่าต้องกลับไป ถึงแม้จะเล่าว่ามีความรู้สึกอิ่มเอม รัก และสงบ ณ ดินแดนแห่งความตาย แต่พวกเขาต้องกลับไปคืนร่าง และมีชีวิตต่อ


นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากไม่เชื่อในเรื่องดังกล่าว และสันนิษฐานว่าหมอมูดี้ปั้นแต่งเรื่องให้เกินจริง ต่อมามีแพทย์โรคหัวใจรายหนึ่งใช้เวลา 20 ปีสัมภาษณ์ผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวกว่า 2,000 คน พบว่ากว่าครึ่งหนึ่งมีประสบการณ์ตามแบบที่มูดี้บันทึกไว้ และในปี 2525 แบบสำรวจพบว่าคนอเมริกัน 1 ใน 7 เคยประสบกับภาวะเฉียดตาย และ 1 ใน 20 มีประสบการณ์ผ่านความตาย จึงดูเหมือนว่าสิ่งที่มูดี้บันทึกไว้ถูกต้อง

แพทย์อายุรเวชจาก รพ.ราชวิถี อธิบายว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าว อาจเป็นผลมาจากสัญญาเก่า (ความทรงจำ) เช่น หากเกิดเหตุการณ์เฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง แพทย์พยาบาล ต้องช่วยชีวิตด้วยการปั๊มหัวใจ ซึ่งพวกเขาอาจเห็นจากภาพยนตร์ หรือจากที่อื่น เพราะฉะนั้น จึงตีได้หลายประเด็น บางคนเมื่อเจ้าหน้าที่พยาบาลใช้เครื่องช็อกหัวใจ หรือซีพีอาร์ ช่วยให้ฟื้นยังไม่ถึงกับหมดสติเต็มที่

"คงประกอบด้วยหลายอย่าง บางคนมีความรู้สึกได้ว่ามีคนมาช่วยเหลือ บางครั้งมีความรู้สึกเห็นภาพต่างๆ นานา มีแพทย์ใครต่อใครกำลังช่วยชีวิตเขาอยู่ คำอธิบายเกี่ยวกับประสบการณ์ใกล้ตายของคนไข้ลักษณะนี้ไม่อาจอธิบายได้ร้อยเปอร์เซนต์ เพียงแต่ว่า คนไข้อาจจะไม่หมดสติ หรือประสาททั้งห้า ยังสามารถรับรู้อะไรได้บ้าง บางคนหูอาจยังพอได้ยิน ตาอาจจะยังพอเห็น หรือคนไข้ใกล้ๆ ตายบางทีไปกระซิบข้างๆ หูเขายังได้ยิน ด้วยเหตุนี้เราจึงพยายามไม่ให้มีการพูดที่ไม่ดีกับคนที่ใกล้ตาย" น.พ.ทองคำกล่าว

ในพุทธศาสนา กล่าวถึงภาวะก่อนตายว่า จะมีนิมิตสามประเภทปรากฏให้เห็น ได้แก่ กรรมอารมณ์ เป็นเจตนา ไม่มีรูป ไม่มีอะไรให้เห็น เช่น การตั้งใจทำบุญ หรือเจตนาลักทรัพย์ ฆ่าสัตว์ เป็นความตั้งใจ เจตนาผุดขึ้นมาให้เห็นเสมือนกำลังไปทำกรรม ต่อมาคือ กรรมนิมิตอารมณ์ เป็นนิมิตให้เห็นทั้งรูป สี เสียง กลิ่น รสสัมผัส เหมือนขณะที่เรากำลังทำอยู่ในอดีต เช่น ขันข้าวใส่บาตร เครื่องมือลักทรัพย์ เครื่องมือฆ่าสัตว์มาปรากฏให้เห็น ข้อที่สามคือ คตินิมิต เป็นการมองเห็นสิ่งที่อยู่ในสถานที่ข้างหน้าที่ชีวิตจะไปเกิดใหม่

"ยกตัวอย่างถ้าเห็นสัตว์วิ่งอยู่ในป่า ก็อาจหมายความว่า คนนั้นตายไปจะไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในป่า หรือเห็นครรภ์มารดา ก็ไปเกิดเป็นมนุษย์ หรือเกิดเป็นเทวดาก็จะเห็นเป็นวิมาน" น.พ.ทองคำ อธิบายพร้อมกับอ้างอิงพุทธศาสนา

เคนเน็ต ริง จากมหาวิทยาลัยคอนเนคติคัต สหรัฐ ได้สัมภาษณ์ผู้มีประสบการณ์ผ่านความตายจำนวน 102 คน พบว่าร้อยละ 50 มีประสบการณ์ใกล้ตาย โดยสามารถแบ่งขั้นตอนของประสบการณ์ได้ 5 ขั้น ได้แก่ ภาวะสงบ ภาวะออกจากร่าง ภาวะเดินทางสู่ความมืด (ซึ่งคล้ายกับอุโมงค์) ภาวะมองเห็นแสงสว่าง และภาวะเดินเข้าใกล้แสงสว่าง แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไปถึงขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งน่าแปลกที่ดูเหมือนจะมีลำดับขั้นของประสบการณ์ที่รอคอยการไขปริศนาอยู่

คำถามที่น่าสนใจคือ ประสบการณ์ชีวิตใกล้ตายเหล่านี้เป็นลักษณะเฉพาะทางวัฒนธรรมหรือไม่ มีงานวิจัยอยู่บ้างที่แสดงให้เห็นว่าในวัฒนธรรมอื่นๆ โครงสร้างประสบการณ์ใกล้ตายมีลักษณะคล้ายคลึงกันโดยพื้นฐาน แม้ว่าภูมิหลังทางศาสนาอาจทำให้การตีความแตกต่างกันไป

ที่สำคัญกว่านี้คือ จำเป็นหรือไม่ว่าต้องใกล้ตายถึงจะมีประสบการณ์ดังกล่าว คำตอบคือ ไม่จำเป็น เนื่องจากมีบันทึกว่าบางคนที่รับประทานยาบางชนิด หรืออ่อนเพลียจัด หรือบางครั้งทำกิจกรรมตามปกติก็มีประสบการณ์ดังกล่าวได้เหมือนกัน

สำหรับคนที่ผ่านประสบการณ์เห็นชีวิตใกล้ตาย วิญญาณออกจากร่าง สิ่งที่พวกเขาพบเห็นมันดูชัดเจนเป็นจริงยิ่งกว่าชีวิตประจำวันเสียอีก หรืออย่างประสบการณ์เห็นอุโมงค์ก็ไม่ได้เป็นแค่จินตนาการ พวกเขายืนยันว่า ภาพที่พวกเขามองเห็นเมื่อออกมาจากร่างกายก็ดูเป็นจริงเป็นจังมาก ไม่ใช่เพียงแค่ความฝัน เห็นได้ว่าคนเหล่านี้จะไม่พูดว่าเขาเห็นภาพหลอน หรือเขาจินตนาการว่าได้ไปสวรรค์ แต่จะบอกว่าเขาได้ออกจากร่างไป และได้เห็นคุณทวด คุณตาในสวรรค์
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ผ่านช่วงนาทีเป็นนาทีตายแล้วจะมีประสบการณ์ใกล้ตายเหมือนกันหมด จึงน่าตั้งคำถามว่า คนแบบไหนที่มีแนวโน้มว่าจะมีประสบการณ์เห็นภาพชีวิตหลังความตาย ซึ่งความจริงคนที่ผ่านประสบการณ์ใกล้ตายกับคนทั่วไปไม่ได้มีลักษณะอะไรที่แตกต่างกัน ยิ่งไปกว่านั้น คนที่เฉียดความตายมามักจะเปลี่ยนบุคลิกพฤติกรรมของตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น คนจำนวนไม่น้อยละทิ้งความโลภโมโทสัน เลิกนิยมวัตถุ รู้จักใส่ใจผู้อื่น




กายทิพย์และโลกหลังความตาย

สิ่งที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยตั้งคำถามกันคือ วิญญาณมีจริงหรือไม่ แล้วโลกหลังความตายเป็นอย่างไร?

ไม่ต้องสงสัย คติทางพุทธศาสนา ซึ่งให้ความสำคัญกับกรรม แสดงให้เห็นว่าชีวิตเป็นการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ เมื่อชีวิตหนึ่งสิ้นสุดลง วิญญาณจะเคลื่อนจากภาพเก่าสู่ภพใหม่ทันที แต่จะไปเกิดเป็นอะไรขึ้นอยู่กับกรรม
ในหลายๆ วัฒนธรรมความเชื่อเรื่องวิญญาณออกจากร่างเป็นความเชื่อที่คล้ายกัน และเป็นประสบการณ์คนละส่วนกับประสบการณ์ของคนใกล้ความตาย ในการสำรวจในปี 2521 พบว่า มีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน 50 วัฒนธรรมที่เชื่อเกี่ยวกับวิญญาณ และจิต ซึ่งสามารถออกจากร่างได้ ดังนั้น ทั้งประสบการณ์ถอดวิญญาณและความเชื่อเรื่อง "กายทิพย์" ในอีกภพหนึ่งจึงเป็นความเชื่อร่วมกันของมนุษยชาติ แล้วเรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร หมายความว่า ความตายไม่ใช่การสิ้นสุดหรืออย่างไร หรือยังมีอีกร่างหนึ่งอยู่จริง


การตั้งทฤษฎีดังกล่าวดูจะเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับนักวิทยาศาสตร์ แต่ต้องไม่ลืมว่า หลายครั้งวิทยาศาสตร์เองไม่สามารถนำไปใช้วัด หรือทดสอบเรื่องราวที่เป็นอภิปรัชญาได้เลย

ก่อนหน้านี้เคยมีการพิสูจน์ถึงการดำรงอยู่ของกายทิพย์ โดยทดลองชั่งน้ำหนักคนที่กำลังใกล้ตายเพื่อวัดน้ำหนักของวิญญาณที่ออกไปจากร่าง โดยการทดลองในต้นศตวรรษสามารถวัดได้ว่าวิญญาณหนักประมาณ 1 ออนซ์ (28 กรัม) แต่เมื่อเครื่องชั่งมีความละเอียดขึ้น น้ำหนักที่ได้กลับลดลง เท่ากับว่าการวัดน้ำหนักเชื่อถืออะไรไม่ได้


ขณะเดียวกัน มีอีกทฤษฎีหนึ่งที่ใช้อธิบายเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผู้หมดสติมองเห็นภาพตัวเองเดินทางไปในอุโมงค์มืด ทฤษฎีดังกล่าวอธิบายว่า การมองเห็นภาพอุโมงค์เปรียบเสมือนการเห็นภาพย้อนอดีตสมัยที่ยังอยู่ในครรภ์มารดา อุโมงค์ก็คือช่องคลอด และแสงสว่างก็คือแสงจากโลกภายนอก
อย่างไรก็ดี ทฤษฎีนี้มีจุดอ่อนหลายประการ ประการแรก ช่องคลอดที่ให้กำเนิดทารกออกมานั้นมีลักษณะบีบรัด และบ่อยครั้งแพทย์ต้องช่วยดึงทารกออกมา ขณะที่มารดาต้องออกแรงเบ่ง เด็กโดยมากจะกลับหัวออกไม่ได้มองออกมา (ที่สำคัญยังหลับตาอยู่) ประการที่สอง จากการสัมภาษณ์พบว่า เด็กที่คลอดด้วยวิธีผ่าท้องมีประสบการณ์เห็นภาพอุโมงค์ในภาวะหมดสติเช่นกัน

มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ระบุว่า ไม่เฉพาะคนที่หมดสติใกล้ตายเท่านั้นที่มองเห็นภาพอุโมงค์ คนที่เป็นไมเกรน นอนหลับ ทำสมาธิ หรืออยู่ในภาวะผ่อนคลาย หรือมีสิ่งของหนักๆ ทับลูกตาอยู่ บางครั้งเกิดกับคนที่รับประทานยาบางอย่างเช่น แอลเอสดี ไฟโลไซบิน และเมสคาไลน์ ก็มองเห็นภาพอุโมงค์ได้เช่นกัน

ย้อนกลับไปราว 70 ปีก่อน มีงานวิจัยโดยเฮนริช คลูวาร์ จากมหาวิทยาลัยชิคาโก ระบุภาวะภาพหลอนไว้ 4 ประเภท ได้แก่ มองเห็นอุโมงค์ ภาพหมุนเกลียว ภาพตะแกรง และภาพตาข่ายใยแมงมุม เขากล่าวว่าภาพลวงตาเหล่านี้เป็นไปได้ว่ามาจากโครงสร้างของสมองส่วนคอร์เท็กซ์ที่ใช้ประมวลผลข้อมูลภาพ ภาพหลอนที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลมาจากการสร้างแผนภาพที่เกิดขึ้นบนเรตินาก่อน และเกิดขึ้นอีกครั้งที่คอร์เท็กซ์

ต่อมาในปี 2525 แจ็ค โควาน นักชีวประสาทวิทยาจากมหาวิทยาลัยชิคาโก ได้นำเอาการสร้างแผนผังนี้มาอธิบายการมองเห็นภาพอุโมงค์ เขากล่าวว่า กิจกรรมของสมองปกติแล้วจะมีสภาพคงที่ก็ต่อเมื่อเซลล์บางตัวไปขัดขวางการทำงานของเซลล์อื่น ครั้นเมื่อกิจกรรมในการยับยั้งเซลล์ลดลงส่งผลให้เกิดกิจกรรมมากมายในสมอง ภาวะดังกล่าวอาจเกิดขึ้นได้ในช่วงใกล้ตายเนื่องจากขาดออกซิเจน หรือเพราะรับประทานยาแอลเอสดี ซึ่งส่งผลไปขัดขวางกระบวนการยับยั้งเซลล์

คนส่วนใหญ่ "ตายไม่เป็น"

ในขณะที่วิทยาศาสตร์พยายามหาข้อพิสูจน์เกี่ยวกับประสบการณ์ใกล้ความตาย การถอดวิญญาณ และโลกหน้า และไม่ว่าผลจะลงเอยอย่างไร และสามารถหาคำตอบได้หรือไม่ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ในแต่ละวินาทีมีคนไข้จำนวนมากที่นอนรอความตาย ซึ่ง น.พ.ทองคำ จากโรงพยาบาลราชวิถีมองว่า คนไข้เหล่านี้ ถ้าได้รับการดูแลไม่ดี ไม่คำนึงถึงสภาพจิตวิญญาณ คนไข้ก็จะมีแต่ความทุกข์ใจ จิตใจไม่ดี เศร้าหมอง ส่งผลให้คนไข้ส่วนใหญ่ไปสู่ทุกขคติ

"ความตาย ถ้าตายไม่เป็นมันน่ากลัวมาก ถ้าตายพร้อมกับโทสะ ความหวาดกลัว จะไปนรก ตายด้วยความยินดี ติดใจในกามคุณ 5 โลภะเกิดส่วนใหญ่ไปเป็นเปรต ไม่รู้จักสภาวธรรมความจริง ตายไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน ที่จะไปเป็นสุขนั้นน้อยมาก" น.พ.ทองคำ อ้างอิงคติทางพุทธศาสนา


อย่างไรก็ดี แนวโน้มการดูแลผู้ป่วยในปัจจุบัน แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ให้ความสำคัญต่อจิตวิญญาณของคนไข้มากขึ้น และมีความสนใจทางด้านนี้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการอบรมแพทย์ประจำบ้านเกี่ยวกับ End of Life Care และ Spiritual Aspect สอดแทรกไปในการเรียนการสอนเรื่องจรรยาแพทย์ด้วย ปัจจุบันจะเห็นว่าการดูแลคนไข้ไม่ได้คำนึงถึงสภาพการรักษาร่างกายอย่างเดียว แต่จะคำนึงถึงสภาพทางจิตวิญญาณด้วย ยกตัวอย่าง คนไข้มะเร็งระยะสุดท้าย ทำอย่างไรถึงให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่สงบสุข และไม่ทรมาน

"ผู้ป่วยบางคนไม่ต้องการให้ใช้เครื่องพีซีอาร์ อย่างคนไข้ระยะสุดท้าย เขาต้องการตายอย่างเดียว ตายอย่างสงบ ไม่ทุกข์ทรมาน ถ้าผู้ป่วยเคยฝึกสมาธิวิปัสสนามาบ้าง ก็สามารถทำจิตใจให้ผ่องใสได้ ถ้าไม่เคยฝึกมาก่อนจะเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก" น.พ.ทองคำ กล่าว

บางครั้งแพทย์ พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจะคอยแนะนำให้ญาตินำเทปธรรมะมาเปิดให้คนไข้ฟัง เพื่อให้จิตผ่องใส และไปสู่สุขคติ หรือในบางกรณีที่ผู้ป่วยอยู่ในขั้นโคม่า แพทย์จะประคองให้ยาระงับปวดเต็มที่ แต่ไม่ให้หมดสติเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินจิตให้เป็นกุศลได้
"ในต่างประเทศ บาดหลวงจะมาเยี่ยมอยู่ข้างๆ ผู้ป่วย ของเราเองก็มี เราจะให้คนไข้ได้ทำบุญเป็นระยะสุดท้าย หรือทำสังฆทานอาสัญกรรม ซึ่งเป็นการทำบุญใกล้ตาย"

แพทย์อายุรกรรมโรงพยาบาลราชวิถี กล่าวว่า ถ้าญาติเข้าใจในเรื่องนี้จะช่วยคนไข้ได้มาก แต่ถ้าญาติไม่เข้าใจ ร้องไห้เสียใจ ยิ่งจะทำให้คนไข้ทุกข์ขึ้น บรรยากาศยิ่งเลวร้ายลง เต็มไปด้วยความซึมเซาและเศร้าหมอง

น.พ.ทองคำยังแนะนำด้วยว่า การฝึกจิตเป็นเรื่องสำคัญ และควรเริ่มทำตั้งแต่วันนี้ เป็นเรื่องที่ควรรู้ อย่าไปปฏิเสธ รวมถึงเรื่องภพภูมิ เนื่องจากมันจะไปปิดกั้นการทำความดี
"การไม่เชื่อเรื่องสวรรค์หรือนรก มันจะไปปิดกั้นโอกาสทำความดี ลองคิดดูว่า ถ้าห้องไม่มีแสงสว่าง ห้องก็ดูมืดมิด มองไม่เห็นประตู พอมีคนบอกว่าข้างนอกมีแสงสว่าง มีประตูออก แต่คนข้างในไม่เชื่อ เพราะพวกเขามองไม่เห็นและปฏิเสธมัน คนเหล่านี้ก็ไม่มีทางเห็นแสงสว่าง
ต่อมามีความพยายามใช้เครื่องมืออย่างเช่น เครื่องวัดรังสีอัลตราไวโอเลตและอินฟราเรด เครื่องวัดการไหลของสนามแม่เหล็ก เครื่องวัดอุณหภูมิ เพื่อวัดขนาดของวิญญาณของคนที่สามารถถอดวิญญาณออกจากร่างได้ แต่ยังไม่มีใครประสบความสำเร็จ

ซูซาน แบลคมอร์ นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยเวสต์ออฟอิงแลนด์ ประเทศอังกฤษมองว่า ถ้าทฤษฎีเรื่องกายทิพย์มีจริง มนุษย์น่าจะสามารถพิสูจน์ได้ไม่ยาก แต่ที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้เห็นว่ามันยากเย็นแค่ไหน ดังนั้น หากเอาทฤษฎีกายทิพย์มาอธิบายเรื่องวิญญาณออกจากร่างคงไม่เป็นประโยชน์

ไอน์สไตน์ มันสมองอัจฉริยะ


ความลับของมันสมองอัจฉริยะ"ไอน์สไตน์"

มติชน
...แค่คิดก็ไม่ธรรมดาแล้ว

ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ "อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์" ใช้ชีวิตโลดแล่นในหลายประเทศ

สร้างสรรค์ผลงานทางวิทยาศาสตร์แสนอัศจรรย์ และมีสีสันโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ

แม้ไอน์สไตน์จะจากโลกนี้ไปนานนับครึ่งศตวรรษ แต่เรื่องราวชีวิต แนวคิด ผลงานของเขาก็ยังดำเนินไปอย่างไม่จบสิ้น และแปลกประหลาดเกินกว่าที่หลายคนจะคาดเดาได้



ไอน์สไตน์เสียชีวิตในวันที่ 18 เมษายน 1955 ขณะมีอายุได้ 76 ปี
ร่างของเขาถูกเผาตามพิธีการทางศาสนาโดยที่ไม่มีคนในครอบครัวตระหนักเลยว่า มันสมองอัจฉริยะได้สูญหายไป!
โทมัส เอส ฮาร์วี แพทย์ผู้ทำการชันสูตรศพได้ลักลอบผ่าสมองของนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่เก็บไว้เพื่อการศึกษา



หลังจากแยกสมองออกจากศพแล้ว หมอฮาร์วีได้ทำการแบ่งสมองของไอน์สไตน์ออกเป็น 240 ชิ้น ดองด้วยตัวยาพิเศษและเก็บรักษาไว้ในขวดแก้ว 2 ขวด บางชิ้นส่วนของสมองถูกส่งไปให้นักวิจัยหรือผู้เชี่ยวชาญตามสาขาต่างๆ แต่ส่วนใหญ่นั้นหมอฮาร์วีเก็บเอาไว้เอง

สิ่งที่หมอฮาร์วีปฏิบัติต่อศพของไอน์สไตน์นั้นก่อให้เกิดการวิจารณ์กันอย่างอื้อฉาว จนทำให้หมอฮาร์วีต้องอพยพโยกย้ายไปตามที่ต่างๆ และหอบหิ้วมันสมองของไอน์สไตน์ติดตัวตามไปด้วย

จนกระทั้งปี 1996 หมอฮาร์วีได้ย้ายกลับมาที่พรินสตันอีกครั้งหนึ่ง และตัดสินใจมอบชิ้นส่วนสมองที่เขารวบรวมไว้แก่ น.พ.เอเลียต คลอส หัวหน้าภาควิชาพยาธิวิทยา ที่โรงพยาบาลพรินสตัน



การวิจัยค้นคว้าศึกษาความเป็นอัจฉริยะของไอน์สไตน์จึงเกิดขึ้นอีกครั้ง!

โดยนำชิ้นส่วนสมองทั้งหมดที่ถูกเก็บ ณ โรงพยาบาลพรินสตัน มาถ่ายภาพและประกอบขึ้นเป็นรูปสามมิติ จำลองรูปแบบเหมือนจริงดังกับว่ามันเพิ่งถูกผ่าแยกออกมาจากศพ

สิ่งที่ค้นพบก็คือ สมองของไอน์สไตน์มีน้ำหนักเพียง 1,230 กรัมเท่านั้น

น้อยกว่าน้ำหนักสมองของมนุษย์โดยเฉลี่ยที่หนักถึง 1,400 กรัม



แต่สิ่งที่ไอน์สไตน์ต่างจากมนุษย์ทั่วไปอย่างเราๆ ท่านๆ ก็คือ "ความหนาแน่นของเซลส์ประสาทในสมอง" ที่มีมากกว่าปกติหลายเท่า

ยิ่งไปกว่านั้น "สมองของไอน์สไตน์มีเพียงเส้นแบ่งตื้นๆ ระหว่างสมองข้างซ้ายและข้างขวา" ในขณะที่คนธรรมดาจะมีรอยแยกชัดเจนระหว่างสมองทั้งสองข้าง เผยให้เห็นถึงการรวมกันอย่างกลมกลืนของสมองทั้งสองซีก


นักวิจัยชี้ว่าลักษณะที่พิเศษของสมองแบบนี้อาจอธิบายได้ว่า ทำไมไอน์สไตน์ถึงคิดอย่างที่เขาคิด บางทีวิธีคิดของไอน์สไตน์อาจไม่ผ่านกระบวนการที่ใช้คำบรรยาย แต่อาจผ่านจินตนาการต่างๆ ที่เขานึกถึง เสมือนว่ามองเห็นมันด้วยตาเปล่าก็ได้

ทำให้นึกถึงคำพูดของไอน์สไตน์ เมื่อครั้งที่เขายังมีชีวิตอยู่ที่ว่า "จินตนาการสำคัญกว่าความรู้" และ "ความรู้มีขอบเขตจำกัด แต่จินตนาการไร้ขีดจำกัด" นั่นเอง

 
ปัจจุบันนี้สมองของไอน์สไตน์ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีที่โรงพยาบาลพรินสตัน ที่เดียวกันกับที่มันถูกขโมยไปเมื่อห้าสิบปีก่อน

มหาสมบัติของกรุงทรอย


มหาสมบัติกรุงทรอย : ซ่อนอยู่ในมอสโก

thairath
เมื่อเอ่ยถึงกรุงทรอย (TROY) บางท่านอาจเลือนๆ ชื่อนี้ไป  วันนี้จึงขอเล่ารื้อฟื้น ความจำ กันสักนิดหนึ่ง

เมื่อราว 850 ปีก่อน ค.ศ. มหากวีชาวกรีกนาม โฮเมอร์ (Homer) ได้รจนามหากาพย์เรื่อง อีเลียด (ILIAD) ขึ้น ซึ่งบางคนเรียกง่ายๆว่า "ตำนานสงครามกรุงทรอย" เรื่องราวก็คล้ายๆ กับรามเกียรติ์ของอินเดียนั่นแหละ พอย่อๆได้ดังนี้


เจ้าชายปารีส โอรสกษัตริย์ เปรียม แห่งกรุงทรอย ได้ไปลักพา เฮเลน มเหสีโฉมงามของ เมเนเลอุส ผู้ครองนครสปาร์ตา ทำให้ฝ่ายที่เป็นสัมพันธมิตรกับเมเนเลอุสแค้นเคือง และช่วยกันระดมทัพเรือยกไปตีกรุงทรอย โดยมีท้าว อกาเมมนอน เป็นแม่ทัพใหญ่ ส่วนขุนพลก็ล้วนแต่มีชื่อโด่งดังรู้จักกันดี อาทิ อคิลลิส โอดิสซีอุส เอแจ๊กซ์ ฯลฯ
แต่ทัพกรีกก็ไม่สามารถเอาชนะฝ่ายทรอยที่มี เฮกเตอร์ เป็นขุนศึกใหญ่ได้ กระทั่งสงครามยืดเยื้ออยู่ถึงสิบปี ฝ่ายพันธมิตรจึงคิดอุบาย สร้างม้าไม้ตัวมหึมาขึ้นและซ่อนทหารไว้ภายใน จากนั้นจึงทำทีถอนทัพกลับไป ฝ่ายทรอยดีใจลาก ม้าไม้เข้าไปทำพิธีฉลองชัยชนะในเมือง พอตกดึก ทหารกรีกก็ออกมาจากม้าไม้และทำลายล้างกรุงทรอยจนสิ้น

แต่ในตำนานของเค้านั้น สนุกสนานพันลึกมาก มีทั้งเทพเจ้าของทั้งสองฝ่าย มาเกี่ยวพันมากมาย ถ้าสนใจก็ลองหาอ่านดูละกัน เพราะหนนี้เราจะว่ากัน ถึงเรื่องทรัพย์สมบัติอันลํ้าค่า ที่กรุงทรอยแอบซ่อนไว้ ให้พ้นตาทหารกรีก
ตำนานกรุงทรอยนั้น จะจริงเท็จอย่างไร ไม่มีใครทราบแน่ แต่โฮเมอร์ระบุว่า ทรอยเป็น ราชธานีอันรุ่งโรจน์ ตั้งอยู่ในดินแดนเอเชียไมเนอร์ ซึ่งตรงกับตำแหน่ง ของประเทศตุรกีในปัจจุบัน และล่มสลายด้วยนํ้ามือกรีกเมื่อ 1,185 ปีก่อน ค.ศ.


ชื่อเสียงของทรอย ทำให้ผู้คนประทับใจกันมาก นักประวัติศาสตร์หลายต่อหลายคน พากันมา ศึกษาค้นคว้าหาซากนครทรอย โดยเฉพาะบริเวณเนินดินสูง ในเอเชียไมเนอร์ ซึ่งเรียกว่า "ฮิสซาร์ลิค (HISSARLIK)" จนที่นี่กลายเป็นเมืองทัศนาจร มีของที่ระลึกเกี่ยวกับสงครามกรุงทรอย ตั้งแสดงมากมาย แต่ก็ยังไม่พบหลักฐานแท้จริงของทรอย

จนกระทั่งในปี ค.ศ.1870 ก็มีพระเอกขี่ม้าขาวเข้ามาดำเนินการ ขุดค้นหาซากกรุงทรอย เขาชื่อ ไฮน์ริช ชไลมันน์ (Heinrich Schliemann) เป็นมหาเศรษฐีเชื้อสายเยอรมัน โดยชไลมันน์ หลงใหลในมหากาพย์อีเลียดมาตั้งแต่เด็ก พอรํ่ารวยขึ้นมาก็เลยวางมือจากการงานท่องตระเวนตามดินแดน ที่ท่านโฮเมอร์รจนาไว้ทั้งกรีซและทะเลเอเจี้ยน แล้วสุดท้ายก็เลยตัดสินใจทุ่มเทเงินทองขุดสำรวจเนินดินฮิสซาร์ลิค

และชไลมันน์ก็ไม่ผิดหวัง เขาขุดพบซาก กรุงทรอยทับถมกันอยู่ถึง 10 กรุง!

นั่นก็คือ ณ ที่แห่งนี้ ได้เป็นที่เคยสร้างเมืองซ้อนทับ กันมาหลายยุคหลายสมัย ชั้นล่างสุดหรือที่เรียกกันว่า "ทรอย 1" นั้น สร้างมานานกว่า 5,000 ปี แล้ว ส่วนชั้นบนสุด "ทรอย 10" เป็นเมืองที่โรมันสร้างเป็นที่พัก ของนักท่องเที่ยว เมื่อพันกว่าปีก่อนโน้น

และชั้นที่มีอายุใกล้เคียงกับกรุงทรอย ในตำนานของโฮเมอร์นั้นก็คือชั้นที่ 7 ซึ่งมีอายุราว 1,000 ปีก่อน ค.ศ. (หรือ 3,000 กว่าปีมาแล้ว) ซึ่งชไลมันน์ขุดเลยผ่านไป โดยไม่ได้สนใจมากนัก


กระทั่งขุดลึกลงไปจนถึงชั้น 2 เขาก็ประกาศว่า ชั้นนี้แหละที่เป็นกรุงทรอย ของโฮเมอร์ ทั้งๆที่ภายหลังพิสูจน์กันได้ว่าชั้น 2 นี้ มีอายุถึง 4,200 ปี มาแล้ว ก่อนกรุงทรอยของโฮเมอร์หลายร้อยปี

สาเหตุที่ชไลมันน์มั่นใจเช่นนั้น ก็เพราะที่ชั้น 2 นี้มีซากอาคาร และกำแพงเมืองที่มีร่องรอยของการทำลายเผาผลาญ นอกจากนี้ที่สำคัญก็คือเขาได้พบสมบัติลํ้าค่ามากมายที่คู่ควรกับกษัตริย์ อาทิ เหยือกและจอกสุราทองคำแท้ แจกัน และข้าวของเครื่องใช้จำนวนมาก ที่ทำจากเงินเนื้อบริสุทธิ์


หนหนึ่ง เมื่อชไลมันน์ยกแจกันเงินใบใหญ่ ขึ้นมาจากกองดินทราย ที่ทับถม มันหนักอึ้ง และเมื่อเขาเขย่าดู ก็รู้สึกได้ว่าภายใน คงบรรจุอะไรไว้แน่นขนัด พอเทออกมาดู เขาและพรรคพวกก็ต้องตะลึงงัน

สิ่งที่อยู่ในแจกันนั้นคือเครื่องประดับ ที่ประกอบด้วยทองคำ และอัญมณีอันสุดแสนงดงาม และลํ้าค่ายิ่ง!


เมื่อมีชื่อเสียงแล้ว ชไลมันน์ก็ยังไม่หยุดยั้ง เดินทางไปสำรวจต่อที่กรีซ เพื่อหาซากนครของกษัตริย์อกาเมมนอน และก็ขุดพบซากเมืองกับสุสานใหญ่ ที่มีสมบัติลํ้าค่าเพียบ ชิ้นสำคัญคือ หน้ากากทองคำ ซึ่งเขาประกาศว่า เป็นที่ครอบพักตร์พระศพ ของอกาเมมนอน
แต่ก็ผิดอีกล่ะ เพราะเมืองและสุสาน ที่ชไลมันน์เรียกว่า "อารยธรรมไมซีนี" นี้ มีอายุก่อนหน้าการขึ้นครองราชย์ ของอกาเมมนอนหลายร้อยปีอีกนั่นแหละ


แต่เรื่องนี้นักประวัติศาสตร์ เค้าไม่ว่ากัน คนเราผิดพลาดกันได้ ทว่าผลงานแห่งการค้นพบนี่ซิ สร้างคุณประโยชน์ ให้แก่วงการประวัติศาสตร์ อย่างมหาศาล เป็นเกียรติคุณที่จะต้องยกย่องชไลมันน์

สำหรับทรัพย์สมบัติที่ชไลมันน์ขุดค้นได้นั้น ได้รับการขนานนามว่า "ทองชไลมันน์ (Schlie- mann's Gold)"

แม้ว่าเจ้าของดินแดนอันเป็นที่ตั้ง ของซากกรุงทรอย คือ ตุรกี แต่ชไลมันน์กลับคิด จะนำสมบัติที่ขุดได้ไปเก็บรักษายังที่อื่น แห่งแรกที่คิดคือพิพิธภัณฑ์แห่งกรุงลอนดอน ทว่าอังกฤษไม่ได้ ยกย่องเขาเท่าที่ควร ชไลมันน์จึงเปลี่ยนใจนำสมบัติกรุงทรอย หรือ "ทองชไลมันน์" ไปมอบให้พิพิธภัณฑ์ แห่งเบอร์ลินในปี ค.ศ.1880 และได้รับเกียรติยศมากมาย ที่เยอรมันทำพิธีให้

นับจากนั้นผู้คนทั่วทุกมุมโลก ก็มีโอกาสได้มาชื่นชม "ทองชไลมันน์" ที่พิพิธภัณฑ์เบอร์ลินจัดแสดงไว้

ชไลมันน์เสียชีวิตในปี 1890 พร้อมกับความเชื่อมั่นว่าสมบัติกรุงทรอย คงตั้งแสดง อยู่ในพิพิธภัณฑ์เบอร์ลินตลอดกาล


หากทว่า เพียงครึ่งศตวรรษหลังจากนั้น สงครามโลกครั้งที่สองก็เปิดฉากขึ้น และปิดฉากลง ด้วยความพ่ายแพ้ของเยอรมัน และต่อไปนี้คือคำให้การ ของผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์แห่งเบอร์ลิน

"ทัพสัมพันธมิตรหลั่งไหลเข้าเบอร์ลิน เหล่านาซีพากันขนย้ายศิลปวัตถุอันมีค่า ไปเก็บซ่อนไว้ในหลุมหลบภัย รวมทั้งทองชไลมันน์ด้วย แต่ทหารรัสเซียรู้ในเรื่องนี้ดี และออกตามล่าสมบัตินาซีทุกหนแห่ง และปล้นเอาทองชไลมันน์ไป ทองคำดังกล่าวนั้นบรรจุอยู่ในหีบ 3 ใบ ประทับอักษร ทรอย ไว้ พวกรัสเซียนำขึ้นรถบรรทุก ขนไปสนามบิน และเอาขึ้นเครื่องไปยังมอสโก"

นับแต่นั้นก็มิได้มีผู้ใดพบเห็นทองชไลมันน์อีก และรัฐบาลรัสเซียก็ปฏิเสธตลอดมา ว่ามิได้ขนเอามาแต่อย่างใด

กระทั่งผ่านมาในช่วง ค.ศ.1980 ขณะที่นักศึกษาศิลปะของรัสเซียเดินผ่านภารโรง ที่กำลังทำความสะอาดภายในพิพิธภัณฑ์พุชกิน, กรุงมอสโก พวกเขาเห็นเอกสารเก่าๆทิ้งอยู่ในถังขยะ จึงแอบเก็บเอามาแล้วก็พบว่า มันเป็นสารบัญรายชื่อศิลปวัตถุของพิพิธภัณฑ์ และหนึ่งในรายการนั้นระบุว่าเป็น "หีบสมบัติ 3 หีบของทรอย"!

อา...โบราณวัตถุอันหาค่ามิได้ที่สูญหายไป ที่แท้อยู่ในห้องใต้ดินของพิพิธภัณฑ์กลางกรุงมอสโกนั่นเอง


เมื่อข่าวนั้นแพร่ออกไป รัฐบาลรัสเซีย ก็ถูก บีบคั้นให้เปิดเผยถึงสิ่งลํ้าค่าอันเป็นสมบัติของโลก แต่ก็ยังคงปากแข็งปฏิเสธเรื่อยมาอยู่ดี โดยอ้างว่า ทองชไลมันน์ถูกระเบิดทำลายไปพร้อมกับอาคารในเยอรมันโน่นแล้ว

จวบจนถึงยุครัสเซียใหม่ ซึ่งมีนโยบายเปิดเผยประเทศต่อชาวโลก รัฐบาลรัสเซียจึงยอมรับใน ค.ศ.1993 ว่า สมบัติลํ้าค่าของทรอยนั้นมีอยู่ในมอสโกจริง


นอกจากนี้ ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์พุชกินคนหนึ่ง ยังเปิดเผยว่าได้รับอนุญาตให้เปิดหีบ "ทรอย" เพื่อตรวจสอบดู

"ในฐานะนักโบราณคดี เมื่อฉันได้เห็นสมบัติเหล่านั้น เช่น ถ้วยโถโอชามทองคำ ฉันก็รู้สึกราวได้สัมผัสกลิ่นอายของมนุษยชาติ..."

แม้รัฐบาลรัสเซียรับปากว่าจะนำทองชไลมันน์ ออกแสดงให้ชาวโลกได้ชม แต่จะเป็นเมื่อใดนั้นยังไม่แน่ ด้วยว่ามีหลายชาติจ้องเรียกร้องสิทธิ ในความเป็นเจ้าของเหลือเกิน เช่น

เยอรมัน - อ้างว่า ทองเหล่านั้นเดิมอยู่ในพิพิธภัณฑ์เบอร์ลิน

ตุรกี - สมบัตินี้ขุดขึ้นมาจากแผ่นดินเติร์ก

อังกฤษ - สมบัตินี้อยู่ในเขตควบคุม ของอังกฤษหลังเยอรมันพ่ายแพ้

ดังนั้น ถ้าจะให้รัสเซียนำสมบัติอันหาค่า มิได้นี้มาให้ชมกัน ก็ต้องตกลงให้มั่นเหมาะเสียก่อนว่า จะไม่เรียกร้องเอามันไปจากมอสโก

อายุ 122ปี เป็น เเบบนี้ หร่อ


ไม่น่าเชื่อ ว่าเธอจะอายุ 122 ปี

ว่าด้วยเรื่อง ไก่ ไก่


ว่าด้วยเรื่องแปลกๆ ของไก่



Mars
"ไก่ไร้หัว"
ใครจะไปเชื่อว่าไก่จะสามารถใช้ชีวิตอย่างปกติสุขได้ หลังจากที่คอถูกตัดขาดจากตัวได้นานถึง 18 เดือน!!! ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อละครับ เพราะเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นแล้วที่ Fruita รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2483 ในวันที่ 10 เดือนกันยายน ...เย็นวันนั้น สามีภรรยาครอบครัวโอลเซ่น (Olsen) ตั้งใจจะทำเมนูไก่เป็นอาหารมื้อค่ำ โดยเจ้าไมค์คือไก่เคราะห์ร้ายที่คู่สามีภรรยาเลือกเพื่อเป็นวัตถุดิบในการปรุงอาหารขึ้นโต๊ะ แต่เมื่อนายโอลเซ่นได้ลงคมมีดฟันคอเจ้าไมค์ฉับ!!! เลือดไก่กระจายลงเขียง และท่ามกลางกองเลือดไก่และเศษขนไก่นั้น นายโอลเซ่นก็ต้องตะลึงพรึงเพริดได้อย่างประหลาดใจเหลือจะกล่าว เมื่อเจ้าไมค์ที่ไม่มีหัวนั้นยังไม่ตายแถมโดดลงจากเขียงและพยายามจะวิ่งหนีไป ทีนี้นายโอลเซ่นเลยหมดความต้องการจะกินเจ้าไมค์ในทันใด (กินลงอีกก็แปลกล่ะ) ก็เลยเอาเจ้าไมค์ไปเก็บไว้ในเล้าตามเดิม


          เช้าขึ้นอีกวัน เจ้าไมค์ก็ออกไปเดินเล่นคุ้ยเขี่ยดินตามปกติกับไก่ตัวอื่นๆ และหลังจากครอบครัวโอลเซ่นตกลงกันแล้วว่าจะเลี้ยงเจ้าไมค์เอาไว้ เพื่อให้มันมีชีวิตรอด พวกเขาป้อนอาหารและน้ำให้มันด้วยหลอดแก้วที่ใช้หยอดตา ผ่านทางหลอดอาหาร เพราะมันไม่มีปากจะกิน และแล้วเจ้าไมค์ก็สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติสุขตามประสาไก่ๆ (ไร้หัว) ของมัน จนกระทั่งกลางดึกของคืนวันหนึ่ง ครอบครัวโอลเซ่นป้อนอาหารเจ้าไมค์ตามปกติ แต่เจ้าไมค์ดันเกิดอาการสำลักอาหารจนขาดใจตายในเวลาต่อมา ซึ่งเมื่อรวมเวลาที่ไมค์ได้ใช้ชีวิตหลังจากถูกตัดคอไปจนกระทั่งตาย ยาวนานถึง 18 เดือนด้วยกัน พอเจ้าไมค์ตายเจ้าของก็เสียใจมาก เลยจัดตั้งวันไมค์ไก่ไร้หัว (Mike the headless Chicken Day) ขึ้นเพื่อรำลึกถึงเจ้าไมค์ที่จากไป...

ไก่ที่หางยาวที่สุดในโลก
คุณรู้ไหม ไก่ที่ครองตำแหน่งหางยาวที่สุดในโลกนั้น หางของมันมีความยาวเท่าไหร่??? คำตอบคือมันมีความยาวเฉพาะส่วนหาง 34 ฟุต 8 นิ้ว พอดีพอดีครับผม... เจ้าไก่ตัวนี้เป็นไก่สัญชาติซามูไร เจ้าของเป็นคนญี่ปุ่น ชื่อนายซาชิ คูโบต้า ชายผู้เป็นเจ้าของฟาร์มไก่หางยาวที่สุดในโลก ไก่พันธุ์นี้เป็นไก่พันธุ์โยโกฮามา หรือในชื่อสากลว่าพันธุ์รูสเตอร์นั่นเอง ดูจากรูปแล้วยาวแค่ไหนคงไม่ต้องบรรยาย มิสเตอร์คูโบต้าแอบกระซิบว่าตอนเอาออกมาโชว์เนี่ยก็ดูสวยดี แต่เวลาเก็บนั้นสุดจะยุ่งยาก เพราะความยาวของหาง ทำให้ต้องค่อยๆ ม้วนเก็บอย่างประณีต ซึ่งต้องใช้ความอดทนและความพยายามมากพอดูทีเดียว

ไก่ไร้ขน
หลังจากอ่านไก่ขนยาวที่สุดในโลกมาแล้ว มาดูไก่ไร้ขนกันดีกว่า เจ้าไก่ที่ท่านผู้อ่านที่น่ารักเห็นอยู่ในภาพนี้มิใช่ภาพตัดต่อหรือรีทัชใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นภาพของไก่พันธุ์ใหม่ไร้ขนสองตัวจิกหญ้าในมหาวิทยาลัยฮีบรูในเมืองรีโฮวอทเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2002 นักวิทยาศาสตร์อิสราเอลจากคณะเกษตรศาสตร์ของมหาวิทยาลัยได้ตัดแต่งพันธุกรรมไก่ไร้ขนในส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยเพื่อพัฒนาสัตว์ปีก ซึ่งไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม โดยไก่ไม่มีขนพวกนี้จะช่วยคนเลี้ยงประหยัดเงินจำนวนมากในการระบายอากาศเพื่อป้องกันไก่ของพวกเขาจากความร้อนที่มากเกินไป (ดูโป๊ๆ เปลือยๆ ยังไงก็ไม่รู้)

ชำเราไก่!!!
          ตบท้ายเรื่องไก่ๆ จะว่าเกี่ยวก็เกี่ยว จะว่าไม่เกี่ยวก็กระไรอยู่ (เอ๊ะ ยังไง) เรื่องนี้เกิดขึ้นที่เมืองไทยบ้านเรานี่เอง เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ปีที่แล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พระโขนงได้รวบตัวนายพิลา อั้งพรหม วัย 30 ปี หนุ่มวิปริตที่ขโมยไก่เพื่อนบ้านไปข่มขืน!!! แล้วไม่ใช่ตัวเดียวนะครับ ขอโทษ... พี่แกล่อเป็นเล้า จนเจ้าของไก่แปลกใจ หะแรกที่หายไปนึกว่างูคาบไปหม่ำ หนักๆ เข้านึกว่าถูกลักไปกินหรือไปขายต่อ เพราะเป็นไก่ชนราคาเรือนพัน สุดท้ายทนไม่ไหว ซุ่มรอดักตะครุบตัวได้คากรง ฟังสารภาพเข้าไปแล้วอึ้งกิมกี่ ไม่นึกว่า ‘ไอ้โต้งลูกพ่อ’ จะถูกลากไปขยี้กาม แถมไปเจอซากไก่ตัวเองแล้วน้ำตาแทบร่วง เพราะนอกจากสภาพคอที่หักจนห้อยพับแล้ว ทุกตัวยังถูก ‘ตุ๋ย’ จนรูทวารฉีกขาด (อึ๋ย เสียวว๊อย) แหม! อย่างงี้เค้าเรียกหน้ามืดมั้ยพี่ อยากรู้จัง ตอนหวัดนกระบาดในไก่ พี่แกจะหน้ามืดจนกล้า ‘ตุ๋ยไก่’ มั้ยล่ะนี่???

บอกทีนี้ตัวไร


ตัวอะไรเนี่ย !!!




ใครสร้างปีรามิต


ใครเป็นคนสร้างปิรามิด ?

1000tips
ท่ามกลางที่ราบอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เปลวแดดที่ร้อนระอุไปทั่วผืนทะเลทราย แผ่นดินที่ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นผงสีแดง สิ่งก่อสร้างที่สูงใหญ่ตั้งสง่าสะดุดสายตาเมื่อได้พบเห็น สิ่งนั้นคือ ปิรามิด (Pyramid) เป็นสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อท้าทายกระแสลม แสงแดดที่แผดเผามาเป็นเวลานานหลายพันปี เพื่อแสดงถึงอารยธรรม -โบราณของมนุษย์ ต่อสายตาชาวโลกยุคใหม่ที่ยังคงฉงนสนเท่ไม่น้อยเมื่อมาพบเห็น
ปิรามิดเป็นสิ่งก่อสร้างรูปกรวยเหลี่ยมสำหรับเป็นที่เก็บศพกษัตริย์อียิปต์โบราณ ในอียิปต์มีอยู่ 70 แห่งด้วยกัน แต่ปิรามิด 3 แห่งที่อยู่เมืองกีซ่า คือ หลุมฝังศพของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์(พระเจ้าคูฟู) คีเฟรน และไมซีรีนัส เป็นปิรามิดที่ใหญ่ที่สุดสันนิษฐานว่าปิรามิดนี้ สร้างขึ้นมาตั้งแต่ 4600 ปีมาแล้ว นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคเก่า ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและยังคงตั้งตระหง่านอยู่เพียงแห่งเดียวในโลก ใช้เวลาสร้าง 10 ปี

ปิรามิดที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามอันแห่งเมืองกีซ่านี้ ที่ใหญ่ที่สุดคือปิรามิดของพระเจ้าฟาโรห์คีออพส์ เรียกว่า มหาปิรามิด
- ฐานของปิรามิดแห่งนี้มีความกว้างถึง 5770,000 ตาราง 768 ฟุต บริเวณฐานปิรามิด 4 ด้านนั้น มีความกว้างยาวเท่ากัน คือ 755 ฟุต หรือ 230.12 เมตร จะแตกต่างกันมากน้อยแค่ 8 นิ้ว

- ตัวมหาปิรามิดนี้สูงประมาณ 432 ฟุตประมาณได้ว่ามีหินก้อนมหึมาถึง 2,300,000 ก้อน หนักกว่า 6,000,000 ตัน แต่ละก้อนหนักถึง 2.5 ตัน บางก้อนหนักถึง 16 ตัน กว้างยาวประมาณ 3 ฟุต หรือ 1 เมตร
สันนิษฐานว่าผู้สร้างปิรามิดนี้ อาศัยดวงดาวเป็นหลัก นอกจากความใหญ่โตอันน่ามหัศจรรย์ของปิรามิดแล้ว การก่อสร้างให้สำเร็จยัง น่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าหลายเท่าถ้าทราบว่าหินเหล่านี้ต้องสกัดมาจากภูเขาที่อยูไกล แล้วลากมาสู่ฝั่งแม่น้ำไนล์ ล่องลงมาเป็นระยะทางนับร้อยไมล์ จึงมาถึงจุดใกล้ที่ก่อสร้าง แล้วชักลากผ่านทะเลทรายไปถึงที่ก่อส้างต้องแต่งสลักเป็นแท่งสี่เหลี่ยม แล้วยก วางซ้อนขึ้นไปจนถึง 432 ฟุต

ใจกลางปิรามิดมีห้องเก็บพระศพของพระเจ้าคีออพส์ข้างในทำจากหินแกรนิต กว้าง 34 ฟุต ยาว 17 ฟุต และสูง 19 ฟุต พระศพของพระเจ้าคีออพส์ทำด้วยหินแกรนิตตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของห้องปิรามิดของพระเจ้าคีออพส์ ล้อมรอบด้วยหลุมศพ และปิรามิดเล็ก ๆ อีก 3 แห่ง ซึ่งเป็นของสมาชิกในราชวงศ์และในราชสำนักชั้นสูง

ปิรามิดแห่งที่สองของกีซ่าเป็น ปิรามิดคีเฟรน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมหาปิรามิด เล็กกว่ามหาปิรามิดเล็กน้อย คือสูง 460 ฟุต ช่วงบนของปิรามิดนี้มีลักษณะเด่นเพราะเป็นหินปูนขาว

ปิรามิดไมซีรีนัส เป็นปิรามิดที่เล็กที่สุดในบรรดาทั้งสามแห่ง สูงแค่ 230 ฟุต นอกเหนือจากปิรามิดทั้งสามแล้วยังมี ตัวสฟิงซ์ ซึ่งมีชื่อเสียงมากเช่นกัน โดยแกะสลักหินก้อนใหญ่เป็นรูปสิงโตหมอบอยู่แต่หน้าเป็นมนุษย์ใบหน้านี้เป็นใบหน้าของพระเจ้าคีเฟรน ซึ่งมีคนนับถือเป็นพระเจ้าแห่งพระอาทิตย์ รูปสฟิงซ์นี้สูงถึง 66 ฟุต ยาว 240 ฟุต หมอบเฝ้าปากทางที่พามุ่งตรงไปยังปิรามิดแห่งคีเฟรน
สิ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลทรายใกล้แม่น้ำไนล์ก็คือ หมู่ปิรามิดแห่งอียิปต์ ปิรามิดสร้างโดยชาวอียิปต์โบราณมาเกือบ 5000 ปีมาแล้ว นอกจากนั้นยังเป็นสิ่งก่อ
สร้างที่ เก่าแก่ที่สุดในบรรดา 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยโบราณด้วย และที่สำคัญก็คือเป็นสิ่งเดียวที่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน


ปิรามิดสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์อียิปต์โบราณ ชาวอียิปต์ในสมัยนั้นเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย ดังนั้นจึงต้องแน่ใจว่ากษัตริย์ของพวกเขาจะทรงมีทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับโลกหน้า พวกเขาได้ฝังทรัพย์สินและสิ่งของส่วนพระองค์ไปพร้อมกัน สิ่งที่นักโบราณคดีค้นพบเป็นจำนวนมากในห้องเก็บสมบัติ ของปิรามิดได้แก่ เพชรพลอย อาหาร เครื่องเรือน เครื่องดนตรี และอุปกรณ์ล่าสัตว์

ปิรามิดที่ใหญ่ที่สุดและประทับใจที่สุดคือ ปิรามิดของกษัตริย์คีอ็อปส์ ที่กีซา สร้างเสร็จเมื่อประมาณ 2580 ปีกอนคริสตกาล โดยมีผู้ก่อสร้างหลายพันคนและใช้เวลาก่อสร้างทั้งหมด 30 ปี ปิรามิดแห่งกีซานี้สูงประมาณ 137 เมตร(449 ฟุต) ฐานแต่ละด้านยาว 230 เมตร(755 ฟุต) ใช้หินในการก่อสร้างทั้งหมด 2 ล้านก้อน แต่ละก้อนหนักประมาณ 2300 กิโลกรัม ใกล้กับปิรามิดใหญ่นี้มีปิรามิดเล็กๆอีก 3 องค์ซึ่งเป็นที่ฝังพระศพของพระราชินีองค์สำคัญๆของกษัตริย์คีอ็อปส์

ชาวอียิปต์โบราณไม่ได้ใช้เครื่องจักรในการสร้างปิรามิด มีแต่เพียงแรงงานมนุษย์กับเครื่องมือธรรมดาๆในการก่อสร้างเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น ผู้ที่สร้างปิรามิดไม่ใช่พวกทาส แต่เป็นช่างฝีมือและชาวนาที่อยู่ว่างในระหว่างที่น้ำจากแม่น้ำไนล์ท่วมพื้นที่ทำการเกษตรของตน แม้ว่าประชาชนนับพันๆคนที่มาช่วยสร้างปิรามิดจะทำงานเพื่อแลกกับอาหารและเสื้อผ้า แต่ทุกคนก็ต้องการมีส่วนร่วมในการสร้างที่ฝังพระศพของกษัตริย์ที่พวกเขานับถือเป็นเทพเจ้า
การสร้างปิรามิดนั้นเริ่มจากการหาสถานที่ที่เหมาะสม และ ใช้ดวงดาวช่วยในการวางราก ฐาน ดังนั้นจึงพบว่าฐานทั้งสี่ด้านของปิรามิดที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสจะหันไปทางทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก เมื่อวางรากฐานเรียบร้อยแล้วก็จะเริ่มก่อปิรามิดเป็นชั้นๆสูงขึ้นไป โดยเริ่มต้นจากจุดศูนย์กลางออกไปด้านนอก วัสดุที่ใช้สร้างปิรามิดคือหินที่สกัดมาจากภูเขาที่อยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำไนล์ การขนย้ายก็ทำด้วยความยากลำบากเพราะไม่มีเครื่องทุ่นแรงหรือพาหนะอย่างใดเลย แต่ใช้เชือกและแรงงานคนลากมาจนถึงบริเวณก่อสร้างในสมัยโบราณเมื่อหลายพันปีก่อน ปิรามิดสร้างด้วยความยากลำบากจากหยาดเหงื่อแรงงานและกำลังใจของประชาชน จึงทำให้ปิรามิดได้รับการจัดลำดับให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
ความน่าทึ่งของปิรามิด ทำให้คนเป็นจำนวนมากไม่เชื่อว่าสิ่งก่อสร้างรูปทรงเรขาคณิตที่มีขนาดใหญ่อย่างน่ามหัศจรรย์แห่งนี้ ถูกสร้างด้วยน้ำมือมนุษย์ เพราะหินแต่ละก้อนมีน้ำหนักมากจนเทคโนโลยีบัจจุบันยังยกไม่ขึ้น แต่หินเหล่านั้นกลับถูกยกขึ้นไปวางทับซ้อนกันอย่างเหมาะเจาะลงตัว อย่าง พิสดาร เกินกว่าจินตนาการของมนุษย์ยุคนี้จะสามารถหาคำตอบมาตอบได้อย่างกระจ่าง คำตอบต่างๆ ที่นักวิทยาศาสตร์พยายามเสนอวิธีการก่อสร้างต่างๆ นั้นเป็นเพียงแค่ ทฤษฎี เท่านั้น ยังไม่มีมนุษย์คนใดในยุคนี้ที่คิดสร้างปิรามิดให้ยิ่งใหญ่เทียบเท่า มหาปิรามิดที่สร้างด้วยฝีมือคนโบราณ ..... และมันยังคงเป็นโจทย์ที่ต้องหาข้อสรุปต่อไปว่า

" ใครเป็นผู้สร้างปิรามิดกันแน่ "

10 สัตว์อันตรายที่สุดของโลก


10 อันดับสัตว์แห่งความตาย

มติชน
สัตว์อะไรอันตรายที่สุดในโลก? คำตอบคงมีหลากหลาย เช่น สิงโต เสือโคร่ง งูเห่า ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมของแต่ละคน
แต่คงไม่ต้องถกเถียงกันอีกต่อไปเมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้จัดอันดับสัตว์อันตรายหรือ "สัตว์แห่งความตาย" ไว้ 10 อันดับเรียบร้อยแล้ว น่าสนใจทีเดียวเพราะสัตว์บางชนิดไม่ใช่เป็นสัตว์กินเนื้อหรือสัตว์นักล่า และบางชนิดมีขนาดเล็กและมีท่าทีสงบเสงี่ยมจนนึกไม่ถึงว่ามันคือ "ยมทูต"

มาดูกันว่ามีสัตว์อะไรบ้าง



1.ยุง(Mosquito)
คงจะผิดความคาดหมายของหลายๆ คนเมื่อสัตว์ที่ครองอันดับ 1 หรือที่สุดของสัตว์แห่งความตายคือ ยุง แมลงขนาดจิ๋วซึ่งไม่เพียงแค่ทำให้เรารู้สึกคันเมื่อเวลาถูกมันกัดเท่านั้น ทว่า ยุงบางชนิดเป็นพาหะนำเชื้อไข้มาลาเรียและไวรัสไข้เลือดออกเข้าสู่ตัวคน ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากยุงกัดมากกว่าสองล้านคนเลยทีเดียว


2.งูเห่าเอเชีย(Asian Cobra)
ใครๆ ก็รู้จักงูเห่ากันดี แต่นี่คืองูเห่าเอเชียซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่า งูเห่าอินเดีย มีถิ่นที่อยู่ในฟิลิปปินส์ ปากีสถาน เอเชียใต้ แอฟริกา และอินเดีย งูเห่าอินเดียต่างจากงูเห่าสายพันธ์อื่นคือกินเฉพาะงูที่เล็กกว่าและหนูเท่านั้น เมื่อเวลามันโกรธหรือถูกรบกวนมันจะแผ่แม่เบี้ย งูเห่าอินเดียไม่ใช่งูที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก แต่มีคนตายเพราะถูกมันกัดในแต่ละปีถึง 50,000 คน


3.แมงกะพรุนออสเตรเลีย(Australian Box Jellyfish)
แมงกะพรุนออสเตรเลียรู้จักกันในชื่อของ "ตัวต่อทะเล" รูปร่างคล้ายกระดิ่งคว่ำ หนวดอาจมีมากกว่า 60 เส้น แต่ละเส้นยาวถึง 15 ฟุตและมี "นีมาโตซีส" (nematocyst) หรือเข็มพิษประมาณ 5,000 เซลล์ ซึ่งสามารถฆ่าคนได้จำนวนมากถึง 60 คน

แมงกะพรุนออสเตรเลียจะชุมนุมกันบริเวณชายฝั่งหรือปากแม่น้ำในเวลาน้ำขึ้น อาหารของมันคือปลาเล็กๆ และครัสเตซีน


4.ฉลามขาว(Great White Shark)
มันคือเพชฌฆาตแห่งท้องทะเลที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด จำนวน 1 ใน 2 ถึง 1 ใน 3 ของการโจมตีมนุษย์ของฉลามในท้องทะเลทั่วโลกเป็นฝีมือของฉลามขาว

ฉลามขาวมีขนาดใหญ่ ยาวประมาณ 12-16 ฟุต มีฟันที่แหลมคมถึง 3,000 ซี่ มันจะไม่เคี้ยวเหยื่อแต่จะกลืนลงคอเลย คาวเลือดในน้ำทะเลทำให้มันแทบคลุ้มคลั่งและจะว่ายเข้ามาหาทันที  ถิ่นที่อยู่ของมันคือชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกา ฮาวาย อเมริกาใต้ แอฟริกาใต้ ชายฝั่งทางเหนือของออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ฝั่งตะวันตกของแอฟริกาถึงสแกนดิเนเวีย ญี่ปุ่น ชายฝั่งตะวันออกของจีน และทางใต้ของรัสเซีย


5.สิงโตแอฟริกา(African Lion) สัตว์ที่ได้ชื่อว่า "เจ้าป่า" เพราะเป็นนักล่าที่ว่ากันว่าเกือบเพอร์เฟ็กต์ที่สุดน่าจะรั้งตำแหน่งสุดยอดสัตว์อันตราย แต่กลับอยู่เพียงอันดับที่ 5 เท่านั้น

สิงโตแอฟริกามีรูปร่างสง่างามและแผงคอที่สวยงาม มีเขี้ยวขนาดใหญ่และเล็บที่คมกริบ มันกินสัตว์แทบทุกชนิดตั้งแต่เต่าไปจนกระทั่งถึงยีราฟ จุดเด่นของมันคือเป็นสัตว์สังคม อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม สิงโตแอฟริกาอาศัยอยู่ในทุ่งหญ้า ทุ่งซาวานนาส์ และบริเวณพุ่มไม้ที่หนาแน่น



6.จระเข้น้ำเค็มออสเตรเลีย(Australian Saltwater Crocodile)
นี่คือจระเข้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในจำนวนจระเข้ 23 สปีซีส์ของโลก ปกติตัวผู้มีลำตัวยาวประมาณ 2.5-3 เมตร แต่อาจยาวได้ถึง 6-7 เมตร มีหัวขนาดใหญ่และกรามที่แข็งแรง มีความอดทนสูง สามารถอยู่ในน้ำกร่อย แม่น้ำ แม้กระทั่งหนองบึง เดินทางในท้องทะเลได้ไกลเป็นพันกิโลเมตร มีถิ่นที่อยู่ในหลายประเทศ เช่น ออสเตรเลีย พม่า กัมพูชา ไทย เวียดนาม เป็นต้น

จระเข้ชนิดนี้จะพรางตัวให้เหยื่อตายใจว่ามันคือท่อนไม้ และรอจนกระทั่งเหยื่อผ่านมา หลังจากนั้นมันจะเปิดตาและพุ่งเข้างับเหยื่อแล้วด่ำดิ่งสู่ก้นทะเลหรือแม่น้ำ



7.ช้างแอฟริกา(African elephant)
ช้างแอฟริกามีน้ำหนักเฉลี่ย 16,000 ปอนด์ แบ่งออกเป็นสองชนิดคือ ช้างซาวานนาส์มีถิ่นที่อยู่บริเวณทางใต้ของซาฮารา และช้างป่าซึ่งมีขนาดเล็กกว่าอยู่บริเวณตะวันตกของแอฟริกา ช้างแอฟริกาสามารถอยู่ได้ทั้งป่าฝน พื้นที่คล้ายทะเลทราย ชายฝั่งทะเลและเชิงเขา

ในแต่ละปีช้างได้คร่าชีวิตมนุษย์มากกว่า 500 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฝีมือของช้างแอฟริกา



8.หมีขั้วโลก(Polar Bear)
หากอยู่ในสวนสัตว์ มันดูน่ารักน่ากอด แต่นี่คือสัตว์นักล่าขนาดใหญ่ที่สุดในโลก อาวุธของมันคือเล็บที่แหลมคมและแขนที่แข็งแรงซึ่งสามารถฆ่าเหยื่อขนาดใหญ่หรือมนุษย์ให้ตายได้ด้วยการตะปบเพียงครั้งเดียว

หมีขั้วโลก ตัวผู้หนักถึง 775-1,500 ปอนด์ ส่วนตัวเมียหนัก 330-500 ปอนด์ มีถิ่นที่อยู่บริเวณอาร์กติก ขั้วโลกเหนือ แต่ไม่มีหลักแหล่งที่แน่นอน พบในอลาสกา แคนาดา รัสเซีย เดนมาร์ก(กรีนแลนด์) และนอร์เวย์ เป็นสัตว์สปีซีย์หนึ่งของโลกที่กำลังถูกคุกคาม

ปัจจุบันหมีขั้วโลกมีจำนวนประมาณ 22,000-27,000 ตัว อยู่ในแคนาดามากที่สุดคือราว 15,000 ตัว



9.ควายแอฟริกา(Cape Buffalo)
นี่คือนักสู้ที่ทรงพลังที่สุด ด้วยน้ำหนักถึง 700 กิโลกรัม กับเขาที่ยาว โค้งงอ และแหลมคม แม้แต่สิงโตก็ไม่สามารถล้มมันได้นอกจากตัวที่อายุมากหรือตัวที่ป่วย หรือลูกเล็กๆ ของมันเท่านั้น

ควายแอฟริกันจะอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่บริเวณทุ่งหญ้าใกล้ป่า และหนองบึง เมื่อเผชิญหน้านักล่ามันจะเตรียมป้องกันตัวโดยยกเขาขึ้น  ถ้ามันอยู่เพียงลำพังก็ไม่อันตรายนัก เหยื่ออาจจะรอด ควายแอฟริกาจะกลายเป็นนักฆ่าที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดก็ต่อเมื่อทั้งฝูงถูกต้อนให้จนมุมหรือถูกทำให้ตื่นตกใจ พวกมันจะพร้อมใจกันวิ่งเข้าชาร์จศัตรูทันที


10.กบลูกดอกอาบยาพิษ(Poison Dart Frog) นักฆ่าอันดับสุดท้าย คือ กบลูกดอกอาบยาพิษ ซึ่งมีขนาดเพียง 2 เซนติเมตรเท่านั้น มันเป็นสปีซีส์หนึ่งของกบมีพิษ(Poison Frogs) ซึ่งมีสีสันสวยงามจนได้ชื่อว่า "อัญมณีแห่งป่าฝน"

กบชนิดนี้มีสารพิษทำลายระบบประสาท มันจะปล่อยสารพิษให้ไหลซึมออกมาทางผิวหนังเพื่อเตือนนักล่าไม่ให้เข้ามาใกล้ ปริมาณพิษของกบลูกดอกอาบยาพิษสามารถฆ่าคนได้ถึง 10 คนเลยทีเดียว พรานป่าในอเมริกาใต้ใช้พิษของมันทาลูกดอก ซึ่งเป็นที่มาของชื่อกบชนิดนี้

ทั้งหมดนี้คือสุดยอดสัตว์แห่งความตายของโลก และแทบไม่น่าเชื่อว่าที่สุดของสัตว์เหล่านี้คือ ยุง แมลงตัวเล็กๆ ซึ่งอยู่ใกล้ตัวเรานี่เอง

ปอมเปอี


วันสุดท้ายของปอมเปอี



thairath
ในอดีต ปอมเปอี (POMPEII) เป็นเมืองชายทะเลอันงดงาม ที่อยู่ริมอ่าวเนเปิลส์ทางตอนกลางของอิตาลี แต่แล้วในปี ค.ศ.79 ภูเขาไฟวีซูเวียส (VESUVIUS) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมือง ได้ระเบิดพ่นลาวาอันร้อนแรง รวมทั้งไอก๊าซพิษ และขี้เถ้าลงมาถล่มท่วมทับปอมเปอี ฝังร่างชาวเมืองนับพันคนไว้ทั้งเป็น เป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่มาเยือนโดยไม่รู้ตัว 

สาเหตุการระเบิดมหากาฬของวีซูเวียส เกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก โดยเปลือกโลกแอฟริกาทางตอนใต้ ได้เคลื่อนขึ้นมาทางเหนือและชนกับเปลือกโลกยูเรเชียน (ยุโรปกับเอเชีย) เมื่อแผ่นหินบดอัดกัน บางส่วนก็จมลงสู่เบื้องล่าง ลึกลงไป...ลึกลงไปสู่ใจกลางโลกที่ยังร้อนจัด จนกระทั่งหลอม

ละลายกลายเป็นลาวาที่เบากว่า แล้วก็พุ่งขึ้นมายังปากปล่อง ก่อความพินาศไปทุกสารทิศ ปอมเปอีที่รุ่งเรืองมายาวนานกว่า 800 ปี ต้องจมหายไปภายใต้ขี้เถ้าที่ตกลงมาทับถมสูงถึง 10 เมตร ภายในชั่วเวลา 2 วัน รายละเอียดของการระเบิดและความพินาศครั้งนี้ ได้มีผู้ที่เห็นเหตุการณ์คือ ไพลนีน้อย (PLINY THE YOUNGER) เขาได้บันทึกไว้และเชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านคงได้เคยผ่านตาแล้ว จึงขอข้ามไปถึงเรื่องราวการขุดค้นเมืองนี้ในกาลต่อมา ซึ่งได้พบกับสิ่งที่น่ารู้น่าสนใจหลายประการ ยิ่งกว่าการขุดค้นเมืองโบราณใดๆ ของโลก



ทั้งนี้ เพราะเมืองโบราณทั่วไปนั้น ผู้คนได้ทิ้งเมืองและนำข้าวของมีค่าต่างๆ อพยพติดตัวไปด้วย ไม่เหลือร่องรอยของความเป็นอยู่ให้ได้ศึกษาเท่าใดนัก แต่สำหรับปอมเปอีแล้ว ภัยนี้จู่โจมมาถึงตัวทันที ไม่มีเวลาเก็บสมบัติทัน แม้แต่ตัวเองก็ยังเสียชีวิตในลักษณะอาการที่คงค้างอยู่ในขณะนั้น ทำให้นักโบราณคดีมีโอกาสศึกษาการดำรงชีพของชาวเมืองปอมเปอีได้อย่างสมบูรณ์


ความจริงแล้ว การขุดค้นปอมเปอีมีขึ้นหลัง จากเมืองถูกภูเขาไฟถล่มไม่กี่วัน โดยพลเมืองปอมเปอีเอง นั่นคือผู้ที่หนีเอาชีพรอดไปได้ ได้หวนกลับคืนมาเพื่อสำรวจ ตรวจดูทรัพย์สมบัติของตน แต่อะไรจะเหลือให้เห็นเล่า ไม่ว่า ถนน วัดวาอาราม โรงละคร ตลอดจนที่อยู่ อาศัยทั้งหมด ล้วนจมอยู่ใต้ขี้เถ้าหนา 10 เมตรดังกล่าว บางคนพยายามขุดอุโมงค์ทะลุขี้เถ้า ที่ทับถมเพื่อเข้าไปสู่บ้านของตน เพราะอีตอนรีบหนีอย่างฉุกละหุกนั้น ได้ทิ้งข้าวของมีค่าไว้มากมาย แต่ความยากลำบากในการขุดค้นทำให้พวกเขาต้องท้อถอยยอมแพ้ หากทว่าด้วยความไม่อยากอพยพไปอยู่ที่อื่น

พวกเขาจึงใช้แผ่นดินที่อุดมด้วยปุ๋ยขี้เถ้านั้นทำฟาร์มขนาดใหญ่โต หรือทำไร่องุ่นเสียเลย พอหลายชั่วอายุคนผ่านไป คราวนี้ทุกคนจึงลืมสนิทจริงๆ ว่าพื้นดินเบื้องล่างนั้นเดิมเคยเป็นเมืองอันรุ่งเรืองมาก่อน


กาลเวลาล่วงเลยมากว่า 1,600 ปี คือใน ค.ศ. 1754 ชาวไร่คนหนึ่งได้ขุดหลุมในที่ดินของตน แล้วพบรูปสลักหินอ่อนหลายชิ้น การค้นพบนี้ทำให้ ชาร์ลส์ที่ 3 กษัตริย์แห่งเนเปิลส์สนพระทัย เพราะพระองค์โปรดการตกแต่งวังด้วยรูปประติมากรรมสไตล์โรมัน จึงมีบัญชาให้ขุดหาต่อไปในแถบบริเวณวีซูเวียส และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น นักโบราณคดีบางคนก็ได้เดินทางมาศึกษาค้นคว้าในปอมเปอี แรกนั้น พวกเขาคิดว่าสิ่งที่ค้นพบ เป็นเพียงซากอาคารโบราณธรรมดา แต่แล้วใน ค.ศ. 1763 ก็ได้พบจารึกแผ่นหนึ่ง ซึ่งระบุว่าอาคารที่ฝังจมอยู่นั้น ที่แท้เป็นส่วนหนึ่งของปอมเปอี นครที่หายสาบสูญไปช้านาน จากนั้นจึงได้มีการขุดค้นกันขนานใหญ่ ตลอดมาจนถึงเดี๋ยวนี้

สิ่งซึ่งถือกันว่าน่าสนใจที่สุดจากการค้นพบ ก็คือซากมนุษย์ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นชาวนครปอมเปอี โดยใน ค.ศ. 1860 เป็นต้นมา กุยเซปเป้ ฟิโอเรลลิ นักโบราณคดีอิตาเลียนได้นำเอาวิธีจำลองร่างต่างๆ ด้วยการใช้ปูนปลาสเตอร์เหลวเทลงไปในโพรงดินที่ว่างเปล่า ซึ่งคาดว่าเป็นร่างมนุษย์ที่ถูกฝัง แต่วันเวลาที่ผ่านไป ทำให้เนื้อหนังสูญสลายไปหมด เหลือเพียงกระดูก และโพรงอากาศที่มีลักษณะมนุษย์ในอิริยาบถต่างๆ ทั้งนี้เนื่องจากเถ้าภูเขาไฟนั้นอัดแน่นจนคงรูปโพรงอยู่ได้นั่นเอง สิ่งที่ได้ออกมานั้นน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง  เพราะเมื่อปูนปลาสเตอร์แห้ง แกะออกมาแล้วปัดเป่าเอาขี้ดินกับเศษใบไม้ใบหญ้าที่ติดอยู่ออกไป

สิ่งที่เห็นก็คือรูปร่างของมนุษย์ ในสภาพเกือบสมบูรณ์ที่สุด นอกจากนี้ สิ่งของสมบัติที่พบอยู่ข้างกายของเขานั้น ก็ยังช่วยบอกฐานะของแต่ละร่างด้วย เช่น โครงกระดูกที่มีตุ้มหู หรือสร้อยทองคำ ก็ย่อมชี้ชัดว่าเขาผู้นั้นอยู่ในตระกูลมั่งคั่ง ส่วนทาสนั้นก็ง่ายที่จะระบุ โดยเห็นได้จากโซ่ที่ล่ามข้อมือไว้นั่นเอง ในยามที่รู้ว่าภัยมาถึงตัว ชาวปอมเปอีทุกคนก็จะฉวย คว้าเอาสิ่งมีค่าที่สุดของตนติดตัวไปด้วย บางซากถึงกับมีลูกกุญแจบ้านอยู่ในมือ

นอกจากนี้ ซากที่พบยังได้บอกอีกว่าในชั่วโมง แห่งวิกฤตินั้นพวกเขากำลังทำอะไร และตายอย่างไร หลายคนเสียชีวิตอยู่ภายในบ้าน เนื่องจากเมื่อภูเขาไฟระเบิด และพ่นเถ้าถ่านโปรยปราย ลงมาราวห่าฝนนั้น พวกเขาคิดว่า การหลบอยู่ภายในบ้านจะปลอดภัยที่สุด แต่ เป็นความคิดที่ผิด เพราะขี้เถ้านั้นมีปริมาณมหาศาล ท่วมคลุมเมืองถึง 10 เมตร เมื่อทับถมอยู่บนหลังคา อะไรจะทนทานอยู่ได้ หลังคาจึงหักพังลงมาทับพวกเขาเหล่านั้นเสียชีวิต

หรือลักษณะของซากศพหลายรายที่อยู่ในอาการใช้มือปิดปากปิดจมูก นั่นก็แสดงว่าพวกเขาต้องเผชิญกับก๊าซพิษร้อนๆ ผสมขี้เถ้า เมื่อหายใจเข้าไปก็เกิดการสำลัก และสิ้นใจก่อนจะถูกขี้เถ้าทับถมร่าง


การขุดค้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี ค.ศ. 1760 ทำให้สามารถเปิดสิ่งที่ทับถมออก และเผยให้เห็นสภาพเมืองทั้งถนนหนทางและอาคารต่างๆ ของปอมเปอี ทุกวันนี้ ผู้ไปเยี่ยมชมสามารถเดินท่องไปตามถนนที่ชาวปอมเปอีเคยใช้สัญจรไปมา ได้เห็นร้านค้าที่พวกเขาเคยช็อปปิ้ง ได้เห็นบ้านหรือคฤหาสน์ที่พวกเขาเคยอยู่อาศัย อาทิ ฟอน เฮาส์ ที่โด่งดังในอดีต วิหารของจอมเทพ จูปิเตอร์ ลานจัตุรัสฟอรัม ซึ่งเป็นที่เสวนาสังสันทน์ของชาวนคร ถนนสายหลัก วิอา คอนโซลาเร่ (ถนนกงสุล) ซึ่งคุณสามารถนั่งรถม้าทอดอารมณ์ชมผู้คนที่เดินขวักไขว่ หรืออาจหยุดพักนั่งดื่มและกินตามบาร์ที่มีเรียงรายอยู่สองฝั่งถนนได้

คฤหาสน์บางหลัง เช่น เวสตัลส์ (Vestals = นักบวชสตรีแห่งเทพีเวสตา) ใหญ่โตโอฬารและคงสภาพสมบูรณ์ มีพร้อมทั้งประตูใหญ่ทางเข้า ห้องโถงกลาง ห้องนอน ห้องอาหาร สวน สระ ว่ายน้ำ น้ำพุ ท่อระบาย แม้กระทั่งห้องสุขา นอก จากนี้ ก็ยังมีเครื่อง เรือนเครื่องใช้ในครั้ง 2,000 ปีก่อนโน้นครบครัน ไม่ว่าเหยือกน้ำ ถังเก็บไวน์ ถ้วยชามเซรามิก โมเสกสีสันวิจิตร เหรียญบรอนซ์ โบราณ ผนังปูนที่เขียนภาพงดงาม ฯลฯ
ซากชาวนครปอมเปอีในลักษณะอิริยาบถ ที่คงค้างอยู่ สภาพเมืองที่มิใช่เหลือแต่เสาโด่เด่ ตลอดจนสรรพสิ่งของเครื่องใช้ที่ครบสมบูรณ์ เหล่านี้ล้วนหาไม่ได้ในเมืองโบราณอื่นๆ ที่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา ยกเว้นที่ปอมเปอีและอาณาบริเวณใกล้เคียงเท่านั้น

 

ภาพเเห่งเวทย์มนต์


ผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิญญาณของโคลัมเบียได้ทำการออกแบบภาพแห่งเวทย์มนต์บนพื้นฐานของหลักจิตวิทยาโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อความผ่อนคลายทางอารมณ์ และเชื่อกันว่าภาพดังต่อไปนี้สามารถพัฒนาคุณค่าของชีวิตได้

ที่มา :
http://spiritus.go.ro/ENGLISH/magical_pictures.htm


ภาพ : พัฒนาอารมณ์ โดยการ กระตุ้นความกรุณา และ ความรัก ที่มีอยู่ในตัวคุณ
1. มองภาพสบายๆ โดยรวมๆ ให้นึกถึงความรักของสรรพสิ่งต่างๆ ที่มีให้แก่กัน สัก 1 นาที
2. มองสบายๆ ที่จุดกลางภาพ ประมาณ 2 ถึง 3 นาที จากนั้นก็มองภาพโดยรวมๆ อีกครั้ง
คุณจะเปี่ยมล้นไปความสบายใจไปสักพักหนึ่ง หลังจากที่ได้ปฏิบัติ





ภาพ : ถอดถอนความตึงเครียด ใช้เมื่อรู้สึกมึนงงกับงานที่ท่านทำอยู่
1. มองสบายๆ ที่จุดกลางภาพ สัก 10 - 20 วินาที
2. จากนั้นก็มองภาพโดยรวมๆ





ภาพ : แก้ไขข้อขัดข้องด้านการเงิน หรือ แก้ไขปัญหาต่างๆ เมื่อไม่พบทางออก
ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่คดโกง และกำลังมีปัญหาด้านการเงินอยู่ละก็
1. มองที่ขอบของวงกลมสักพัก (ให้จินตนาการว่าคุณถูกล้อมกรอบด้วยปัญหาอยู่)
2. มองไปที่ลูกศรข้างๆ วงกลมทุกๆ ทิศ
3. มองไปตรงจุด Z รำลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธ์ และอธิษฐานขอให้พบทางออกของปัญหาทางด้านการเงิน เป็นจำนวน สามครั้ง
4. ให้สังเกตความคิดของตัวเอง วิธีแก้ปัญหาต่างๆ จะมา เช่น ไอเดียใหม่ๆ ในการทำงาน วิธีหาเงิน เป็นหน้าที่ของคุณเองที่จะต้องจำ และจดเป็นรายละเอียด แต่ถ้าไม่สังเกต ก็จะไม่พบ