THE NATURAL OF REVENGE: 09/01/2011 - 10/01/2011

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

NASA ยอมค้นหาแฟ้มลับบันทึกข้อมูล UFO ตกในสหรัฐ


หลังจากบ่ายเบี่ยงมานานเกือบ 50 ปี สำนักงานบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐ (นาซา) แถลงเมื่อวานนี้ (ศุกร์ที่ 26 ต.ค.50) ว่าจะค้นหาเอกสารสำคัญที่บันทึกเรื่องราวการพบเห็นยานบินลึกลับ (ยูเอฟโอ) ในเมืองเค็กส์เบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย เมื่อปี 2508 ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่นาซาพยายามต่อสู้ในชั้นศาลของรัฐบาลกลาง ดึงดันไม่ยอมเปิดแฟ้มเปิดเผยเรื่องราวที่วัตถุลึกลับลอยข้ามท้องฟ้าและตกลงในป่าใกล้เมืองแห่งนั้นมาตลอด
โดยบันทึกความจำของกองทัพอากาศฉบับหนึ่งเขียนว่า"ไม่พบสิ่งใด"ตลอดการค้นหาเมื่อคืนวันที่ 9 ธันวาคม 2508 ท่ามกลางรายงานข่าวว่า มีเจ้าหน้าที่นาซาหลายคนเข้าไปยังจุดตกของวัตถุลึกลับ ก่อนจะมีรถบรรทุกเคลื่อนย้ายวัตถุขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายลูกโอ๊คและมีขนาดเท่ารถตู้ออกไปจากที่เกิดหตุ
รายงานข่าวเผยว่า หลังจากที่ยูเอฟโอลำนั้นตกลงในป่า บรรดาผู้กระหายใคร่รู้ได้ขับรถเข้าไปยังจุดเกิดเหตุ แต่ถูกทหารกั้นไม่ให้เข้าไป ขณะที่กองทัพอากาศได้ออกมาอธิบายเพียงว่า วัตถุที่ตกลงมานั้นเป็นดาวตก หรือ อุกกาบาต แม้ว่าเหตุการณ์ลึกลับจะผ่านพ้นไปเกือบ 50 ปีแล้ว แต่ผู้สนใจยูเอฟโอต่างไม่ยอมให้ข้อมูลเหล่านี้หายไปกับกาลเวลา นางเลสลีย์ คีน นักข่าวจากนิวยอร์ก ยื่นฟ้องนาซาเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เพื่อขอให้นาซา เปิดเผยข้อมูลของเหตุการณ์นี้ โดยนางคีน ให้เหตุผลว่า สิ่งนี้เป็นเรื่องของประชาชน เป็นเรื่องของเสรีภาพทางข้อมูลข่าวสาร ไม่ใช่แค่เพียงกลุ่มยูเอฟโอจะสนใจเรื่องนี้หรือไม่ พร้อมเปิดเผยว่า สาเหตุที่ฟ้องนาซาแทนที่จะเป็นกองทัพนั้น เนื่องจากเมื่อ 10 ปีที่แล้ว นาซาได้เปิดเผยเอกสารที่มีข้อมูลซึ่งเกี่ยวพันกับเหตุที่เกิดขึ้น
ก่อนหน้านี้ประมาณเดือนมีนาคม 2550 ฝรั่งเศส เป็นประเทศแรกที่เปิดแฟ้มลับของตัวเองเกี่ยวกับยูเอฟโอ โดยองค์การอวกาศแห่งชาติฝรั่งเศส (CNES : Centre National d’Etudes Spatiales) ได้จัดแถลงข่าวเปิดตัวเว็บไซต์ www.cnes-geipan.fr  ซึ่งรวบรวมข้อมูลรายงานการพบเห็นวัตถุประหลาดบนฟากฟ้ากว่า 1,600 กรณี ตลอดช่วงเวลากว่า 50 ปีที่ผ่านมา รายงานการพบเห็นวัตถุประหลาดบนฟากฟ้า และยังอัพเดตกรณีใหม่ๆ เข้ามาด้วย โดยได้จัดทำรายการกรณีที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดยิบ มีตั้งแต่เหตุการณ์ซึ่งเป็นกรณีชาวบ้านแหกตา ไปจนถึงเหตุการณ์ซึ่งแม้กระทั่งนักวิทยาศาสตร์ผู้ไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ ก็ยังต้องอึ้งกิมกี่


เจอแบบนี้ในซอยเป็นต้องเผ่น...




เหตุการณ์ที่เกี่ยวกับยูเอฟโอที่โด่งดังที่สุด เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2490 โดยสิ่งที่เชื่อว่าเป็นยูเอฟโอได้ตกลงที่ทะเลทราย ในเมืองรอสเวลล์ มลรัฐนิวเม็กซิโก สหรัฐอเมริกา แต่ทางกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกาอ้างว่าเป็นบอลลูนตรวจอากาศ ซึ่งก่อให้เกิดเป็นทฤษฎีสมคบคิดมากมายg
มีภาพหลุดการผ่าตัดมนุษย์ต่างดาวออกมาเมื่อหลายปี แต่ทั้งหมดต่อมาก็มีการแฉว่าเป็นภาพการจัดฉากเท่านั้น
นายเคนเนธ อาร์โนลด์ ชาวอเมริกัน ผู้บัญญัติ คำว่า UFO (Unidentified FlyinObject ) หมายถึง วัตถุบินลึกลับไม่สามารถระบุสัญชาติได้ อ้างถึงวัตถุบินลึกลับที่เขาพบเจอบนท้องฟ้า ว่าเคลื่อนไหวคล้ายจานที่ร่อนไปบนผิวน้ำ เมื่อปี พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) เขาเชื่อว่าเป็นยานมนุษย์ต่างดาว
                        +++จะเชื่อดีมั้ย+++

"แกรี แมคคินนอน" (Gary McKinnon) โปรแกรมเมอร์เตะฝุ่นบนเกาะอังกฤษ ผู้ที่ถูกสหรัฐฯ ตั้งข้อหาก่อการร้าย หลังจากใช้คอมพิวเตอร์บ้านๆ ล้วงข้อมูลทั้งเพนตากอนและนาซาทะลุทะลวง อ้างแค่อยากรู้ว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่ และอยากเห็นเทคโนโลยีนอกโลกที่กลาโหมสหรัฐฯ ซ่อนอยู่ แฮกเกอร์ที่สามารถเจาะเข้าสู่ฐานข้อมูลทางการทหารของสหรัฐฯ ทุกเหล่าทัพ และแถมด้วยองค์การอวกาศอันเป็นความลับสุดยอดได้

เขาบอกว่าแค่เสาะหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการมีอยู่จริงของมนุษย์ต่างดาวและวัตถุประหลาดจากนอกโลก แต่ระหว่าง 2 ปีที่เขากำลังค้นหาข้อมูล เกิดเจาะทะลุทะลวงเข้าสู่คอมพิวเตอร์ของเพนตากอน และองค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐ 


ทางการสหรัฐฯ แจ้งว่า แมคคินนอนสร้างความเสียหายถึง 700,000 ล้านเหรียญ อีกทั้งยังทำให้ระบบป้องกันที่สำคัญที่สุดเกิดเดี้ยงขึ้นชั่วคราว แม้ว่าจะมีการปรับปรุงและป้องกันหลังเกิดเหตุการณ์ 11 กันยาฯ ไปแล้ว และถ้าสอบสวนพบความผิดจริงตามข้อกล่าวหา แม็คคินนอน จะได้รับโทษจำคุก 70 ปี และปรับอีกมากกว่า 1.75 ล้านเหรียญฯ In February 2007 his lawyers argued against the ruling in an appeal to the High Court in London 
 แม็คคินนอน ยืนยันหนักแน่นว่าเขาไม่ได้สร้างความเสียหายใดๆ ให้แก่ระบบของเพนตากอนตามที่รัฐบาลสหรัฐฯ กล่าวอ้าง เพียงแค่เข้าไปหาข้อมูลที่ทางสหรัฐฯ ปิดปังเอาไว้..... ก็เท่านั้นเอง


เมื่อ 10 ปีที่แล้วแม็คคินนอนเริ่มฝึกวิชาแฮกเกอร์โดยใช้เพียงแค่หนังสือคู่มือแฮกเกอร์ เป็นจุดเริ่มต้นในการสอดแนมเข้าสู่เครือข่ายต่างๆ จนกระทั่งช่วงปี 2000-2001 เขาได้ลองใช้คอมพิวเตอร์จากบ้านที่เมืองฮอร์ซีย์ (Hornsey) ทางเหนือของกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เจาะเข้าฐานข้อมูลของรัฐบาลและทหารสหรัฐฯ ด้วยโมเด็ม 56K โดยเขาใช้ชื่อในการแฮกว่า" โซโล" 

แม็คคินนอน ยังคุยโม้ว่า การเจาะเข้าฐานข้อมูลของเพนตากอนนั้นไม่ยากเลย แม้กระทั่งมือใหม่หัดแฮกก็น่าจะทำได้และเมื่อเจาะเข้าไปถึงฐานข้อมูลแล้วกลับพบว่าระบบรักษาความปลอดภัยสุดยอดของสหรัฐฯ นั้นใช้โปรแกรมวินโดว์ของไมโครซอฟต์ที่ไม่มีความปลอดภัยเอาเสียเลย อีกทั้งยังไม่มีการใช้พาสเวิร์ดป้องกันแต่อย่างใด จากนั้นก็แค่ไปหาซื้อซอฟต์แวร์ที่วางขายอยู่ทั่วไปอย่างตามพันทิป และนำมาใช้สแกนหาเน็ตเวิร์กขนาดใหญ่ อย่างของทหาร เพื่อหาข้อมูลที่อาจจะเชื่อมโยงกับ     ยูเอฟโอ

เขาบอกว่าได้ทะลุทะลวงไปจนพบโครงการที่นำเทคโนโลยีจากมนุษย์ต่างดาวมาใช้จริง อีกทั้งเขายังพบข้อมูลนักวิทยาศาสตร์รายหนึ่งของนาซาที่รายงานว่าศูนย์อวกาศจอห์นสัน มีอุปกรณ์บันทึกภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดสูง เอาไว้คอยจับภาพยูเอฟโอหลังจากพบร่องรอยบนท้องฟ้า ซึ่งแม็คคินนอนก็จัดการล้วงข้อมูลเป็นที่เรียบร้อย


"สิ่งที่ผมเห็นน่าจะเป็นดาวเทียมหรือไม่ก็ยานอวกาศ แต่ลักษณะแบบนั้นไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนมันเหมือนกับชิ้นเหล็กท่อนใหญ่ที่ไม่มีตำหนิใดๆ เลย และน่าจะอยู่ใต้ผืนโลก อีกทั้งไม่มีรอยต่อของวัตถุหรือหมุดยึดตัววัตถุแต่อย่างใด" 

เรื่องประหลาดๆของชาวสุเมเรียน

ดาวเคราะห์ดวงที่ 12 บางเวปเรียกว่า ดาวเคราะห์ดวงที่ 10 หรือเรียกว่า Planet X แต่ ชาวสุเมเรียน เรียกว่า Nibiru และชาวบาบิโลเนียน เรียกว่า Marduk โลกของเราเป็นหนึ่งในสมาชิกของระบบสุริยจักรวาล หรือ Solar System และพวกเราก็เรียนมาตั้งแต่หัวเท่ากะปอม(ภาษาอิสาน แปลว่ากิ้งก่าครับ J ) แล้วว่าระบบสุริยะมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และมีบริวารเป็นดาวเคราะห์ทั้งสิ้น 9 ดวง แต่มีอยู่สองดวงคือเนปจูนและพลูโตที่มีอาการแปลกๆ นักดาราศาสตร์ใหญ่ทั้งหลายต่างก็กังขากันใหญ่ว่ามันจะมาจากอิทธิพลของดาว เคราะห์ดวงที่สิบหรือไม่?ก่อนจะว่ากันถึงดาวเคราะห์ดวงที่สิบ เรามาดูกันดีกว่าว่าอะไรเป็นจุดดลใจให้นักดาราศาสตร์เค้าเชื่อกันว่าระบบ สุริยะยังมีสมาชิกที่ค้นไม่พบอีกหนึ่งดวง เมื่อก่อนเค้าเชื่อกันว่าดาวเคราะห์ในระบบสุริยะมีกันแค่เจ็ดดวง(นับดวง จันทร์ด้วย) จนกระทั่งมีการค้นพบดาวยูเรนัสนั่นแหละครับ กระบวนการล่าดาวบริวารของดวงอาทิตย์จึงเกิดขึ้น เรามาดูรายละเอียดเล็กๆน้อยของมันดีกว่าในปี 1841 John Couch Adams เริ่มตะหงิดๆใจกับการโคจรแบบแปลกๆของดาวยูเรนัสคล้ายๆกับมีปฏิกิริยากับแรง ดึงดูดอะไรซักอย่าง จากการค้นพบของ Adams ทำให้หลายๆคนเริ่มค้นคว้าเรื่องนี้กันมากขึ้น ในปี 1845 เลอ วาริเยร์ (Urbain Le Verrier ) ได้เริ่มค้นหามันด้วยเช่นกันเพราะอาการของดาวยูเรนัสนี้ต้องเป็นผลมาจากแรง ดึงดูดของดาวเคราห์อีกซักดวงเป็นแน่ นั่นคือการนำมาของการค้นพบดาวเคราะห์ดวงที่แปด เนปจูนเดือนกันยายนปี 1846 เพียงหนึ่งสัปดาห์หลังมีการค้นพบดาวเนปจูน Le Verrier ยังคงสงสัยว่าน่าจะมีดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่มีอิทธิพลกับดางยูเรนัสแน่นอน ล่วงมาถึงเดือนตุลาคมปีเดียวกัน มีการค้นพบดวงจันทร์ขนาดยักษ์ที่เป็นดาวบริวารของดาวเคราะห์เนปจูน หลายคนคิดว่าตัวเองได้คำตอบเรื่องแรงดึงดูดกับดาวยูเรนัสแล้ว แต่มันจะไม่ง่ายไปหน่อยเร้อ?ในปี 1879 นักดาราศาสตร์ชื่อ Camille Flammarion ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า มันต้องมีดาวเคราะห์อีกซักดวงที่อยู่ถัดจากดาวเนปจูออกไปแน่ๆ โดยอาศัยการคำนวณเรื่องวงโคจรของดาวหางและอุกาบาตเป็นหลักเปอร์ซิวาล โลเวล เจ้าของงานเขียนเรื่องคลองบนดาวอังคารอันลือลั่น ได้เริ่มศึกษาและค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่ยังไม่มีการค้นพบอย่างเงียบๆในรัฐอริ โซนา โลเวลเรียกการค้นคว้าของเขาในครั้งนี้ว่า การค้นหา Planet X โลเวลพยายามหลายๆต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ด้วยความบังเอิญครับ เปอร์ซิวาล โลเวลของเราจับตำแหน่งดาวเคราะห์ที่ยังไม่มีใครรู้จักได้หลายครั้ง แต่นั่นเป็นเวลาก่อนที่จะค้นพบดาวพลูโต ใครๆเลยคิดกันว่าดาวที่โลเวลพบเป็นดาวพลูโตไปซะฉิบ (ดาวพลูโตถูกค้นพบในปี 1930)ปัจจุบัน ดร.โทมัส ซี แวน แฟลนเดิร์น แห่งราชนาวีสหรัฐ ได้ยืนยันถึงการศึกษาของทางราชนาวี และให้สมมุติฐานว่าน่าจะมีดาวเคราห์อีกดวงที่อยู่ถัดไปจากดาวพลูโตครับ เป็นดาวขนาดค่อนข้างใหญ่เสียด้วย นับเป็นเวลาร่วมสองร้อยปีแล้วหลังจากมีการค้นพบดาวพลูโต แม้ว่าปัจจุบันความรู้ทางดาราศาสตร์และการคำนวณของมนุษย์จะก้าวหน้าขึ้นมาก ก็ตาม แต่การค้นหาดาวเคราะห์บริวารที่เหลือก็ยังเป็นไปด้วยความยากลำบากเนื่อง จากระยะทางนั่นเอง บรรดานักดาราศาสตร์ต่างก็เรียกดาวดวงนี้ว่า Planet X ครับ มีมหกรรมการค้นหากันอย่างมโหฬาร แม้แต่องค์การใหญ่อย่างนาสาก็ยังตั้งกล้องดูดาวขนาดยักษ์ร่วมสังฆกรรมกับเขาน่าหัวเราะอะไรเช่นนี้ นักดาราศาสตร์ปัจจุบันค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่สิบกันแทบตายแต่ชาวสุเมเรี่ยนสิ ครับ พวกเขารู้เรื่องนี้และได้บันทึกมันเอาไว้อย่างละเอียดละออในแผ่นจารึกดิน เหนียวเมื่อกว่าหกพันปีกว่าโน้นแน่ะ ดาวเคราะห์ดวงนั้นพวกเขาเรียกมันว่า Nibiru ครับ เป็นที่ๆพระเจ้าของชาวสุเมเรียนเคยอาศัยอยู่มาก่อน ตามจารึกของชาวสุเมเรียนบอกไว้ว่าสรวงสวรรค์ของพระเจ้าหรือ Nibiru นั้นโดนมังกรยักษ์ที่ชื่อ Tiamat รุกราน ไอ้เจ้าตำนานนี้แหละครับตัวดีนัก เมื่อนักวิทยาศาสตร์พากันวิเคราะห์มันอย่างละเอียดแล้วต่างก็พากันหนาวๆไป ตามๆกัน เพราะมันใช่ตำนานที่ไหนกันล่ะครับ มันเป็นบันทึกปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่ว่าด้วยการชนกันของดาวเคราะห์ต่าง หากหลังจากสุมหัวตีความกันพักใหญ่ก็ได้ผลสรุปออกมาว่า จารึกนี้กล่าวถึงดาวเคราะห์ขนาดยักษ์ที่ชื่อ Nibiru ด้วยเคราะห์กรรมหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ ดาว Nibiru ถูกพุ่งชนด้วยดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง ผลที่เกิดขึ้นคงรุนแรงมากจนทำให้ดาวเคราะห์อีกดวงนั้นป่นเป็นเศษเล็กเศษน้อย บางส่วนแพ้แรงดึงดูดของดวงอาทิตย์และกลายเป็นดาวเคราะห์น้อยโคจรรอบระบบ สุริยะ ซึ่งก็ตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันเป๊ะครับ กลุ่มของดาวเคราะห์น้อยที่อยู่หลังดาวพลูโตออกไป ชาวสุเมเรียนทราบได้อย่างไรกันว่ามีการชนกันของดวงดาวเกิดขึ้นครั้งล่าสุดที่มีการบักทึกไว้อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับ Planet X คงจะเป็นปี 1982 ครับ เมื่อเจ้าหน้าที่ขององค์การนาสาประกาศว่าค้นพบ "วัตถุลึกลับซึ่งคาดว่าจะเป็นดาวเคราะห์ในแถบบริเวณของดาวเคราะห์วงนอก" หนึ่งปีต่อมาหลังจากการยิงดาวเทียม IRAS (Infrared Astronomical Satellite) ขึ้นสู่วงโคจร เจ้าดาวเทียมนี้จับภาพวัตถุคล้ายดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ได้เล่นเอาฮือฮาไปตามๆ กันGerry Neugebauer หัวหน้าหน่วยวิจัย IRAS ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ว่า "เจ้าวัตถุที่ว่ามีขนาดใหญ่ยักษ์ยังกะดาวพฤหัส มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของดาวบริวารในระบบสุริยะ เราพบมันในทิศทางเดียวกับกลุ่มดาวนายพราน บอกได้อย่างเดียวครับว่าเราไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นอะไรกันแน่"แต่ชาวสุเมเรียนเค้าบอกได้ตั้งแต่หกพันที่แล้วมาแล้วล่ะครับว่า มันก็คือดาวเคราะห์ Nibiru ไงเล่าเกลอแก้วเอ๋ย จากภาพก็เค้านับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์รวมไปด้วยไงครับถึงได้ 12 ดวงจารึกทางดาราศาสตร์ของชาวสุเมเรียนโบราณ ได้พรรณาถึงดวงดาวในระบบสุริยะไว้อย่างละเอียด รวมไปถึงดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่ชื่อ Nibiru ด้วย ( Nibiru แปลว่า Planet of the crossing ครับ) จารึกนี้ตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันเรื่อง Planet X เด๊ะเลยครับ โดยเฉพาะการค้นพบดาวขนาดยักษ์ในห้วงลึกของระบบสุริยะยิ่งยืนยันความสามารถ ของชาวสุเมเรียนโบราณถ้าดาวเคราะห์ดวงนี้มีจริงแล้วทำไมป่านนี้เรายังไม่ค้นพบกัน?ถ้าดาวเคราะห์ดวงที่สิบมีจริงแล้วทำไมป่านนี้เรายังไม่ค้นพบกัน? หลายท่านอาจจะถามผมแบบนี้ ทฤษฎีที่เป็นคำตอบมันมีอยู่ครับ แถมตรงกันทั้งในจารึกสุเมเรียนและหลักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เสียด้วย เพราะวงโคจรไงครับ จึงทำให้เราจับเจ้าดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่ได้ซักที ก็มันดันโคจรเป็นวงรีนี่เองจึงทำให้ระยะระหว่าง Planet X จากดาวเคราะห์ดวงอื่นมันเลยห่างกันจนสุดกู่คิดดูนะครับ เราค้นพบดาวพลูโตเมื่อปี 1930 พร้อมกับข้อสงสัยเรื่องแรงกระทำระหว่างแรงดึงดูดของดาวเคราะห์วงนอก รวมทั้งเรื่องของที่มาดาวเคราะห์น้อย ในวงโคจรถัดจากดาวอังคาร แต่ชาวสุเมเรียนเค้ารู้กันมานมนานแล้ว ส่วนที่ว่าทำไมชาวสุเมเรียนจึงบอกว่าระบบสุริยะมีดาวอยู่สิบสองดวงนั้นผมจะ ค่อยๆอธิบายให้ฟังเดี๋ยวนี้แหละ อีกทฤษฎีหนึ่งซึ่งหลายคนอาจจะอ้าปากค้างเพราะความเป็นไปไม่ได้ของมัน แต่มันก็เป็นไปแล้วและยืนยันความสารถของบรรพชนเราก็คือการชนกันของดาว เคราะห์นี่แหละครับ ไม่ใช่ดาวอื่นไกลเลย เป็นโลกนี่แหละที่ชนกับ Planet X (หรือ Nibiru นั่นเอง) ก่อนคุยเรื่องนี้ขอทบทวนอะไรหน่อยละกัน ทุกคนที่เคยเรียนภูมิศาสตร์กันมาน่าจะเคยเรียนทฤษฎีที่ว่า ในสมัยที่โลกยังอายุเยาว์อยู่ แผ่นดินบนโลกนี้เคยติดกันอยู่เป็นทวีปเดียว ทฤษฎีนี้เพิ่งมาศึกษากันเมื่อร้อยกว่าปีมานี้แต่ชาวสุเมเรียนรู้ล่วงหน้าพวก เราถึงหกพันปี แถมมีแผนที่จารึกอยู่บนแผ่นดินเหนียวเสียด้วยการที่โลกแบ่งออกเป็นทวีปๆก็เพราะ Continental Drift หรือการเคลื่อนตัวของแผ่นดินนั่นเอง มันเป็นไปอย่าง ช้-า-ม-า-ก และค่อยเป็นค่อยไป จนกลายเป็นแผ่นดินที่พวกเราอาศัยอยู่ในปัจจุบัน หากดูแผนที่ดีๆเราจะสามารถเอาทวีปต่างๆมาต่อกันเป็นชิ้นเดียวได้เหมือนจิ๊ก ซอเลย ถึงั้นก็เถอะครับแผนที่ที่ต่อกันมันจะยังดูแหม่งๆคล้ายกับขาดอะไรไป นักภูมิศาสตร์ที่รู้สึกถึงเจ้าความแหม่งที่ว่าเลยพากันศึกษากันใหญ่และได้ ข้อสรุปที่น่าตกใจออกมาโลกเป็นเพียงดาวเคราะห์ที่มีครึ่งดวงครับ!!!! จริงเปล่าวะ....ครึ่งดวงจริงๆครับ เหมือนลูกบอลดินเผาที่โดนชนกระจุยหายไปส่วนหนึ่ง นักภูมิศาสตร์บางท่านบอกว่าหากสูบน้ำออกจากมหาสมุทรต่างๆได้หมด เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า โลกได้หลุดหายไปกระบิหนึ่ง และไอ้ส่วนที่เคยเป็นกระบิที่หายไปนั่นแหละคือมหาสุทรต่างๆในปัจจุบันแล้วเพราะอะไรล่ะโลกจึงหายไปกระบินึง? บางท่านอาจถามขึ้นมาอีก ภาพจำลองเหตุการในตอนที่ Planet X ปะทะกับโลกครับ ขอให้ดูภาพ The Meaning Of 12th Planet ประกอบด้วยชาวสุเมเรียนเค้าตอบให้ได้เสร็จสรรพเลยครับว่าทำไมจึงเป็นแบบนี้ พวกเค้าบันทึกเอาไว้ว่าโลกโดนดาว Nibiru เฉี่ยวเอาครับ ไม่มีบันทึกแน่ชัดว่านานเท่าไหร่แล้ว แต่ผลจากการกระทบไหล่ของดาวเคราะห์ทั้งสองน ี้ทำให้โลกของเราแหว่งไปส่วนหนึ่ง เศษชิ้นส่วนของดาวเคราะห์ทั้งสองกระจัดกระจายกลายเป็นวงแหวนดาวเคราะห์น้อย โคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์(ดูแผนภาพประกอบ)Planet X และพระผู้สร้างเหตุที่ Planet X ผลุบๆโผล่ๆนั้นก็เพราะว่าวิถีโคจรของมันเหมือนดาวหางครับ เป็นวงรีแล้วก็กินเวลาค่อนข้างมากกว่าจะโคจรครบหนึ่งรอบ ในบันทึกของชาวเมโสโปเตเมียและคัมภีร์พันธสัญญาเก่าก็มีระบุไว้ครับถึงวง โคจรของดาวเคราะห์ดวงนี้ วงโคจรรอบหนึ่งของ Planet X (Nibiru) กินเวลาตั้ง 3600 ปีแน่ะกว่าจะครบรอบ รอบของวงโคจรนี้ชาวสุเมเรียนเรียกมันว่า Shar ครับAnunnaki พระเจ้าจาก Nibiru ผู้สร้างมนุษย์ตามพระคัมภีร์ไบเบิล มนุษย์คนแรกของโลกคืออาดัมครับ และมนุษย์คนที่สองถูกสร้างจากชิ้นส่วนของอาดัมอีกที เชื่อกันหรือไม่ว่าในบันทึกของชาวสุเมเรียนโบราณก็บันทึกเรื่องนี้เอาไว้ เหมือนกัน และที่น่าทึ่งกว่านั้นก็คือมีการกล่าวถึง DNA และการทำโคลนนิ่งด้วยปัจจุบัน เรื่องของการทำโคลนนิ่งและผสมเทียมเป็นเรื่องที่มนุษย์ทำได้และกำลังพัฒนา อยู่ แต่เชื่อกันหรือไม่ว่าชาวสุเมเรียนโบราณมีความรู้ในเรื่องนี้ล่วงหน้าพวกเรา ถึงหกพันกว่าปี ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆของขั้นตอนการผสมเทียมนะครับ คงพอจะทราบกันเลาๆว่ากรรมวิธีคือเอาสเปิร์มของเพศชายเข้าไปผสมกับไข่ จากนั้นก็เพาะเลี้ยงไว้ในหลอดแก้ว ปัญหาก็คือหากลักษณะของทารกที่ผสมออกมามีปัญหา นักวิทยาศาสตร์ก็จะทำการแก้ไขปัญหานั้นโดยอาจ Replanning ไข่ที่ผสมแล้วเสียใหม่ หรือไม่ก็ปรับปรุงโครงสร้างบางอย่าง(ซึ่งอาจจะรวมถึง DNA ด้วย) ในจากรึกแห่งชาวสุเมเรียนมีภาพอยู่ภาพหนึ่งซึ่งดูเผินๆเหมือนภาพการประกอบ พิธีทางศาสนา แต่นักวิชาการหลายท่านบอกว่า นี่แหละครับคือภาพของการผสมเทียมและการโคลนนิ่งมันจะเป็นปายด้ายยางง๊าย? โม้หรือเปล่าหลายท่านอาจจะว่าอย่างนี้ งั้นลองมองดูรูปด้านล่างนะฮะ มีสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของชาวสุเมเรียนที่เรียกว่า Enki มีลักษณะคล้ายงูสองตัวพันกระหวัดกันอยู่ และบางภาพที่เป็นรูปอะไรซักอย่างคล้ายริบบิ้นพันอยู่รอบงูสองตัว เป็นไงครับ นึกอะไรออกบ้างหรือยัง?ใช่แล้วครับ ภาพโบราณเมื่อหลายพันปีก่อนภาพนี้ ปัจจุบันเราใช้เป็นสัญญลักษณ์ทางการแพทย์ สัญญลักษณ์นี้แสดงถึงความรู้อันเป็นความลับการสร้างมนุษย์โดย Anununaki พระเจ้าจาก Nibiru อันไกลโพ้นเจ้ารูปงูเกี่ยวกระหวัดกันเนี่ยดูยังไงมันก็ภาพจำลองของครงสร้าง ไมโตคอนเดรียและ DNA ชัดๆ หรือใครมีความคิดเห็นเป็นอย่างอื่น? จาก http://www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=18940  

ชาว"สุเมเรียน"ผู้ลึกลับที่บอกว่าพระเจ้าของเค้ามาอวกาศ


ชาว"สุเมเรียน"ผู้ลึกลับที่บอกว่าพระเจ้าของเค้ามาอวกาศ




ชาวสุเมเรียนที่ค้นพบว่าดาวนิบิรุกำลังมาเยือนโลกและเฉี่ยวชนโลก ปี2012
  สุเมเรียนเป็นชนชาติใดไม่มีหลักฐานที่ระบุชัดเจน แต่เชื่อกันว่าเมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อนคริสต์ศักราชชาวสุเมเรียนได้อพยพมาจากที่ราบสูงอิหร่านและเข้ามาตั้งถิ่นฐานตรงบริเวณดินดอนสามเหลี่ยม (Delta) ปากแม่น้ำไทกรีส-ยูเฟรตีส ซึ่งในเวลาต่อมาถูกเรียกว่า ดินแดนซูเมอร์ (Sumer) ปัจจุบันคือดินแดนทางตอนใต้ของกรุงแบกแดดลงมาถึงอ่าวเปอร์เซีย

ชาวสุเมเรียนมีความเชื่อในการนับถือเทพเจ้าหลายองค์ แต่ละนครรัฐจะมีเทพเจ้าประทับอยู่ในวัดใหญ่ที่เรียกว่า ซิกกูแรต (Ziggurat) ซึ่งชาวสุเมเรียนเป็นผู้สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นศูนย์กลางของนครรัฐ ในระยะแรกพระจะเป็นผู้ดูแลกิจการต่างๆ ในนครรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บภาษี อาหาร 
ตลอดจนควบคุมดูแลเกี่ยวกับการชลประทานและการทำไร่นา ต่อมาเมื่อเกิดการรบกันระหว่างนครรัฐ 
อำนาจการปกครองจึงเปลี่ยนมาอยู่ที่นักรบหรือกษัตริย์ ซึ่งเป็นผู้เข้มแข็งสามารถปกป้องนครรัฐได้
 โดยจะทำหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการต่าง ๆ แทนพระ
          สุดท้ายแล้วชาวสุเมเรียนในสมัยของลูการ์ ซักกิซซี (Lugal Ziggissi) ก็ถูกซาร์กอนมหาราช
 ผู้นำชาวอัคคาเดียนรุกรานจนต้องล่มสลายไป

          ในระยะแรกชุมชนจะเป็นแบบหมู่บ้านยุคหินใหม่ ต่อมาหมู่บ้านก็ได้ขยายตัวขึ้นเป็นชุมชนวัด และกลายเป็นเมืองตามลำดับ
 เมืองที่มีความสำคัญ ได้แก่ เมืองเออร์(Ur) เมืองอิเรค (Ereck) เมืองอิริดู (Eridu) เมืองลากาซ (Lagash) 
และเมืองนิปเปอร์ (Nippur) แต่ละเมืองจะมีชุมชนเล็กๆรายรอบอยู่ ทำให้มีลักษณะคล้ายรัฐขนาดเล็ก เรียกว่า นครรัฐ (City State) นครรัฐเหล่านี้ต่างปกครองเป็นอิสระต่อกัน บางครั้งก็จะรบกันเพื่อชิงความเป็นใหญ่ 

เรื่องราวเกิดขึ้นจาก การอ้างถึงการสำรวจพบดาว Nibiru โดยกลุ่มชนชาวสุเมเรียน
(Sumerians) ที่กลับมายังโลก และมีการทำนายความหายนะ จะเริ่มขึ้นตั้งแต่
เดือนพฤษภาคม ค.ศ.2003

แต่เมื่อถึงเวลานั้นกลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นตลอดเดือน จึงเลื่อนวันเกิดเหตุการณ์ไป
ในเดือน ธันวาคม ค.ศ.2012 และเปรียบว่า เป็นวันที่พระผู้เป็นเจ้าพิพากษามนุษย์
ทั่วโลก (Doomsday date)

เป็นการเชื่อมโยงนิทานชาดกโบราณ กับเรื่องปฎิทินชาวมายาโบราณ (Ancient
Mayan calendar) ให้ตรงกับ Winter solstice ประมาณวันที่ 21 ธันวาคมของ
ทุกๆปี อันเป็นวันแรกของเหมันตฤดูหรือฤดูหนาว และ
ดวงอาทิตยมีตำแหน่งห่าง
จากเส้นศูนย์สูตรโลกที่สุด

การนำวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.2012 มากำหนดให้มีความน่าสนใจ จุดประสงค์ให้คน
ทั่วไปได้ขบคิด เพื่อเพิ่มน้ำหนักเหตุผลของวันสิ้นโลก


ฟัง ดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์ปนศาสนานะครับ เพราะในไบเบิลบทเยเนซิสนั้น มีการกล่าวถึงรายละเอียดในการสร้างมนุษย์ด้วยวิธีการที่คล้ายกันกับการโคลน นิ่งอย่างชัดเจน หันมาดูจารึกของชาวสุเมเรียนกันบ้าง นี่ยิ่งชัดกว่า เพราะมีการบอกเล่ากันเป็นบทเป็นตอน แถมแน่กว่าไบเบิลของชาวยิวเพราะมีภาพประกอบหลายภาพ รูปที่นักคิดนักเขียนฝรั่งชอบเอามาอ้างก็คือ รูปของเทพีกำลังอุ้มเด็กอ่อนโดยมีเทพองค์อื่นๆ ซึ่งกำลังสาละวนอยู่กับหลอดทดลองอยู่รอบข้าง แถมมีสัญลักษณ์ซึ่งชาวสุเมเรียนโบราณบอกว่า มันคือความลับในการสร้างมนุษย์ของพระเจ้าอยู่อย่างชัดเจนด้วยซะสิ เป็นไงครับ เห็นแล้วท่านจะนึกถึงอย่างอื่นไปได้อีกไหมนอกจากสัญลักษณ์ของ... DNA
ความลับของพระเจ้าในการสร้างมนุษย์ การดัดแปลง DNA !!??
ภาพนี้ได้มา จากพิพิธภัณฑ์ British Museum ในอังกฤษ เป็นส่วนหนึ่งของจารึกที่เกี่ยวกับ Anunnaki และสถานที่ที่พวกเขามาเยือน ตอนนี้พอจะเชื่อหรือเปล่าว่าดาวเคราะห์ Nibiru ของชาวสุเมเรียนโบราณมีจริงสำใครที่สนใจเรื่องราวเล่านี้สามารถหาซื้อตามร้านขายหนังสือต่างประเทศตามห้างใหญ่ๆ บางแห่ง


ภาพโบราณเมื่อหลายพันปีก่อนภาพนี้ ปัจจุบันเราใช้เป็นสัญญลักษณ์ทางการแพทย์ สัญญลักษณ์นี้แสดงถึงความรู้อันเป็นความลับการสร้างมนุษย์โดย Anununaki พระเจ้าจาก Nibiru อันไกลโพ้น เจ้ารูปงูเกี่ยวกระหวัดกันเนี่ยดูยังไงมันก็ภาพจำลองของครงสร้าง ไมโตคอนเดรียและ DNA ชัดๆ หรือใครมีความคิดเห็นเป็นอย่างอื่น?


มีสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของชาวสุเมเรียนที่เรียกว่า Enki มีลักษณะคล้ายงูสองตัวพันกระหวัดกันอยู่ และบางภาพที่เป็นรูปอะไรซักอย่างคล้ายริบบิ้นพันอยู่รอบงูสองตัว เป็นไงค่ะ นึกอะไรออกบ้างหรือยัง


แม้ว่า Anunnaki จะมีวิทยาการที่ก้าวหน้า แต่การสร้างมนุษย์ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขานัก จารึกของชาวสุเมเรียนกล่าวถึง Anunnaki พี่น้องคู่หนึ่ง(ซึ่งน่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ระดับสูง) คือ Enki กับ Ninharsag ที่ทำการลองผิดลองถูกในการ"ปั้นแต่งมนุษย์" ซึ่งก็นับว่านานพอดูกว่าจะประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ ผู้เชี่ยวชาญที่แปลและตีความเรื่องนี้ได้ให้รายละเอียดที่ยืดยาวจนผมเอามา เล่าไม่ไหว แต่ก็พอจะสรุปให้ฟังได้ว่า Anunnaki ได้ดัดแปลง DNA ของลิง Ape อาฟริกันจนได้ผลเป็นที่พอใจของพวกเขาในสถานีงาน(และเหมืองทองขนาดใหญ่)ที่อา ฟริกา แต่นั่นยังไม่ใช่มนุษย์ที่พวกเขาต้องการ ผลงานที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามจริงๆมาเกิดขึ้นที่ดินแดนเมโสโปเตเมีย ครับ เป็นบริเวณที่ชาวสุเมเรียนโบราณเรียกกันว่า E.DIN (นี่ก็ตรงกับสวนเอเดนในไบเบิล ที่พระเจ้าของชาวยิวสร้างมนุษย์ขึ้นมาอีกเหมือนกัน) ณ ที่นี้เอง ที่อาดัมและอีฟ ถือกำเนิดขึ้นมาในฐานะโฮโม เซเปี้ยน รุ่นแรกของโลก

ดาว Nibiru ดวงนี้น่าจะมีขนาดใหญ่และสว่างเจิดจ้ากว่าที่พวกเราคิดเอาไว้มาก เนื่องจากในบันทึกของดินแดนเมโสโปเตเมีย ได้กล่าวถึงความเจิดจ้าของมันเอาไว้ว่า สามารถมองเห็นได้แม้เวลากลางวัน ภาพโบราณที่ขุดพบที่เมือง Nippur พิสูจน์ได้ถึงความจริงในข้อนี้ครับ จากภาพด้านล่างจะเห็นได้ว่า เกษตรกรที่กำลังทำกสิกรรมอยู่นั้น มองไปยังดาว Nibiru ซึ่งแทนด้วยสัญลักษณ์กากบาท (ชาวสุเมเรียนโบราณเรียก Nibiru ว่า Planet of the Cross และแทนมันด้วยสัญลักษณ์กากบาท) จารึกยังกล่าวต่อไปถึงคำทำนายล่วงหน้าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อ ดาวดวงนี้โคจรมาอยู่ใกล้โลก ภัยพิบัติเช่นแผ่นดินไหวและน้ำท่วมก็จะตามมา มันก็แหงสิครับ... ออกจะดวงเบ้อเริ่มขนาดนั้น แรงดึงดูดที่ส่งผลต่อโลกย่อมทำให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ ได้ ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ชาวฮีบรูว์ก็รู้จักดาวดวงนี้ดี พวกเขาถือว่าการปรากฏของ Nibiru บนท้องฟ้านับเป็นนิมิตแห่งการเริ่มต้นยุคใหม่ของโลก ที่มาของภัยพิบัติทั้งหลายในคัมภีร์พันธสัญญาเก่า ก็น่าจะมีสาเหตุมาจาก Nibiru นี่แหละครับ เมื่อไรก็ตามที่ดาวเคราะห์ยักษ์ดวงนี้โคจรเข้ามาเฉียดโลกอีกวาระ เมื่อนั้นคำกล่าวของเอไสยะในพระคัมภีร์ก็จะไม่มีใครกังขาอีกต่อไปว่า 
คำกล่าวนี้กล่าวถึงกองทัพของพระเจ้าหรือพลานุภาพจากแรงดึงดูดกันแน่
อักษรคูนิฟอร์มหรืออักษรลิ่มที่ชาวสุเมเรียนประดิษฐ์ขึ้นเมื่อ 3,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช
 ประดิษฐ์ตัวอักษร  อักษรที่บันทึกเรียกว่า  อักษรลิ่ม  หรือ  คูนิฟอร์ม 
อักษรลิ่มเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ชาวสุเมเรียนนำเอาไม้สลักลงบนแผ่นดินเหนียวเปียกเป็นสัญลักษณ์ 
การประดิษฐ์ตัวอักษรเป็นประโยชน์ต่อศาสนกิจ  การบันทึกของพวกพระ  เช่นบัญชีรับจ่าย 
บทบัญญัติทางศาสนา 


ตัวอักษร เป็นตัวอักษรเครื่องหมาย หรือเรียกว่า “อักษรรูปลิ่ม” หรือ “อักษรคูนิฟอร์ม” รูปร่างคล้ายตัววีในภาษาอังกฤษ

การปกครอง  ปกครองแบบเทวาธิปไตย อาศัยอำนาจของเทพเจ้าเป็นเครื่องมือในการปกครอง มีอยุ่ด้วยกัน 2 กลุ่มคือ                1) ลูการ์ คือทหารที่มาปกครอง
 2) ปาเตซี คือพระที่เป็นคนกลางระหว่างเทพเจ้ากับมนุษย์ จึงได้เข้ามามีส่วนร่วมในการปกครอง แต่ก็ไม่นานนัก


ภาพวาดและจารึกที่แสดงถึงความเชื่อของชาวสุเมเรียน





พระเจ้าของชาวสุเมเรียน เหมือนใส่ชุดอวกาศเนาะ


Enuma Elish
ดาวเคราะห์ดวงที่ 12 บางเวปเรียกว่า ดาวเคราะห์ดวงที่ 10 หรือเรียกว่า Planet X แต่ ชาวสุเมเรียน เรียกว่า Nibiru และชาวบาบิโลเนียน เรียกว่า Marduk 
โลกของเราเป็นหนึ่งในสมาชิกของระบบสุริยจักรวาล หรือ Solar System และพวกเราก็เรียนมาตั้งแต่หัวเท่ากะปอม(ภาษาอิสาน แปลว่ากิ้งก่าครับ J ) แล้วว่าระบบสุริยะมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และมีบริวารเป็นดาวเคราะห์ทั้งสิ้น 9 ดวง แต่มีอยู่สองดวงคือเนปจูนและพลูโตที่มีอาการแปลกๆ นักดาราศาสตร์ใหญ่ทั้งหลายต่างก็กังขากันใหญ่ว่ามันจะมาจากอิทธิพลของดาว เคราะห์ดวงที่สิบหรือไม่?

ก่อนจะว่ากันถึงดาวเคราะห์ดวงที่สิบ เรามาดูกันดีกว่าว่าอะไรเป็นจุดดลใจให้นักดาราศาสตร์เค้าเชื่อกันว่าระบบ สุริยะยังมีสมาชิกที่ค้นไม่พบอีกหนึ่งดวง เมื่อก่อนเค้าเชื่อกันว่าดาวเคราะห์ในระบบสุริยะมีกันแค่เจ็ดดวง(นับดวง จันทร์ด้วย) จนกระทั่งมีการค้นพบดาวยูเรนัสนั่นแหละครับ กระบวนการล่าดาวบริวารของดวงอาทิตย์จึงเกิดขึ้น เรามาดูรายละเอียดเล็กๆน้อยของมันดีกว่า

ในปี 1841 John Couch Adams เริ่มตะหงิดๆใจกับการโคจรแบบแปลกๆของดาวยูเรนัสคล้ายๆกับมีปฏิกิริยากับแรง ดึงดูดอะไรซักอย่าง จากการค้นพบของ Adams ทำให้หลายๆคนเริ่มค้นคว้าเรื่องนี้กันมากขึ้น ในปี 1845 เลอ วาริเยร์ (Urbain Le Verrier ) ได้เริ่มค้นหามันด้วยเช่นกันเพราะอาการของดาวยูเรนัสนี้ต้องเป็นผลมาจากแรง ดึงดูดของดาวเคราห์อีกซักดวงเป็นแน่ นั่นคือการนำมาของการค้นพบดาวเคราะห์ดวงที่แปด เนปจูน

เดือนกันยายนปี 1846 เพียงหนึ่งสัปดาห์หลังมีการค้นพบดาวเนปจูน Le Verrier ยังคงสงสัยว่าน่าจะมีดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่มีอิทธิพลกับดางยูเรนัสแน่นอน ล่วงมาถึงเดือนตุลาคมปีเดียวกัน มีการค้นพบดวงจันทร์ขนาดยักษ์ที่เป็นดาวบริวารของดาวเคราะห์เนปจูน หลายคนคิดว่าตัวเองได้คำตอบเรื่องแรงดึงดูดกับดาวยูเรนัสแล้ว แต่มันจะไม่ง่ายไปหน่อยเร้อ?





ในปี 1879 นักดาราศาสตร์ชื่อ Camille Flammarion ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า มันต้องมีดาวเคราะห์อีกซักดวงที่อยู่ถัดจากดาวเนปจูออกไปแน่ๆ โดยอาศัยการคำนวณเรื่องวงโคจรของดาวหางและอุกาบาตเป็นหลัก

เปอร์ซิวาล โลเวล เจ้าของงานเขียนเรื่องคลองบนดาวอังคารอันลือลั่น ได้เริ่มศึกษาและค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่ยังไม่มีการค้นพบอย่างเงียบๆในรัฐอริ โซนา โลเวลเรียกการค้นคว้าของเขาในครั้งนี้ว่า การค้นหา Planet X โลเวลพยายามหลายๆต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ด้วยความบังเอิญครับ เปอร์ซิวาล โลเวลของเราจับตำแหน่งดาวเคราะห์ที่ยังไม่มีใครรู้จักได้หลายครั้ง แต่นั่นเป็นเวลาก่อนที่จะค้นพบดาวพลูโต ใครๆเลยคิดกันว่าดาวที่โลเวลพบเป็นดาวพลูโตไปซะฉิบ (ดาวพลูโตถูกค้นพบในปี 1930)

ปัจจุบัน ดร.โทมัส ซี แวน แฟลนเดิร์น แห่งราชนาวีสหรัฐ ได้ยืนยันถึงการศึกษาของทางราชนาวี และให้สมมุติฐานว่าน่าจะมีดาวเคราห์อีกดวงที่อยู่ถัดไปจากดาวพลูโตครับ เป็นดาวขนาดค่อนข้างใหญ่เสียด้วย



นับเป็นเวลาร่วมสองร้อยปีแล้วหลังจากมีการค้นพบดาวพลูโต แม้ว่าปัจจุบันความรู้ทางดาราศาสตร์และการคำนวณของมนุษย์จะก้าวหน้าขึ้นมาก ก็ตาม แต่การค้นหาดาวเคราะห์บริวารที่เหลือก็ยังเป็นไปด้วยความยากลำบากเนื่อง จากระยะทางนั่นเอง บรรดานักดาราศาสตร์ต่างก็เรียกดาวดวงนี้ว่า Planet X ครับ มีมหกรรมการค้นหากันอย่างมโหฬาร แม้แต่องค์การใหญ่อย่างนาสาก็ยังตั้งกล้องดูดาวขนาดยักษ์ร่วมสังฆกรรมกับเขา

น่าหัวเราะอะไรเช่นนี้ นักดาราศาสตร์ปัจจุบันค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่สิบกันแทบตายแต่ชาวสุเมเรี่ยนสิ ครับ พวกเขารู้เรื่องนี้และได้บันทึกมันเอาไว้อย่างละเอียดละออในแผ่นจารึกดิน เหนียวเมื่อกว่าหกพันปีกว่าโน้นแน่ะ ดาวเคราะห์ดวงนั้นพวกเขาเรียกมันว่า Nibiru ครับ เป็นที่ๆพระเจ้าของชาวสุเมเรียนเคยอาศัยอยู่มาก่อน ตามจารึกของชาวสุเมเรียนบอกไว้ว่าสรวงสวรรค์ของพระเจ้าหรือ Nibiru นั้นโดนมังกรยักษ์ที่ชื่อ Tiamat รุกราน เจ้าตำนานนี้แหละครับตัวดีนัก เมื่อนักวิทยาศาสตร์พากันวิเคราะห์มันอย่างละเอียดแล้วต่างก็พากันหนาวๆไป ตามๆกัน เพราะมันใช่ตำนานที่ไหนกันล่ะครับ มันเป็นบันทึกปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่ว่าด้วยการชนกันของดาวเคราะห์ต่าง หาก

หลังจากสุมหัวตีความกันพักใหญ่ก็ได้ผลสรุปออกมาว่า จารึกนี้กล่าวถึงดาวเคราะห์ขนาดยักษ์ที่ชื่อ Nibiru ด้วยเคราะห์กรรมหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ ดาว Nibiru ถูกพุ่งชนด้วยดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง ผลที่เกิดขึ้นคงรุนแรงมากจนทำให้ดาวเคราะห์อีกดวงนั้นป่นเป็นเศษเล็กเศษน้อย บางส่วนแพ้แรงดึงดูดของดวงอาทิตย์และกลายเป็นดาวเคราะห์น้อยโคจรรอบระบบ สุริยะ ซึ่งก็ตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันเป๊ะครับ กลุ่มของดาวเคราะห์น้อยที่อยู่หลังดาวพลูโตออกไป ชาวสุเมเรียนทราบได้อย่างไรกันว่ามีการชนกันของดวงดาวเกิดขึ้น

ครั้งล่าสุดที่มีการบักทึกไว้อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับ Planet X คงจะเป็นปี 1982 ครับ เมื่อเจ้าหน้าที่ขององค์การนาสาประกาศว่าค้นพบ "วัตถุลึกลับซึ่งคาดว่าจะเป็นดาวเคราะห์ในแถบบริเวณของดาวเคราะห์วงนอก" หนึ่งปีต่อมาหลังจากการยิงดาวเทียม IRAS (Infrared Astronomical Satellite) ขึ้นสู่วงโคจร เจ้าดาวเทียมนี้จับภาพวัตถุคล้ายดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ได้เล่นเอาฮือฮาไปตามๆ กัน

Gerry Neugebauer หัวหน้าหน่วยวิจัย IRAS ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ว่า "เจ้าวัตถุที่ว่ามีขนาดใหญ่ยักษ์ยังกะดาวพฤหัส มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของดาวบริวารในระบบสุริยะ เราพบมันในทิศทางเดียวกับกลุ่มดาวนายพราน บอกได้อย่างเดียวครับว่าเราไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นอะไรกันแน่"

แต่ชาวสุเมเรียนเค้าบอกได้ตั้งแต่หกพันที่แล้วมาแล้วล่ะครับว่า มันก็คือดาวเคราะห์ Nibiru ไงเล่าเกลอแก้วเอ๋ย 



จากภาพก็เค้านับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์รวมไปด้วยไงครับถึงได้ 12 ดวง

จารึกทางดาราศาสตร์ของชาวสุเมเรียนโบราณ ได้พรรณาถึงดวงดาวในระบบสุริยะไว้อย่างละเอียด รวมไปถึงดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่ชื่อ Nibiru ด้วย ( Nibiru แปลว่า Planet of the crossing ครับ) จารึกนี้ตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันเรื่อง Planet X เด๊ะเลยครับ โดยเฉพาะการค้นพบดาวขนาดยักษ์ในห้วงลึกของระบบสุริยะยิ่งยืนยันความสามารถ ของชาวสุเมเรียนโบราณ


ถ้าดาวเคราะห์ดวงนี้มีจริงแล้วทำไมป่านนี้เรายังไม่ค้นพบกัน?


ถ้าดาวเคราะห์ดวงที่สิบมีจริงแล้วทำไมป่านนี้เรายังไม่ค้นพบกัน? หลายท่านอาจจะถามผมแบบนี้ ทฤษฎีที่เป็นคำตอบมันมีอยู่ครับ แถมตรงกันทั้งในจารึกสุเมเรียนและหลักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เสียด้วย เพราะวงโคจรไงครับ จึงทำให้เราจับเจ้าดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่ได้ซักที ก็มันดันโคจรเป็นวงรีนี่เองจึงทำให้ระยะระหว่าง Planet X จากดาวเคราะห์ดวงอื่นมันเลยห่างกันจนสุดกู่



เรื่องราวทั้งหลายเริ่มต้นจากการพยายามอ่านจารึกของชาวอัคเคเดียนที่มีอายุ ประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตกาล จารึกดังกล่าวปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Vorderasiatische Abteilung ในเบอร์ลินตะวันออก (ถ้ามีโอกาสไปเยี่ยมเยียนล่ะก็ลองถามหาแคตตาล็อกหมายเลข VA/243 จากภัณฑารักษ์เค้าดูนะครับ นายโซนิคเองคาดว่าคงไม่มีวาสนา) ตัวผนึก(Seal)มีรูปของวัตถุทรงกลม 11 ดวงรายล้อมทรงกลมดวงใหญ่ที่เปล่งรัศมีเจิดจ้า ภาพลักษณะนี้เป็นที่คุ้นตานักโบราณคดีเป็นอย่างดีครับ ว่ามันคือตัวแทนของระบบสุริยะตามความเชื่อของชาวสุเมเรียนโบราณ...

...ระบบสุริยะที่ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 12 ดวง

หนังสือชุด 12th Planet ของ Zecharia Sitchin กล่าวถึงมหากาพย์แห่งการสร้าง Enuma Elish ว่ามหากาพย์นี้หาใช่เทพตำนานตามที่ชนรุ่นหลังอย่างพวกเราเข้าใจไม่ หากแต่เป็นประวัติศาสตร์การ ก่อกำเนิดของโลกราหูใบนี้ซึ่งถูกเล่าเอาไว้ในรูปของเทพตำนาน ผู้ตีความต้องมีความเข้าใจทั้งในด้านโบราณคดีและวิทยาศาสตร์จึงจะจับจุดและ ตีความมันออกมาได้ (จริงไม่จริงพิจารณาเอานะครับ อย่าเผลอเป็นเนื้อชิ้นโตให้ผมตุ๋นเอาล่ะ ^^) มหากาพย์เรื่องนี้ซุกซ่อนความลับของดาวเคราะห์สีฟ้ากับบริวารที่มีนามว่าดวงจันทร์เอา ไว้อย่างมิดชิด ความลับที่กล่าวถึงการชนกันอย่างมโหฬารของดาวเคราะห์สองดวง หนึ่งในนั้นเป็นดาวเคราะห์ที่เรารู้จักกันในนามของโลกหรือ Planet Earth...

ต่อไปนี้คือเนื้อหาที่ถอดความมาจาก Seven Tablets of Creation ของดินแดนเมโสโปเตเมีย ชื่อของมันได้มาจากคำขึ้นต้นคำแรกของเรื่องคือคำว่า Enuma Elish ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า When in the heights

When in the heights…heaven had not been named…
And below, firm ground (Earth) had not been called.
เรื่องราวต่อจากนั้นของมหากาพย์ได้กล่าวถึงเทพเจ้าแห่ง สวรรค์ผู้ร่วมกันให้กำเนิดเทพองค์อื่นเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จำนวนของเทพเจ้าบนท้องฟ้าได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เทพรุ่นเยาว์เหล่านี้สร้างเสียงดังและความโกลาหลอยู่ไม่หยุดหย่อน 

ยังความรำคาญให้แก่บิดรเทพผู้ให้กำเนิดเป็นยิ่งนัก
ดี๋ยวเราจะมาไล่ลำดับของเทพเจ้าเปรียบเทียบกับลำดับของดาวเคราะห์ในระบบ สุริยะกันใหม่ เทพแห่งระบบสุริยะของชาวสุเมเรียนที่เราได้ทำความรู้จักกันไปแล้วได้แก่
Sun-APSU
Mercury-MUMMU
Venus-LAHAMU
Mars-LAHMU
TIAMAT
Jupiter-KISHAR
Saturn-ANSHAR
Pluto-GAGA
Uranus-ANU
Neptune-NUDIMMUD (EA)
ไล่ดูนะครับว่ายังขาดดาวเคราะห์ดวงไหนในระบบสุริยะไปอีก เท่าที่ดูๆแล้วก็น่าจะครบน่ะนะครับ ปฐมสมาชิกแห่งระบบสุริยะของชาวสุเมเรียนในยุคปฐมกำเนิดก็ดูจะมีเพียงเท่านี้ เมื่อเทียบกับแผนผังระบบสุริยะในปัจจุบันแล้วก็นับว่าเกือบครบ จะขาดไปก็เพียงแต่โลกของเราเท่านั้น...

เฮ้ย! แล้วโลก(รวมไปถึงดวงจันทร์)ของเราล่ะครับไปอยู่ซะที่ไหน โลกของเราไม่ใช่สมาชิกในช่วงปฐมกำเนิดของระบบสุริยะหรอกรึ?




ความเจริญรุ่งเรืองของพวกเขามาจากไหน อะไรที่ทำให้อารยธรรมของพวกเขาก้าวไกลไปขนาดนั้น ทั้งที่ถ้านับตามประวัติศาสตร์แล้ว 
ช่วงเวลาของพวกเขาคือช่วงที่เราเรียกกันว่า ยุคหิน...
ครับ นี่เป็นคำรำพึงรำพันของใครต่อใครที่ได้เจาะลึกลงไปในเรื่องราวของคนโบราณ ชาติหนึ่ง ชนชาติซึ่งเริ่มตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งในบริเวณอ่าวเปอร์เซียเมื่อประมาณ 7-8 พันปีมาแล้ว คนรุ่นหลังทราบเรื่องราวของชนกลุ่มนี้จากจารึกดินเผาที่เรียกกันว่าคิวนิฟอร์ม ไม่มีใครทราบต้นตอความเป็นมา ทราบแต่เพียงว่า พวกเขามีวิทยาการและ เทคโนโลยีที่สูงส่งมาก ทิ้งมรดกทางวัฒนธรรมเอาไว้ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และวัตถุ ซึ่งได้แพร่หลายไปยังชนเผ่าอื่นที่อยู่ใกล้เคียงในเวลาต่อมา และกลายเป็นรากฐานทางอารยธรรมของมนุษย์สมัยใหม่อย่างพวกเราในที่สุด พวกเขาเรียกตนเองว่า ชาวสุเมเรียน

ย้อนหลังไปประมาณแปดพันปีก่อน ณ ลุ่มน้ำไทกริส-ยูเฟรติส ดินแดนเหล่านั้นยังร้อนระอุ ไม่มีแร่ธาตุ ไม่มีป่าไม้ ไม่มีอะไรที่พอจะสร้างเป็นวัตถุเพื่อก่อความเป็นอารยธรรมเมืองขึ้นมาได้เลย แต่แปลกไหมครับว่า ดินแดนดังกล่าวนี้ กลับกลายเป็นบ่อเกิดของอารยธรรมที่ศิวิไลซ์ที่สุดในยุคแรกของประวัติศาสตร์ มนุษย์ หลักฐานที่นัก
โบราณคดีได้ รับในช่วงหลังๆชี้ให้เห็นว่า ที่นี่แหละ คือบ่อเกิดของอารยธรรมทั้งหลายในโลก ชาวสุเมเรียนเป็นผู้ให้กำเนิดตัวอักษรที่ใช้เขียนเป็นภาษาขึ้น มีเทคนิคในการเกษตร มีสถาปัตยกรรมที่สูงส่งตระหง่านตา ส่วนด้านสังคมนั้นเล่า ประมวลกฏหมายฉบับแรกของโลกในประวัติศาสตร์ก็คือกฏหมายของชาวสุเมเรียน พวกเขามีวรรณคดี มีดนตรีพื้นเมืองที่ฟังแล้วโมเดิร์นเหลือเกินเมื่อเทียบกับยุคปัจจุบัน น่าประหลาดใจไหมครับว่า ชนชาติซึ่งไม่มีที่ไปที่มานี้ ไปเอาความรู้ความสามารถเหล่านี้มาจากไหน มันดูเกินยุคสมัยของพวกเขาเหลือเกิน เอาง่ายๆแค่ว่า แม้จะปราศจากป่าไม้แหล่งวัตถุดิบในการสร้างเมือง ชาวสุเมเรียนก็ยังสามารถประยุกต์ใช้หญ้าและต้นอ้อมาทำเป็นอิฐดินเผาเพื่อ สร้างเมืองได้ พวกเขาขุดคลองเพื่อทำการชลประทานจากแหล่งน้ำสำคัญในบริเวณนั้น คือลุ่มน้ำไทกริส-ยูเฟรติส จนทำให้ดินแดนซูเมอร์กลายเป็นเสมือนว่า ที่นั่นคือสวนเอเดนแห่งตะวันออกกลางไป

อ้อ... แล้วทราบกันไหมครับว่า คำว่า 
Eden สวนสวรรค์ในพระคัมภีร์ มาจากคำว่า E.Din หรือ Eridu อันเป็นสถานที่ที่ชาวสุเมเรียนเชื่อว่า พระเจ้าได้เสด็จลงมาตั้งรกรากบนโลกเป็นครั้งแรกอีกด้วย
Ancient Astronaut ตอนนี้จะนำท่านจมดิ่งสู่ตำนานอันน่าพิศวงของคนโบราณ ที่ซึ่งเต็มไปด้วยปริศนาของนักบินอวกาศยุค โบราณ ผู้มีคุณูปการต่อชาวพื้นเมืองจนถูกยกย่องให้เป็น "พระเจ้า" ไปในที่สุด 


มาดูความเชื่อของชาวสุมเรียนที่น่าฉงนกันอีกสักตัวอย่างนะครับ เป็นความเชื่อที่สวนกระแสชาติอื่นเมืองอื่นเค้าน่าดูเลย กล่าวคือพวกเขาเชื่อมั่นในความเป็นเอกภาพของมนุษยชาติครับ ตำนานของชาวสุเมเรียนมีว่า กาลครั้งหนึ่งมนุษย์เคยอยู่ร่วมกันเป็นชาติเดียว พูดจาภาษาเดียว สรรเสริญเทพองค์เดียวกันทั้งโลก (คล้ายกับเรื่องของหอคอยคนบาป - - บาเบล ในคัมภีร์ไบเบิลไหมครับ?) เป็นสังคมที่ปลอดภัย สงบสุข คล้ายยุคพระศรีอาริย์ในคติพุทธ ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละครับ บ้านอื่นเมืองอื่นเค้าเชื่อกันว่า ยุคดังกล่าวจะมาถึงหลังวันสิ้นโลกบ้าง วันหมดกัลป์บ้าง แต่ชาวสุเมเรียนเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีวันจะมาถึงหรอกครับในอนาคตน่ะ เพราะในอดีตมันเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง ภายหลังจบสงครามแห่งทวยเทพแล้วยุคที่ว่าจะไม่มีวันบังเกิดขึ้นอีกเลย ก็คงจริงของเค้านะครับ เพราะอาณาจักรสุเมเรียนก็ล่มสลายไปแล้ว ต่อให้ยุคนั้นมาถึงจริง ชาวสุเมเรียนก็ไม่มีวันได้เห็นหรอก

ขอยกบทกวีของชนชาติซูเมอร์ที่อ้างอิงถึงยุคแห่งเอกภาพมาสักบทเถอะครับ อ่านกันเล่นๆแล้วอย่าหมั่นไส้ผมล่ะ รายละเอียดนั้นก็มีอยู่ว่า

    Once upon a time...
    there was no snake, there was no scorpion,
    there was no hyena, there was no lion,
    there was no wild dog, no wolf,
    there was no fear, no terror,
    Man had no rival,
    Once upon a time...
    the whole universe, the people in unison,
    to Enlil is one tongue gave praise.


เป็นไงล่ะครับ ราวกับว่าครั้งหนึ่งนานมาแล้วบนโลกใบนี้ ก่อนประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่พวกเรารู้จักจะอุบัติขึ้น สังคมมนุษย์ถูกปกครองโดยพระเจ้าผู้เสด็จลงมาจากห้วงอวกาศด้วยยานสีเพลิง นอกจากหลักฐานอันเป็นแผ่นดินเหนียวของชาวสุเมเรียนแล้ว แถบนั้น ยังมีหลักฐานทางโบราณคดีอีกหลายชิ้น ที่ช่วยสนับสนุนทฤษฎี Ancient Astronauts ของเราเป็นอย่างดีเลยครับ โดยไอ้เจ้าหลักฐานดังกล่าวนั้นได้แก่
    * ภาพวาดรูปก้นหอย อายุ 5 พันปีที่ จีฮอย ทีปิ
    * หินเหล็กไฟโบราณ อายุ 4 หมื่นปีที่ การี โคเบห์ และอายุ 2 หมื่นกว่าปีที่ บาราไดเสตียน
    * รูปภาพหลุมศพและเครื่องใช้ทำด้วยหิน อายุ หมื่นสามพันปี ที่ทีปิ อาฮิบ
    * โครง กระดูกผู้ใหญ่และเด็กซึ่งถูกพบที่ถ้ำชานเดียร์ ทั้งหมดนี้มีอายุประมาณ 450,000 BC ตรวจสอบอายุด้วยคาร์บอน 14 (ซึ่งคลาดเคลื่อนได้ง่ายมากนะจ๊ะ จะบอกให้) 

นอกจากหลักฐานดังกล่าวแล้ว ยังพบภาพของคนที่มีเครื่องประดับรูปดาวอยู่บนศีรษะ บางรูปเป็นคนยืนอยู่บนรูปกลมที่มีปีก และแน่นอนครับ รูปที่ขาดไม่ได้คือวงกลมเล็กๆที่มี่วงกลมเล็กกว่าโคจรล้อมรอบเป็นชั้นๆอย่าง มีระเบียบ ซึ่งหากเด็กๆของเราได้เห็นเข้าล่ะก็ พวกเขาจะบอกได้ทันที่ว่า นั่นคือรูปของดาวฤกษ์และดาวบริวาร หรือยิ่งกว่านั้นก็เป็นรูปโครงสร้างอะตอมไปนู่นเลยครับ

เห็นหลักฐานแล้วกลุ้มครับ เนื่องจากทุกอย่างบ่งบอกกับเราว่าเมื่อประมาณ 4-5 หมื่นปีก่อนในแถบเมโสโปเตเมียนั้น เป้นเพียงแค่ที่อยู่อาศัยของมนุษย์ถ้ำยุคหินเท่านั้นเอง แล้วจู่ๆชาวสุเมเรียนกลับมาตั้งถิ่นฐานสร้างอารยธรรมขึ้นที่นั่น พร้อมวิทยาการ วัมฯธรรม และความรู้ทางดาราศาสตร์เสียเสร็จสรรพ ไม่มีพัฒนาการ มีไม่มีคำอธิบาย ไม่มีอะไรทั้งนั้นนอกจากร่องรอยของความรุ่งเรืองในอดีต ทิ้งให้คนยุคใหม่อย่างพวกเราฉงนเล่นซะอย่างนั้นว่า ใครกันหนอคือต้นตอของความเจริญทางอารยธรรมเหล่านี้

ถ้าท่านอยู่กับเว็บไซต์นี้มานานพอ ก็อาจจะได้คำตอบอยู่ในใจแล้วนะครับว่า ในอดีตอันนานนมนั้น มีนักท่องอวกาศกลุ่มหนึ่งซึ่ง(อาจจะบังเอิญหรือจงใจ)ลงมายังโลกมนุษย์ ได้พบกับคนป่าเถื่อนยุคหินบนโลก พวกเขาถ่ายทอดความรู้ อารยธรรม และความเป็นอยู่แบบสังคมเมืองให้ รวมไปจนกระทั่งถึง
การดัดแปลงบางอย่างเกี่ยวกับพันธุกรรมของคนพื้นเมืองเพื่อให้มีคุณสมบัติพอที่จะอยู่อย่างศิวิไลซ์ได้

รูปภาพพระเจ้าของชาวสุเมเรียนที่เราเห็นกันในหลายๆที่นั้น มีลักษณะร่วมที่คล้ายคลึงกันอยู่อย่างคือ สวมแว่นแบบช่างเชื่อมแก๊ส ศีรษะมนเป็นโดม ริมฝีปากบาง จมูกโด่งเป็นสัน ทำไมพระเจ้าของพวกเขาจึงมีลักษณะแบบนั้นครับ? 
หรือว่านั่นคือรูปร่างที่แท้จริงของพระเจ้า ที่พวกเขาเคยได้พบเห็นมากับตา ในยุคสมัยที่มนุษย์อยู่ร่วมกับพระเจ้าบนโลกใบนี้เมื่อนานแสนนานมาแล้ว...





# พาหนะของทวยเทพ # "มนุษย์อินทรีย์" ของสุเมเรียน, "นาวาแห่งสวรรค์(Boat of Heaven)" ของอียิปต์, "วิมานะ" ของอินเดีย, "มังกรบิน" ของตะวันออกไกล, "พญางูมีปีก" ในอเมริกากลาง และบัลลังก์ลอยฟ้าที่ถูกกล่าวถึงบ่อยๆในจารึกของชนชาติฮีบรู ฯลฯ มันคืออะไร?


ขอบคุณภาพจากwww.bibleorigins.net
www.commons.wikimedia.org
www.legolas.org
www.karenswhimsy.com
www.richeast.org
www.sacred-textscom
www.questgarden.com

http://mythland-th.blogspot.com/

ปริศนา หลอดไฟของฟาโร


 
วิหารเดนเดราในมุมกว้าง ยังหลงเหลือความยิ่งใหญ่อยู่มาก. 
--------------------- 

ถ้าจะกล่าวถึงสิ่งประดิษฐ์โบราณที่มีวิทยาการ ผิดยุคผิดสมัย ก็มีอยู่หลากหลายชนิด รวมทั้งภาพสลักอีกภาพหนึ่ง ที่สร้างความฉงนฉงายให้กับหลายๆท่านที่มีโอกาสพบเห็นได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือภาพ สลักรูป "หลอดไฟฟ้า" ในวิหารแห่งหนึ่งของชาวไอยคุปต์ ซึ่งถือว่าเก่าแก่กว่าหลอดไฟฟ้าของโทมัส อัลวา เอดิสัน ถึงกว่า 2,000 ปีเลยทีเดียว 

วิหารที่มีจารึกแปลกประหลาดรูปหลอดไฟแห่งนี้ก็คือหนึ่งในวิหารที่ยังหลงเหลือความสมบูรณ์ที่สุดวิหารหนึ่งของอียิปต์โบราณ นั่นก็คือวิหารแห่งเดนเดรา (Dendera) มหาวิหารที่บูชาเทพีแห่งความรักอย่างเทพีฮาเธอร์ (Hathor) นั่นเอง 

วิหารแห่งเดนเดรา ตั้งห่างออกมาทางตอนเหนือของเมืองลักซอร์ (Luxor) ประมาณ 70 กิโลเมตร ตัววิหารเดนเดราโดดเด่นด้วยเสาทรงเทพีฮาเธอร์ ประดับด้านหน้าถึง 6 เสา ด้านในมีห้องโถง ห้องเสาไฮโปสไตล์ ห้องบูชาด้านในอีกหลากหลายห้อง ที่สำคัญที่สุดก็คือห้องบูชาหลัก (Sanctuary) ของเทพีฮาเธอร์ ที่ประดิษฐานรูปปั้นรวมทั้งเรือศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในขบวนแห่อีกด้วย และบริเวณด้านหลังของวิหารเดนเดราแห่งนี้นี่เองครับ ที่มีช่องทางเดินลงไปยังคูหาใต้ดิน (Crypt) ซึ่งมีภาพหลอดไฟสุดล้ำของชาวอียิปต์โบราณสลักเอาไว้!! 

 
 
รูปหลอดไฟเดนเดราที่สองนักเขียนชาวออสเตรียและวิศวกรการ์นได้กล่าวอ้างว่าเป็นหลอดไฟโบราณ. 
------------------------

จากหนังสือ "ดวงไฟแห่งฟาโรห์" (Lights of the Pharaohs) ของสองนักเขียนชาวออสเตรียได้กล่าวไว้ว่า ในภาพสลักรูปหลอดไฟนั้นประกอบไปด้วย ตัวนักบวชผู้ถือหลอดไฟที่มีส่วนประกอบของตัวหลอด พร้อมทั้งตัวปล่อยกระแสไฟฟ้าที่แสดงด้วยรูปงู ปลั๊กรูปดอกบัว ตามด้วยสายไฟ และไอโซเลเตอร์ (Isolator) ที่แสดงด้วยภาพเสาดเจด (Djed Pillar) ด้านข้างยังมีเทพเจ้าถือมีด ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ "ผู้นำแสงสว่าง" จารึกประดับไว้ด้วย ในภาพสลักยังมีภาพของเทพเจ้าในท่านั่ง แสดงถึงกระแสไฟฟ้า และมีภาพของตัวจ่ายพลังงานหรือที่เราเรียกกันว่าเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generator) อีกด้วยครับ 

นอกจากนั้น วิศวกรนาม ดับเบิลยู การ์น (W. Garn) ยังได้สนับสนุนแนวคิดนี้ แถมด้วยการวาดแผนโครงสร้างของหลอดไฟฟ้าจากภาพบนผนังของวิหารเดนเดราเสียด้วย สิครับ โดยเขาได้เสนอว่า หลอดไฟแห่งเดนเดรานี้ ถ้ามีแท่งโลหะ 2 ชิ้นที่สัมผัสกับแขนที่ชูขึ้นมาของเสาดเจด ก็จะสามารถสร้างกระแสไฟฟ้าได้ แต่ก็ขึ้นกับขนาดของหลอดไฟด้วย ถ้าความดันภายในหลอดมีขนาดประมาณ 40 มิลลิเมตรปรอท เจ้างูในหลอดไฟที่ทำหน้าที่เป็นลวดที่ให้กระแสไฟฟ้าผ่าน ก็จะค่อยๆเลื้อยตัวออกไปเรื่อยๆ และสามารถสร้างแสงสว่างได้เพิ่มมากขึ้น เจ้างูลวดตัวนี้สามารถที่จะเลื้อยตัวออกไปได้ยาวมาก จนยาวเต็มหลอดไฟเลยทีเดียว ซึ่งนี่ก็คือหลักการในการให้แสงสว่างของหลอดไฟแห่งเดนเดรา จากมุมมองของวิศวกรอย่างการ์น 

 
 
ด้านหน้าของวิหารเดนเดรา แสดงความยิ่งใหญ่และงดงามด้วยเสารูปเทพีฮาเธอร์ถึง 6 เสา. 
------------------------

แต่แนวคิดที่การ์นนำเสนอมา มันก็ยังขัดแย้งกันอยู่ในตัวของมันเอง เพราะถ้ามองที่ภาพหลอดไฟที่การ์นนำมาอ้างนั้น ภาพของเสาดเจดชูแขนสองข้าง ที่เชื่อกันว่าทำหน้าที่เป็นไอโซเลเตอร์ ดูเหมือนว่าจะเข้าไปอยู่ด้านในของหลอดไฟ แต่แท้จริงแล้ว ภาพหลอดไฟแห่งเดนเดรานี้ มีถึง 6 หลอดครับ และอีก 5 หลอดที่เหลือ ก็จะเห็นได้ชัดว่าภาพของเสาดเจดนั้น ไม่ได้เข้าไปในตัวหลอดแต่อย่างใด เพียงแต่ค้ำอยู่ด้านนอกเท่านั้น จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่หลอดไฟ อีก 5 หลอดของเดนเดราจะสามารถทำงานได้ตามหลักการของการ์น 

หลายๆท่านอาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่า ภายในพีระมิด หรือสิ่งมหัศจรรย์หลายแห่งที่ชาวอียิปต์โบราณได้สร้างสรรค์ไว้ ไม่เคยพบเขม่าควันใดๆเลย แสดงว่าถึงแม้ว่าหลอดไฟแห่งเดนเดราจะไม่ได้หมายถึงหลอดไฟฟ้าจริงๆ แต่ชาวอียิปต์โบราณก็ควรจะต้องมีอุปกรณ์ให้แสงสว่างระหว่างการก่อสร้างด้วย แน่ๆ ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะสร้างหรือวาดภาพในที่มืดๆ โดยใช้ตะเกียงแบบไม่มีเขม่าได้ยังไงกัน 

แท้จริงแล้วไม่ใช่ว่าตามสถาน ที่อย่างภายใน ห้องหับของพีระมิดจะไม่มีเขม่าอย่างที่หนังสือหรือแหล่งข้อมูลบางแห่งบอกไว้ นะครับ เขม่าควันนั้นมีเช่นกัน แต่เป็นผลมาจากคบไฟของเหล่าโจรปล้นสุสานในสมัยโบราณ รวมทั้งนักเดินทางที่ปรารถนาจะเข้าไปชมความอลังการภายในพีระมิดได้ทิ้งเอา ไว้ 

 
 
ภาพคนถือสิ่งที่ดูคล้ายหลอดไฟ 2 หลอดจากวิหารเดนเดรา ยังมีสีดั้งเดิมหลงเหลืออยู่ด้วย. 
----------------------------------

ตะเกียงและไส้ตะเกียงคือหลักฐานที่นักอียิปต์ วิทยาค้นพบจากหุบผากษัตริย์ (Valley of the Kings) ซึ่งบ่งบอกว่าชาวอียิปต์โบราณมีการใช้ตะเกียงในการให้แสงสว่างในการขุดเจาะและตกแต่งผนังสุสาน แต่เคล็ดลับในการลดควันหรือเขม่าจากตะเกียงของพวกเขานั้นก็ทำได้ง่ายดายมากครับ เพียงแค่ผสม "เกลือ" เล็กน้อยลงไปในน้ำมันตะเกียง เท่านี้ก็ไม่หลงเหลือเขม่าเกาะติดผนังมากนักแล้วครับ 

ข้อเท็จจริงข้อหนึ่งที่นักอียิปต์วิทยาค้นพบในห้องใต้ดินที่มีภาพหลอดไฟ ปริศนาก็คือ "เขม่าควัน" บริเวณภาพหลอดไฟพอดีครับ ดังนั้น ถ้าในช่วงการแกะสลักภาพหลอดไฟเดนเดรา ชาวอียิปต์ โบราณมีการใช้หลอดไฟรูปร่างเช่นนั้นในการให้ แสงสว่างจริงๆล่ะก็ ไม่น่าจะมีเขม่าควันหลงเหลืออยู่ในห้องนี้ เขม่าที่เห็นควรจะต้องเป็นควันจากการจุดตะเกียงในช่วงของการก่อสร้าง หรือไม่ก็เป็นเขม่าควันจากกลุ่มคนสมัยใหม่ ที่เข้ามาด้านในครับ 

ถ้า ไม่ใช่วิทยาการอันก้าวหน้าของชาวไอยคุปต์ แล้วหลอดไฟแห่งเดนเดรานี้มีความหมายว่าอย่างไรกันแน่ จารึกภาษาอียิปต์โบราณที่ประดับไว้เคียงข้างภาพหลอดไฟเหล่านี้มีคำตอบให้ ครับ 

 
 
อีกภาพหนึ่งของหลอดไฟเดนเดรา จะพบว่าแขนของเทพฮีฮ์ที่ค้ำหลอดไฟอยู่นั้น ไม่ได้เข้าไปข้างในแต่อย่างใด. 
--------------------

จารึกในห้องใต้ดินแห่งนี้กล่าวถึงวัฏจักรการโคจรของดวงอาทิตย์ที่กำลังหมดเวลาในวันสุดท้ายของปีเก่าและเข้าสู่เช้าวันรุ่งขึ้นของปีใหม่ รวมทั้งการจัดงานพิธีกรรมเฉลิมฉลองแด่สุริยเทพ ซึ่งก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับหลอดไฟแต่อย่างใด 

เริ่มแรกที่ภาพของงู ที่สองนักเขียนชาวออสเตรียกล่าวว่าเป็นลวดที่นำไฟฟ้า แต่ตำนานของชาวอียิปต์โบราณไม่มีตำนานใดกล่าวว่างูเกี่ยว ข้องกับไฟเลย ภาพวงรีที่เหมือนตัวหลอดไฟนั้น ณ ที่นี้มีความหมายถึงท้องฟ้า ยามรุ่งอรุณ และงูที่อยู่ด้าน ในก็คือเทพฮาร์ซัมตัส (Harsomtus) ซึ่งเป็นร่างหนึ่งของเทพฮอรัส เกี่ยวข้องกับพระอาทิตย์ ในยามรุ่งอรุณตามความเชื่อของชาวกรีก-โรมัน โดยที่พวกเขาจะแสดงภาพของเทพฮาร์ซัมตัสด้วยร่างของงูเสมอในช่วงหลัง 300 ปีก่อนคริสตกาลเป็นต้นมาครับ 

นั่นก็เพราะงูจะมีการลอกคราบ ซึ่งชาวอียิปต์ โบราณมองว่าเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ก็คล้ายกับพระอาทิตย์ที่เริ่มต้นชีวิตใหม่ขึ้นมาทุกเช้าในแต่ละวันนั่นเอง 

 
 
ภาพหลอดไฟอีกหลอดหนึ่ง ซึ่งก็จะเห็นได้ว่าแขนของเสาดเจด ไม่ได้เข้าไปสัมผัสกับงูด้านในหลอดไฟเช่นกัน. 
--------------------

สำหรับ เสาดเจดที่เชื่อกันว่าเป็นไอโซเลเตอร์ นั้น นักอียิปต์วิทยายังไม่สามารถหาคำตอบที่แน่นอนได้ว่า มีความหมายว่าอย่างไร เพราะว่าโดยตัวของมันเองแล้ว เสาดเจดสามารถสื่อได้หลายความหมาย ไม่ว่าจะหมายถึงเสาโดยตรง หรือหมายถึงความมั่นคง เสถียรภาพ และหมายถึงสิ่งที่อยู่ไปจนนิรันดร์ก็ได้เช่นกัน ดังนั้น ด้วยความที่เสาดเจดได้ค้ำท้องฟ้ายามรุ่งอรุณ และบางภาพก็ได้ค้ำงูฮาร์ซัมตัส ที่เป็นตัวแทนของพระ อาทิตย์ยามรุ่งอรุณ ก็อาจจะต้องการสื่อความหมายว่า สุริยเทพจะต้องเป็นผู้ที่คงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ก็เป็นได้ 

มองลงมาด้านล่าง ที่เชื่อกันว่าเป็นสายไฟซึ่งต่อจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้ารูปเทพฮีฮ์มายังก้านดอกบัวที่เป็นปลั๊กนั้น แท้จริงแล้วเป็นภาพตัวแทนของเรือศักดิ์สิทธิ์ที่มีเทพเจ้ามาก มายนั่งอยู่ คล้ายๆกับเรือที่ปรากฏในคัมภีร์ ต่างๆของชาวอียิปต์โบราณ และหลักฐานที่กล่าวว่าเส้นสายไฟนี้คือเรือแน่ๆ ก็คืออักขระที่จารึกประกอบภาพเอาไว้บนผนังครับ 

ส่วนดอกบัว ก็คือดอกบัวตามที่เห็น ไม่ได้สื่อถึงปลั๊กไฟแต่อย่างใด สำหรับอีกด้านหนึ่งของเรือที่มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและเทพฮีฮ์ ก็สื่อความหมายว่าเทพฮีฮ์ทรงค้ำจุนท้องฟ้ายามรุ่งอรุณ ด้วยความที่เทพฮีฮ์เกี่ยวข้องกับความเป็นนิรันดร์และเกี่ยวข้องกับจำนวนหนึ่งล้าน ทำให้เทพฮีฮ์สื่อความหมายคล้ายคลึงกับเสาดเจด นั่นคือหมายถึงความเป็นนิรันดร์ของสุริยเทพ 
 
 
รูปที่การ์นใช้ประกอบคำอธิบายหลักการทำงานของหลอดไฟเดนเดรา. 
-------------------------

บรรดาสัญลักษณ์ต่างๆที่แสดงเป็นภาพหลอดไฟแห่งเดนเดรานี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสัญลักษณ์พื้นฐานทางตำนานความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณทั้งสิ้น ที่ประกอบกันเพื่อสื่อความหมายและแสดงออกถึงพิธีกรรมการเดินทางเข้าสู่ปีใหม่ของสุริยเทพ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลอดไฟฟ้าแต่อย่างใด 

แต่ถึงแม้ว่าชาวอียิปต์โบราณจะไม่ได้มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าถึงขั้นผลิตหลอดไฟฟ้าได้จริง แต่เราก็คงจะปฏิเสธกันไม่ได้ใช่ไหมครับว่า วิทยาการที่ชาวอียิปต์มีอยู่จริงนั้น ก็ก้าวหน้าและก้าวล้ำเสียจริงๆครับ