THE NATURAL OF REVENGE: 05/01/2011 - 06/01/2011

วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เเบบทดสอบความกล้ว







เรียงลำดับสิ่งที่กลัวจากมากที่สุดไปน้อยที่สุดตามลำดับ 1. ความตาย
2. ผี
3. การอยู่คนเดียว
4. การจากลา
5. สัตว์น่าขยะแขยง



อ๊ะอย่าแอบดูเฉลยก่อนนะ





















































ความ ตาย ถ้ามันเป็นสิ่งที่คุณกลัวอันดับ
1. คุณเป็นคนขี้ระแวง แต่คุณจะเป็นคนมีความรับผิดชอบ
2. คุณเป็นคนค่อนข้างรับความเป็นจริงและค่อนข้างกล้าหาญ
3. คุณเป็นคนไม่หูเบาฟังหูไว้หู มีความเคารพดีเป็นเลิศ
4. คุณเป็นคนค่อนข้างจะอ่อนโยน แต่รับความจริงไม่ค่อยจะได้
5. คุณกล้าหาญเกินตัว มีน้ำใจ และมีความเป็นผู้ใหญ่สูง ความตาย หมายถึง ความเป็นจริง


ผีถ้ามันเป็นสิ่งที่คุณกลัวอันดับ
1. คุณเป็นคนที่อ่อนไหว แต่มีความจริงใจ
2. คุณเป็นคนที่ไม่ละเลยกับวัฒนะธรรมเก่าๆแต่คุณก็เป็น คนยุคใหม่ไฟแรง ( มนุษย์เกาเหลา
3. ความเป็นคนที่อยู่ในกรอบคือตัวคุณ!
4. คุณเป็นคนที่ไว้ใจได้ (ซื่อสัตย์)
5. คุณเป็นคนไม่มีเหตุผล ขี้โมโห แต่จุดดีคือคุณว่องไว ฉลาด


การอยู่คนเดียว ถ้ามันเป็นสิ่งที่คุณกลัวอันดับ
1. คุณเป็นคนใจดี ใจอ่อน
2. คุณเป็นคนที่แคร์คนรอบข้าง
3. คุณเป็นคนที่มีความพยายาม
4. คุณเป็นคนมีเหตุผล
5. คุณเป็นคนเคร่งครัดในธรรมเนียมจึงเชื่อได้ว่าคุณไม่(น่า)จะชอบกฎและชอบความ ยุติธรรม


การจากลา ถ้าคุณกลัวมันเป็นอันดับที่
1. คุณเป็นคนที่รักมันคงไม่โลเล
2. คุณเกลียดการโกรธกันแบบไม่มีเหตุผลแบบเห็นหน้าไอ้นี่แล้ว มันไม่ถูกชะตาเตะมันดีกว่าถ้าคุณรู้สึกคุณจะเก็บมันไว้ได้ดี
3. คุณเลือกคบคนแต่คุณก็เลือกคบคนที่ใจใช่หน้าตา
4. คุณเป็นคนที่ไม่ค่อยจะสุงสิงกับใครเพราะคุณ(ท่าทาง)งานเยอะสรุปง่ายๆคุณเป็น คนจริงจัง
5. คุณชอบที่จะทำอะไรเเบบเงียบๆเพราะคุไม่ชอบอะไรเอะอะ


สัตว์ น่าขยะแขยง ถ้าคุณกลัวมันเป็นอันดับ

1. คุณแสนจะสำอางไม่ชอบสิ่งสกปรก
2. คุณไม่ชอบที่จะทำอะไรให้ยุ่งยาก
3. คุณไม่รักที่จะเจอคนไม่พึงประสงค์เพราะคุณเป็นคนที่เก็บความผิดพลาด (ของตัวเองและคนอื่น ) มาเป็นบทเรียน
4. คุณกล้าหาญมากๆ
5. คุณไม่เป็นคนที่รักง่ายหน่ายเร็วแต่คุณไม่คิดว่าถ้าเธอ ที่คุณชอบจริง รับรองคุณจะไม่ลืมเขาเลย

เรื่อง จริงที่คุณ (ก็) รู้







มนุษย์ ต้องการสิ่งที่ตนเองไม่มี
แฟนของคน อื่น มักจะสวยกว่าแฟนของตัวเอง

เวลาที่เราวิ่งมารับโทรศัพท์จากที่ ไกลๆ เมื่อถึงโทรศัพท์ เสียงมันมักจะหยุด เราจะช้าไป 1 จังหวะเสมอ

ถ้า แอบรักใคร อย่าฝากใครไปบอก บอกด้วยตัวเองจะดีกว่า

เวลาสั่งอาหารไว้ นานแล้ว ยังไม่ได้สักที ให้พูดว่าไม่เอาจะได้เร็ว

ถ้าเรียกเก็บเงิน แล้วไม่มีใครมาเก็บเสียที ให้ลุกขึ้น ทำท่าจะกลับทั้งโต๊ะ จะมีพนักงานพุ่งมาทันที

ปลูกต้นลั่นทมไว้หน้าบ้าน ไม่เกี่ยวอะไรกับความทุกข์ระทมของตัวเราเลย

ระวังคนขายโรตี ที่เพิ่งเดินออกมาจากป่าละเมาะ พุ่มไม้ ซอกตึก อย่าตัดสินใจซื้อจนกว่าเขาจะล้างมือ

ไม่มีสัจจะในร้านตัดเสื้อ

ระวัง คนที่แสดงออกว่าเป็นคนดีมากๆ

อย่าซื้อทุเรียนมาปอกเอง

หนังสือ ดี คือหนังสือที่เราชอบอ่าน

หนังดี คือหนังที่เราชอบดู

อยาก ให้คนอื่นรู้เรื่องที่เรานินทามากๆ อย่าลืมย้ำบ่อยๆว่า อย่าไปบอกใครนะ

อย่า ทิ้งกระดาษชำระไว้ในชามก๋วยเตี๋ยว คนล้างจะเสียความรู้สึก

เรียกยาม ว่า ชีเคียวริตี้การ์ด ยามจะตั้งใจโบกรถ

อย่าซื้อะไร ที่ต้องเอามาซ่อมต่อ

รถในเมืองไทยพวงมาลัยอยู่ทางขวา แต่ฝาน้ำมันมาอยู่ขวามเสมอไป

ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อน ไม่ต้องเอายาสีฟันไปก็ได้ ยังไงเพื่อนต้องมี

อย่าเข้าใกล้หมา ตอนกินข้าว

ตลาด อตก. มาจากคำว่า เอเวอรี่ติง เกินราคา

เวลา ดูหนังโรง ควรจำว่า กระปุกน้ำอยู่ด้านไหน

ตัดผมวันพุธได้ ไม่บาป

คน ไม่กินเนื้อ ไม่ได้แปลว่าเป็นคนดีเสมอไป

เวลาบ้วนน้ำยาลีสเตอรีนออก จากปาก ให้หลับตาด้วย

ปูอัด มันทำมาจากปลา

กระเพาะปลา มันทำมาจากหนังหมู

กินก๋วยเตี๋ยวจากตะเกียบไม้ อร่อยกว่า

อย่า ไปจ่ายตลาดเวลาหิว เราจะซื้อมาเยอะเกินจำเป็นเสมอ

ในโลกนี้จะมีคน มาทักอยู่ 2 ประเภทเท่านั้น ประเภทแรกอ้วนขึ้นนะ ประเภทที่สอง ผอมลงนะ ไม่มีใครมาทักว่าปกติดีนี่ ไปทำอะไรมา

คนที่เอาหมวกตำรวจ หรือชุดตำรวจแขวนไว้หลังรถ มิใช่เพราะบ้านเขาไม่มีตู้ เขาไม่ได้ลืม เค้าแค่กลัวคนไม่รู้ว่าตัวเขาเป็นอะไร

คนที่มีทะเบียนรถเลขตัวเดียว เรียงติดกันหลายๆตัว เป็นคนธรรมดาเหมือนกับเรา

คนที่มีความรู้มากๆ เขามักจะใช้ความรู้ ขังจินตนาการ

ฟู่ฟ่าเดี๋ยวก็วาย เรียบง่ายอยู่ได้นาน

ห้องน้ำผู้หญิง ผู้ชายเข้าไปดูเป็นพวกโรคจิต ห้องน้ำผู้ชาย ผู้หญิงเข้ามาดูเป็นแม่บ้าน

เวลาที่เปิดหนังสือให้ เพื่อนดูหน้าที่ตัวเองพูดถึง มักหาไม่เจอ

ขนมและน้ำในโรงหนัง มักจะแพงกว่าข้างนอก

เวลาหิว อยากจะกินมากๆ พอเวลาได้กิน มักจะกินได้น้อย

จงอย่าอิจฉาคนอื่น แต่จงใช้ชีวิตให้คนอื่นอิจฉา

คำคมสอนใจ



คำคมสอนใจ



- การที่คุณบอกความในใจกับใครคนนั้นไป มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย เพราะบางทีใครคนนั้นอาจกำลังรอคำพูดของคุณอยู่
- เรือที่จอดอยู่ในท่าจะปลอดภัยที่สุด แต่เรือไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อให้จอดอยู่ในท่า
- เธอจะพบความสวยงามของมหาสมุทรได้อย่างไร หากเธอไม่กล้าพอที่จะออกไปไกลจากฝั่ง
- สำหรับคนที่มีความอดทน แม้ชั่วโมงที่ยากลำบากที่สุดก็ยาวนานเพียง 60 นาที
- วันที่ยาวนานที่สุดคือวันที่หัวใจของเธอไม่มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
- ฉันเป็นคนมั่งมี ไม่ใช่เพราะฉันมีมากมายแต่เป็นเพราะว่าฉันมีมากพอ
- เทียนที่นำไปจุดเทียนเล่มอื่นจะไม่สูญเสียความสว่างของตัวเอง แต่จะทำให้ห้องสว่างไสวขึ้น
- บางครั้ง เราอาจไม่เข้าใจการกระทำของตัวเอง ฉะนั้นจึงไม่ควรตัดสินการกระทำของคนอื่น
- ถ้ามองแต่ความผิดของคนอื่น เธอจะมีแต่ความเกลียด ถ้ามองแต่ความดีของคนอื่น เธอจะมีแต่ความรัก
- เมื่อมีความผิดพลาดเกิดขึ้น อย่ามัวคิดว่าใครเป็นคนทำ แต่จงคิดว่าจะแก้ไขได้อย่างไร
- เมื่อพบความผิดพลาด ก็นับว่า ความผิดพลาดนั้นได้รับการแก้ไขไปแล้วส่วนหนึ่ง
- เธอต้องยอมรับผลของพายุของฝนฟ้าคะนอง ด้วยความสำเร็จขึ้นอยู่กับการกระทำไม่ใช่การอธิษฐาน

ความ ตาย คือ "เพื่อน" ผู้มาเตือน






เคยคิดบ้างไหมว่า ในระหว่างที่เราดำเนินชีวิตไปในแต่ละวัน ในแต่ละขณะที่เรายังมีลมหายใจและรับรู้การมีอยู่ของตัวเรานั้น
มี กี่ชีวิตที่จากไป...จากไปอย่างไม่หวนกลับ

การจากไปที่เราเรียกว่า ...ความตาย

ณ ขณะปัจจุบันของชีวิตเรานั้น ความตายช่างดูห่างไกลยิ่งนัก ไกลจนเกินกว่าจะคาดคิด และถึงแม้ว่าเราจะไม่มีโอกาสได้รับรู้เลยก็ตาม ความตายก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่ทั่วทุกหนแห่ง...ตลอดเวลา

มีเพียงช่วง ขณะที่ความตายเฉียดเข้ามาใกล้ตัวเราเท่านั้น ที่จะเป็นช่วงเวลาที่เรารู้ซึ้งว่าความตายนั้นมีอยู่จริง และอยู่แนบชิดกับเราเพียงไร

มันอาจจะเป็นช่วงขณะที่เราได้ สัมผัสกับวินาทีแห่งความตายหรือช่วงเวลาที่บุคคลที่ใกล้ชิดกับเราได้จากไป
เป็น ช่วงขณะที่ทำให้เรารู้สึกว่าทุกอย่างมีปลายทาง และชีวิตมีวันสิ้นสุด

ช่วง ขณะแห่งความจริงที่ทำให้เรารู้ซึ้งว่า...เราเองก็หนีไม่พ้นเช่นกัน

สำหรับ ผู้วายชนม์แล้ว ความตายเป็นเพียงการก้าวผ่านประตูจากห้องหนึ่งไปสู่อีกห้องหนึ่ง

แต่ สำหรับผู้ยังคงอยู่ ความตายบอกอะไรแก่เรา

ดอน ฮวนได้กล่าวไว้ว่า “ความตายคือผู้มาเตือน”

“ความตายเป็นสหายของเราตลอดไป...มันอยู่ทาง ซ้ายมือของเราตลอดเวลา ความตายเฝ้าคุณอยู่ขณะที่คุณรอคอย...ความตายกระซิบที่หูของคุณ และคุณรู้สึกถึงความเย็นยะเยียบอย่างที่คุณรู้สึกในวันนี้ ความตายกำลังเฝ้าดูคุณอยู่เสมอไป มันเฝ้าคุณไม่ห่างไปไหนจนกระทั่งวันนี้ มันจะยื่นมือของมันออกมาแตะที่ตัวของคุณ”



สำหรับ ดอน ฮวนแล้ว การรับรู้ถึงความตายทำให้การรู้สึกว่าตัวเราเองมีความสำคัญนั้นเป็นสิ่งที่ ไร้สาระ

“เราจะเห็นตัวเองมีความสำคัญได้อย่างไร ในเมื่อเรารู้ว่าความตายกำลังล่าเราอยู่”

“สิ่งหนึ่งที่คุณต้องทำ เมื่อคุณไม่มีน้ำอดน้ำทน...คือ หันหน้าไปทางซ้ายมือแล้วขอคำแนะนำจากความตายของคุณ ความคับแคบจำนวนมหึมาจะมลายไปหากความตายกวักมือเรียกคุณ หรือเมื่อคุณมองเห็นมันแวบหนึ่ง หรือแม้เพียงคุณมีความรู้สึกว่าสหายของคุณอยู่ที่นั่น กำลังเฝ้าดูคุณอยู่”


“ความตายคือผู้ที่มาแนะนำตักเตือนที่ฉลาดที่สุดเพียงผู้ เดียวที่เรามี คราวใดที่คุณเกิดความรู้สึกชนิดที่เป็นอยู่เสมอว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่อยู่กับร่องกับรอย หรือคุณกำลังถูกทำลายให้ย่อยยับลงไป ก็จงหันไปหาความตายแล้วถามว่า มันจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ? ความตายจะบอกกับคุณว่าคุณคิดผิดไปแล้ว ไม่มีอะไรเลยที่จะเกิดขึ้นเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาจริง ๆ ที่ยิ่งไปกว่าสัมผัสของความตาย ความตายของคุณจะบอกกับคุณอีกว่า ฉันยังไม่ได้ยื่นมือมาสัมผัสคุณเลย”

ความสอดคล้องดังกล่าว สามารถพบได้ในพุทธศาสนา ซึ่งได้มีการสอนให้มนุษย์เราตั้งอยู่ในความไม่ประมาทโดยการให้ระลึกถึงความ ตายอยู่เสมอ



ในหนังสือ “พุทธธรรม” ได้กล่าวถึงการคิดถึงความตายเอาไว้ในฐานะเป็นอุบายเพื่อการปลุกเร้าคุณธรรม ดังนี้

“หลักการทั่วไปของวิธีคิดแบบนี้มีอยู่ว่า ประสบการณ์คือสิ่งที่ได้ประสบหรือรับรู้อย่างเดียวกัน บุคคลผู้ประสบหรือรับรู้ต่างกัน อาจมองเห็นและคิดนึกปรุงแต่งไปคนละอย่าง...ของอย่างเดียวกันหรืออาการกิริยา เดียวกัน คนหนึ่งมองเห็นแล้ว คิดปรุงแต่งไปในทางดีงาม เป็นประโยชน์ เป็นกุศล แต่อีกคนหนึ่งเห็นแล้ว คิดปรุงแต่งไปในทางไม่ดีงาม เป็นโทษ เป็นอกุศล แม้แต่บุคคลคนเดียวกัน มองเห็นของอย่างเดียวกัน หรือประสบอารมณ์อย่างเดียวกัน แต่ต่างขณะ ต่างเวลา ก็อาจคิดเห็นปรุงแต่งต่างออกไปครั้งละอย่าง คราวหนึ่งร้าย คราวหนึ่งดี”



“การคิดถึงความตาย ถ้ามีอโยนิโสมนสิการคือทำใจหรือคิดไม่ถูกวิธี อกุศลธรรมก็จะเกิดขึ้นเช่น คิดถึงความตายแล้วสลดหดหู่ เกิดความเศร้าความเหี่ยวแห้งใจบ้าง เกิดความหวั่นกลัวหวาดเสียวใจบ้าง ตลอดจนเกิดความดีใจเมื่อนึกถึงความตายของคนที่เกลียดชังบ้างเป็นต้น”
“แต่ ถ้ามีโยนิโสมนสิการ คือ ทำใจหรือคิดให้ถูกวิธี ก็จะเกิดกุศลธรรม คือ เกิดความรู้สึกตื่นตัวเร้าใจ ไม่ประมาท เร่งขวนขวายปฏิบัติกิจหน้าที่ ทำสิ่งดีงามเป็นประโยชน์ ประพฤติปฏิบัติธรรมตลอดจนรู้เท่าทันความจริงที่เป็นคติธรรมดาของชีวิต”



ใน “ภัทเทกรัตตสูตร” พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงการระลึกถึงความตายเพื่อเป็นการเร่งเร้าให้ลงมือกระทำ มีใจความว่า
“บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว และสิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบัน ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ได้ บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ให้ปรุโปร่งเถิด พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ ใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง เพราะว่าความผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้นย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย พระมุนีผู้สงบย่อมเรียกบุคคลผู้มีปรกติอยู่อย่างนี้ มีความเพียรไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน นั้นแลว่าผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ ฯ”



ดังนั้น สำหรับผู้ยังคงอยู่แล้ว ความตายเปรียบเสมือนผู้มาตักเตือนให้เรามองเห็นความจริงของชีวิต และเร่งขวนขวายกระทำในสิ่งที่ควรกระทำ เพราะเราไม่อาจรู้หรอกว่า วันพรุ่งนี้จะมีสำหรับเราไหม

“ความตายคือผู้ล่า และความตายอยู่ทางซ้ายมือของเราเสมอไป เราคนใดคนหนึ่งที่อยู่ที่นี่ต้องขอคำแนะนำจากความตาย และละความคับแคบไร้สาระทั้งหลายที่มนุษย์มีอยู่ โดยใช้ชีวิตราวกับว่าความตายจะไม่ยื่นมือมาสัมผัสที่ตัวของพวกเขานั้นเสีย”

ทำไม ต้องมียางลบอยู่บนหัวดินสอ ?






บางครั้งเราก็มองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ไป
เพียง เพราะใช้เวลาสั้นๆ ในการตัดสินสิ่งนั้นว่า " ไร้สาระ"

หลายวันก่อน เพื่อนคนหนึ่งถามผมว่า "ทำไมต้องมียางลบอยู่บนหัวดินสอ ? "

ผมไม่ ได้สนใจและใส่ใจกับคำถามนั้นสักเท่าไหร่

เพียงแค่รู้สึกว่าเป็นคำ ถามที่ไม่มีสาระอะไรเสียเลย

แต่ก็อดไม่ได้ที่จะตอบเล่นๆ ไปว่า "ก็คงมีเพื่อความสะดวกมั้ง

หรือไม่ก็ช่วยให้คนขี้ลืมที่ชอบวางยางลบ ไม่เป็นที่เป็นทาง

ได้มียางลบ ใช้มั้ง"

เพื่อนของผมก็ อมยิ้ม ก่อนที่จะตอบผม สั้นๆ ว่า "ไม่ใช่"

"อ้าว. . .งั้นเพราะอะไรล่ะ" ผมอดที่จะถามไม่ได้

ก็เพราะว่า " คนเราสามารถทำผิดกันได้ "

". . . . . . . . . . . . . . . . . . " ฉันนิ่งไปครู่หนึ่ง

หลังจากที่ได้ยินคำตอบ

และปล่อยให้เจ้า ของคำถามเดินจากไป

โดยที่ไม่ได้อธิบายอะไรมากไปกว่าคำตอบสั้นๆ ของเขาเท่านั้น

คำถามของเพื่อนที่ผมเคยมองว่ามันไร้สาระ

กลับ ทำให้ผม ได้เก็บมาคิดแทบทุกขณะที่สมองว่าง

เย็นวันนั้น ผมจึงหยิบโทรศัพท์เขียนข้อความส่งถึงเพื่อนๆ ด้วยประโยคที่ซ้ำกัน. . .

" ทำไมต้องมียางลบอยู่บนหัวดินสอ

........................................................

เพราะคนเรามีสิทธิ์ทำผิดกันได้

........................................................

แต่จงจำไว้ว่า. . .เราไม่ควรใช้ยางลบให้หมดก่อนดินสอ

เพราะ นั่นอาจหมายความว่า เรากำลังทำผิดซ้ำๆ จนความผิดนั้นอาจสายเกินแก้"

ผม เองยังไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่คิดต่อจากเพื่อนนั้นมันจะถูกต้องหรือไม่

และ เพื่อนๆ ที่ได้รับข้อความจากผมจะเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะบอกหรือเปล่า

จะ เข้าใจหรือไม่เข้าใจ. . .นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการมากสักเท่าไหร่

แต่ สิ่งที่ผมอยากได้รับ คือ เพื่อนของผมจะคิดต่อจากความคิดของผมอย่างไร

และ ลึกๆ ผมก็แค่หวังว่า เพื่อนของผมคงจะกล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาด

และ ไม่ประมาทในการใช้ชีวิตและยอมรับการกระทำของตัวเอง. . .

เพียงแค่ นั้น ผมก็หมดห่วง

และเพื่อน ๆ ที่ได้อ่านแล้วคิดอย่างไรกันบ้างครับว่า “ ทำไมต้องมียางลบอยู่บนหัวดินสอ ”

ข้อ คิดดีๆ ของการเป็นมนุษย์




คนสำคัญที่แท้จริง
“...ความสามัคคีเป็น สิ่งที่ดี เป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่บางคนกลับมีความสนุกและดีใจ ถ้าได้เห็นครอบครัวใด หมู่ใด สังคมใด ทะเลาะวิวาทและแตกสามัคคีกัน แทนที่จะหาทางระงับและช่วยสมานความสามัคคี เขากลับยุยงส่งเสริมให้เกิดมีการแบ่งพรรคแยกพวกขึ้น ให้คนเห็นว่า ตนเป็นคนสำคัญ แท้จริงแล้วเขามีค่าเพียงถ่านไฟเท่านั้น ธรรมดาถ่านไฟเมื่อยังร้อนอยู่ ใครเอามือจับมือก็พอง ถึงไม่มีไฟ เอามือจับเข้าก็เปื้อนมือ คนที่จะเป็นคนสำคัญจริงๆ นั้น ย่อมมีอัธยาศัยที่ยิ่งใหญ่ บูชาสามัคคีธรรม ไม่ส่งเสริมการแตกสามัคคีและหาทางสมานสามัคคี เห็นทุกคนเป็นเสมือนดังญาติพี่น้องร่วมสายโลหิต ไม่คิดแบ่งพรรคแยกพวกและมีอิสระแก่ตน ไม่ตกเป็นทาสอยู่ภายใต้อำนาจกิเลสตัวร้าย ไม่ยอมให้มันกดหัว ขี่คอ ข่มเหง และสั่งการให้ตนทำสิ่งชั่วร้ายบาปกรรมต่างๆ ที่จะทำให้ตนและคนอื่นได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ซึ่งวิญญูชนทั้งหลายไม่สรรเสริญเลย แต่พยายามยกระดับจิตใจให้อยู่เหนืออำนาจใฝ่ต่ำ คือ พยายามละบาปชั่วทั้งหลายแล้วตั้งใจทำบุญกุศลต่างๆ เนืองนิตย์ และชำระจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาด ดังนี้ จึงจะชื่อว่า เป็นคนสำคัญที่แท้จริง...


ทำความดีทั้ง ในที่ลับและที่แจ้ง
“...ความริษยา การนินทา การใส่ร้าย มักจะไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ แต่เป็นงานของคนมีปมด้อย และจิตใจอ่อนแอ ผู้ที่มีจิตใจสูงและมั่นคงในคุณธรรม จะไม่มีลักษณะดังกล่าว แต่จะมีความหนักแน่นและยุติธรรมในสิ่งทั้งปวง จะคิดจะพูดและจะทำอะไรก็ประกอบด้วยเมตตาปรารถนาดีเป็นที่ตั้ง

ความ ลับไม่มีในโลก แม้จะเป็นความคิด คำพูด หรือการกระทำในที่ลับหลัง ไม่มีใครรู้เห็น ไม่ว่าในเรื่องชั่วหรือเรื่องดี ก็จะมีคนรู้หรือปรากฏออกมาเองสักวันจนได้ พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้สำรวมระวัง มิให้ทำความชั่วทั้งไตรทวาร และทรงสอนให้ทำความดีทั้งไตรทวาร ไม่ว่าจะเป็นในที่ลับหรือในที่แจ้ง...


พึงรับฟังคำแนะนำตักเตือน

“...ทุกคนชอบ และอยากให้คนชมสรรเสริญ ไม่ชอบและไม่อยากให้ใครตำหนิ แม้ว่าตนจะทำผิดก็ไม่ชอบให้ใครมาแนะนำตักเตือนการติเพื่อก่อ และคำแนะนำตักเตือนไม่เคยทำให้ใครเสียหาย แต่คำชมเชยสรรเสริญเยินยอต่างหาก ที่ทำให้ใครต่อใครเสียผู้เสียคนมามากแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นโลกธรรมที่มีอยู่คู่กับโลกมานานแล้วในโลกนี้ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน คำสรรเสริญเยินยอนั้นเปรียบเหมือนน้ำหอมที่อาบศพ จะหอมอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น ส่วนคำติเตียนนินทาเปรียบเสมือนกลิ่นเหม็นที่โชยมาตามลมแล้วก็ผ่านไป จึงไม่ควรหลงใหลในคำสรรเสริญเยินยอ และไม่ควรสยบซบเซาเพราะคำติเตียนนินทา ถึงแม้ทำสิ่งไม่ดี ถ้าหากถูกใจเขา เขาก็สรรเสริญเยินยอได้ ถึงแม้จะทำดี ถ้าหากไม่ชอบใจ เขาก็ติเตียนเอาได้ หลักการพิจารณา ถ้าหากเป็นคนพาล สรรเสริญหรือนินทา อย่าไปสนใจ แต่ถ้าหากวิญญูชนผู้ทรงศีลธรรมสรรเสริญหรือแนะนำตักเตือนแล้ว พึงรับไว้พิจารณาเถิด ไม่มีความเสื่อมเสีย มีแต่ความเจริญถ่ายเดียว...”

การ ขอโทษและการให้อภัย

การ ขอโทษและการให้อภัย





การรู้จักขอโทษนั้นเป็นมารยาทอันดีงามสำหรับตัวผู้ทำเอง และเป็นการช่วยระงับหรือช่วยแก้โทสะของผู้ถูกกระทบกระทั่งให้เรียบร้อยด้วย ดีในทางหนึ่ง หรือจะกล่าวว่าการขอโทษคือการพยายามป้องกันมิให้มีการผูกเวรกันก็ไม่ผิด
เพราะ เมื่อผู้หนึ่งทำผิด อีกผู้หนึ่งเกิดโทสะเพราะถือความผิดนั้นเป็นความล่วงเกินกระทบกระทั่งถึงตน แม้ไม่อาจแก้โทสะนั้นได้ ความผูกโกรธหรือความผูกเวรก็ย่อมมีขึ้น ถ้าแก้โทสะนั้นได้ก็เท่ากับแก้ความผูกโกรธหรือผูกเวรได้ เป็นการสร้างอภัยทานขึ้นแทน อภัยทานก็คือการยกโทษให้ คือการไม่ถือความผิดหรือการล่วงเกินกระทบกระทั่งว่าเป็นโทษ

อัน อภัยทานนี้เป็นคุณแก่ผู้ให้ ยิ่งกว่าแก่ผู้รับ เช่นเดียวกับทานทั้งหลายเหมือนกัน คืออภัยทานหรือการให้อภัยนี้ เมื่อเกิดขึ้นในใจผู้ใด จะยังจิตใจของผู้นั้นให้ผ่องใสพ้นจากการกลุ้มรุมบดบังของโทสะ...

โกรธ แล้วหายโกรธเอง กับโกรธแล้วหายโกรธเพราะให้อภัย ไม่เหมือนกัน โกรธแล้วหายโกรธเองเป็นเรื่องธรรมดา ทุกสิ่งเมื่อเกิดแล้วต้องดับ ไม่เป็นการบริหารจิตแต่อย่างใด แต่โกรธแล้วหายโกรธเพราะคิดให้อภัย เป็นการบริหารจิตโดยตรง จะเป็นการยกระดับของจิตให้สูงขึ้น ดีขึ้น มีค่าขึ้น

ผู้ดูแลเห็นความสำคัญของจิต จึงควรมีสติทำความเพียรอบรมจิตให้คุ้นเคยต่อการให้อภัยไว้เสมอ เมื่อเกิดโทสะขึ้นในผู้ใดเพราะการปฏิบัติล้วงล้ำก้ำเกินเพียงใดก็ตาม พยายามมีสติพิจารณาหาทางให้อภัยทานเกิดขึ้นในใจให้ได้ ก่อนที่ความโกรธจะดับไปเสียเองก่อน

ทำได้เช่นนี้จะเป็นคุณแก่ตนเอง มากมายนัก ไม่เพียงแต่จะทำให้มีโทสะลดน้อยลงเท่านั้น และเมื่อปล่อยให้ความโกรธดับไปเอง ก็มักหาดับไปหมดสิ้นไม่ เถ้าถ่านคือความผูกโกรธมักจะยังเหลืออยู่ และอาจกระพือความโกรธขึ้นอีกในจิตใจได้ในโอกาสต่อไป

ผู้อบรมจิตให้คุ้นเคยอยู่เสมอกับการให้อภัย แม้จะไม่ได้รับการขอขมา ก็ย่อมอภัยให้ได้
ในทางตรงกันข้าม ผู้ไม่เคยอบรมจิตใจให้คุ้นเคยกับการให้อภัยเลย โกรธแล้วก็ให้หายเอง แม้ได้รับการขอขมาโทษ ก็อาจจะไม่อภัยให้ได้ เป็นเรื่องของการไม่ฝึกใจให้เคยชิน

อันใจนั้นฝึกได้ ไม่ใช่ฝึกไม่ได้ ฝึกอย่างไดก็จะเป็นอย่างนั้น ฝึกให้ดีก็จะดี ฝึกให้ร้ายก็จะร้าย...

10 เรื่อง DD

10 เรื่องดีดี







วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ปริศนาเร้นลับที่ซ่อนอยู่ในมหานครอียิปต์

ปริศนาเร้นลับที่ซ่อนอยู่ในมหานครอียิปต์


“อียิปต์” ชื่อนี้เคยมีอำนาจและวัฒนธรรมอันเกรียงไกรในอดีต มีเรื่องราวที่น่าสนใจให้คนรุ่นหลังได้ค้นหามากมาย

ดังเช่น มหานครแห่งวิหารเฮราคลีออน (Heracleion) ที่ซ่อนตัวอยู่ก้นทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) มานานนับพันปี ซึ่งบันทึกสมัยโบราณได้บอกเล่าถึงวิหาร อันยิ่งใหญ่และงานเทศกาลอันอลังการ ที่ดึงดูดใจผู้คนจาก อเล็กซานเดรีย ให้มาเข้าร่วมงานกันอย่างคึกคัก ไม่เว้นแม้แต่ฟาโรห์ยังต้องเดินทางมาเพื่อประกอบพิธีบูชาเทพเจ้าที่นี่
การสาบสูญไปโดยไร้ร่องรอย ของมหานครโบราณริมชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทำ ให้นักโบราณคดีกลุ่มหนึ่งพยายามค้นหามันให้พบ พวกเขาใช้เวลาถึง 6 ปี ดำน้ำในบริเวณอ่าวอาบูเกียร์ ใกล้กับเมืองอเล็กซานเดรียในปัจจุบัน ด้วยความเชื่อว่าใต้ทะเลบริเวณนี้ เคยเป็นมหานครที่ผู้บุกรุกชาวกรีกเข้าครอบครองเมื่อ 2,300 ปีก่อน และเป็นจุดเริ่มที่กองทัพกรีกใช้แผ่ขยายอำนาจไปทั่วอียิปต์
ณ สุสานใต้น้ำที่ปกคลุมพื้นที่กว่า 500 ตารางกิโลเมตร พวกเขาค้นพบกำแพงยาว 500 ฟุต ซึ่งหากเปรียบเทียบสัดส่วนกัน เสาของวิหารแห่งนี้ก็น่าจะสูงถึง 100 ฟุต ในบริเวณเดียวกันมีสฟิงซ์แกรนิตสีแดง 8 ตัว และสฟิงซ์แกรนิตสีดำ 2 ตัว เรียงรายไปตามทางเหมือนถนนที่มุ่งไปสู่วิหารอียิปต์ และของใช้ที่บรรดานักบวชใช้ประกอบพิธีกรรม เช่น อ่างทองเหลือง ทัพพี และถังที่ประดับประดาอย่างสวยงามสำหรับใช้บรรจุของสักการะ
พวกเขาพบรูปปั้นขนาดยักษ์ สูง 19 ฟุต จำนวน 3 รูป ประกอบด้วยรูปปั้นราชินี รูปปั้นกษัตริย์ทัลเลอร์เมย์ บรรพบุรุษของคลีโอพัตรา และรูปปั้นเทพเจ้าฮาปี้ ตัวแทนความบริบูรณ์และความมั่งคั่ง ตั้งอยู่ด้านหน้าของวิหาร ซึ่งยืนยันว่าที่แห่งนี้เคยเป็นสถานที่สำคัญของผู้นำราชวงศ์ ทัลเลเมอิกแห่งอียิปต์มาก่อน
นอกจากนี้ยังพบแท่นบูชาสูง 2 เมตร มีจารึกพระนามของเทพเจ้าอามุนแห่งเกอเร็บเอาไว้ ซึ่งแท่นบูชานี้คือบ้านของอามุน เพราะชาวอียิปต์เชื่อว่าเทพเจ้าของพวกเขามีบ้านทั้งบนโลกและบนสวรรค์ ทุกวันตอนรุ่งสางดวงจิตของอามุนจะหวนกลับมาบนโลก

แต่สิ่งที่ทำให้ทีมนักสำรวจตื่นเต้นที่สุด ก็คือการค้นพบแผ่นหินหนัก 1 ตัน สลักเป็นภาษาฮีโรกลิฟ แนวดิ่ง 14 แถว ในสภาพสมบูรณ์ กล่าวว่านี่คือวิหารของอามุน แห่งเกอเร็บ หรือที่ชาวกรีกเรียกว่า นครแห่งเฮราคลีออน และเรื่องราวของเมืองรอบวิหาร ซึ่งบ่งชี้ว่านี่คือเฮราคลีออน เมืองที่เป็นศูนย์กลางทางศาสนา และลัทธิของอียิปต์ในอดีตกาล บนแผ่นจารึกนั้น มีจารึกอักษรซึ่งมีใจความว่า “ประกาศภาษีต่อเรือสินค้าต่างชาติทั้งหมดที่มาที่แม่น้ำไนล์” ซึ่งคำบนแผ่นจารึกนั้น ตอกย้ำว่าเฮราคลีออนเคยเป็นเมืองท่าขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของอียิปต์ก่อนการรุกรานของกรีก โดยด้านบนของแผ่นหินมีรูปปั้นของฟาโรห์ เนคตาเนโบที่ 1 ผู้ปกครองอียิปต์ตั้งแต่ปี 362 ถึง 380 ก่อนคริสตกาล หนึ่งรุ่นก่อนอเล็กซานเดอร์เข้ายึดครองอียิปต์
ส่วนภายในวิหาร พวกเขาพบรูปปั้นของเทพเจ้าโอไซริส ที่ชาวอียิปต์โบราณใช้แห่มาจากวิหารแห่งเฮราคลีออน ไปที่วิหารแคโนปัส ด้วยเรือท้องแบน เพื่อขอให้เทพประทานน้ำในแม่น้ำไนล์ให้เต็มเป็นประจำทุกปี อีกทั้งยังพบมัมมี่, ข้าวสาลีโอไซริส ซึ่งในจารึกบอกไว้ว่านักบวชหญิงจะผสมโคลนสูตรพิเศษของไนล์ แล้วฝังเมล็ดข้าวบาร์เลย์เข้าไป นำไปวางไว้ในอ่างศักดิ์สิทธิ์ประกอบพิธี เสกให้ธัญพืชอุดมสมบูรณ์ในช่วงเริ่มต้นของฤดูเพาะปลูก



นักโบราณคดีให้ความเห็นว่า รูปปั้นฮาปี้และรูปโอไซริสที่ปั้นจากโคลนของไนล์ แสดงให้เห็นว่าสองลัทธินี้มีความสำคัญเกือบจะเท่าเทียมกันในวัฒนธรรมของเฮราคลีออน ซึ่งราชวงศ์ทัลเลอร์เมย์ที่แม้จะเป็นชาวกรีก ได้พยายามเชื่อมตนเองเข้ากับเทพเจ้าทั้งสองของอียิปต์ โดยอาศัยนักบวชที่วิหารแห่งนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดของอียิปต์ยุคนั้น


เมื่อครั้งที่กองทัพกรีกรุกรานอียิปต์ พวกเขาได้พบกับดินแดนแห่งวิหารอันยิ่งใหญ่ และตระหนักว่าถ้าต้องการจะควบคุมคนอียิปต์ พวกเขาจะต้องควบคุมวิหารอียิปต์ให้ได้เสียก่อน เนื่องจากอามุน มีอำนาจในการให้สิทธิการปกครองต่อกษัตริย์และฟาโรห์  ในตำนานกล่าวไว้ว่า อเล็กซานเดอร์มหาราชเป็นผู้พิชิตคนแรกที่ได้รับศักดิ์และสิทธิอันชอบธรรมในการปกครองอียิปต์  ด้วยการโน้มน้าวให้นักบวชแห่งอามุน ประกาศรับรองเขาในฐานะเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ และทำให้เขากลายเป็นฟาโรห์ที่แท้จริง


ความสัมพันธ์ระหว่างนักบวชและผู้นำทัลเลอร์เมย์ ดำเนินต่อเนื่องจนสามารถปกครองอียิปต์ยาวนาน แต่เหตุใดมหานครแห่งวิหารเฮราคลีออนและสิ่งปลูกสร้างอันยิ่งใหญ่จึงพังทลายและจมอยู่ใต้ทะเล นี่เป็นเรื่องที่ทีมสำรวจต้องการค้นหาคำตอบ


ลึกลงไปในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นักโบราณคดีใต้น้ำได้พบซากเรือโบราณนับสิบ บริเวณรอบฐานของวิหารพบกองไม้ที่จมอยู่จำนวนมาก รวมทั้งพบกระดูกคนติดอยู่ใต้ซากตึกในวิหาร ซึ่งชี้ให้เห็นถึงหายนะครั้งใหญ่ หลักฐานหลายอย่างบ่งบอกว่ามันเกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติ เช่น การพบทอง เครื่องประดับ เหรียญ แผ่นทอง กระจายอยู่ในบริเวณวิหาร เพราะหากไม่ใช่ภัยธรรมชาติของพวกนี้คงถูกคนเก็บไปหมด

และนี่คือสิ่งที่ช่วยย้ำเตือนว่า ครั้งหนึ่งที่นี่เป็นเคยเป็นเมืองที่ถูกลบเลือนไปจากประวัติศาสตร์อย่างกะทันหัน

"ด้านมืด" ในใจคน ?

"ด้านมืด" ในใจคน ?


ทุกอย่างในโลกนี้มักจะมี 2 ด้านเสมอ เหมือนความมืดที่ไม่มาพร้อมความสว่าง ความรักที่สวนทางกับความชัง ความดีที่อยู่คนละด้านกับความเลว ฯลฯ แต่สิ่งตรงกันข้ามที่ว่า จะยืนอยู่คนละฟากฝั่งเสมอไปหรือ?



คำตอบที่แน่นอน อาจจะไม่ใช่อย่างนั้น เพราะมีหลายครั้งหลายคราว ซึ่งสรรพสิ่งที่ควรจะ อยู่คนละด้านกลับผสมปนเปเหมือนด้านมืดในจิตใจมนุษย์ ที่ซุกอยู่ในซอกหลืบของคนดี และหากไม่สามารถ ซ่อนมันไว้ได้ สิ่งที่ตามมาก็อาจเลวร้ายเกินกว่าจะคาดคิด...



พระอุมา เป็นมเหสีของพระอิศวร มีสองภาคคือภาคใจดีกับภาคดุร้าย พระอุมาในภาคใจดีเป็นหญิงสาวที่มีรูปโฉมงดงามมาก ส่วนในภาคดุร้ายจะมีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวมีหัวกะโหลกมนุษย์ห้อยที่พระศอ มี 10 กร แต่ละกรถืออาวุธต่าง ๆ กัน ทั้งยังมีจิตใจโหดเหี้ยมมากแม้แต่พระอิศวรเองก็ยังเกรงพระอุมาในภาคดุร้ายนี้ พระนามของพระอุมาในภาคดุร้ายมีชื่อเรียกอย่างอื่นเช่น ทุรคา กาลี จัณฑี เป็นต้น
siamnt.com
อีกด้านหนึ่งของภาพลักษณ์นั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะคนเดินดินธรรมดา แต่เรื่องเล่านับพันปี ก็มีให้เห็นกันแล้ว ในความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าฮินดูที่เป็นที่เคารพของคนจำนวนมาก คือเรื่องของพระอุมา ชายาพระศิวะหนึ่งในตรีเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด
พระอุมาเป็นเทพที่มีความพร้อมในทุกด้าน สมเป็นยอดชายาของอัครเทพ ที่ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็ต้องบอกว่า งามทั้งกาย งามทั้งใจมองมุมไหนก็โสภาไปหมด


ทว่า พระอุมาไม่ได้มีเพียงด้านเดียวอย่างที่เห็น แต่ยังมีปางอื่นซึ่งเป็นที่นิยมนับถือด้วยเช่นเดียวกัน คือปางแห่งพระกาลี หรือที่หลายคนนิยมเรียกเจ้าแม่กาลีซึ่งเป็นปางดุร้ายของพระแม่อุมา อันเปลี่ยนภาพลักษณ์จาก “งามพักตร์” เป็นเหมือนนางยักษ์ที่ดุร้าย ด้วยวรกายสีดำ มีเลือดเป็นภักษาหาร และเป็นที่เคารพนับถือของกลุ่มคนที่ต้องการพ ด้านพลังอำนาจ หรือความมีชัยต่อศัตรู

หากมองลึกลงไปถึงแก่นของตำนานแล้ว จะเห็นว่าพระอุมาคือตัวแทนของพลังอำนาจแห่งเพศแม่ ที่โดยปกติจะงดงามอ่อนหวานแต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีปัจจัยอันไม่น่าอภิรมย์มากระทบ ผู้หญิงก็สามารถแสดงความเกรี้ยวกราด ดุร้ายดังที่หลายคนก็เคยพูดว่า สตรีงามบางคนนั้นเวลาจะร้ายก็ดุเสียยิ่งกว่าแม่เสือ ทำเอาบุรุษหนุ่มที่หลงในความงามตกอกตกใจกันมานักต่อนัก


แต่จะว่าเฉพาะผู้หญิงที่มีบุคลิกเป็น 2 แบบที่แตกต่างเท่านั้นก็เห็นจะไม่ใช่ ผู้ชายเองก็เช่นกัน ที่มีทั้งภาคดีและภาคร้ายอยู่ในตัว รอโอกาสที่จะแสดงออก ในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ฝรั่งเองก็คงจะมองเห็นความจริงในข้อนี้ทำให้มีเรื่องเล่าหลายเรื่องที่กล่าวถึงปมต่างๆ ในใจมนุษย์
แต่ที่โด่งดังที่สุดจนกลายเป็นนิยายคลาสสิกระดับโลก ต้องยกให้ผลงาน ของโรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน ที่แต่งเรื่องเกี่ยวกับคุณหมอนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งที่ในยามปกติ เป็นชายผู้แสนดี ช่วยเหลือสังคม มีมนุษยสัมพันธ์อันเยี่ยมยอดเป็นที่นับหน้าถือตาแต่หลังจากดื่มยาชนิดหนึ่งเข้าไป ความเลวที่อยู่ในก้นบึ้งจิตใจก็กระโดดออกมาเป็นอีกตัวตนหนึ่ง ที่ทำเรื่องร้ายแรงได้มากมาย รวมทั้งฆาตกรรม

Dr. Jekyll and Mr. Hyde
นิยายที่เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของ ดร.เจคิล และมิสเตอร์ไฮด์นั้น เป็นต้นแบบของเรื่องเล่า นิยาย และ ภาพยนตร์อีกหลายต่อหลายเรื่องในเวลาต่อมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการแสดงให้เห็นว่า ในใจคนเรานั้น มีทั้งด้านดีและด้านเลว อยู่ที่ว่าด้านไหนจะแสดงออก หรือเก็บกดอีกด้านหนึ่งไว้อย่างไร และตามปฐมบทจากนิยายของสตีเวนสันนั้นก็เล่าเรื่องไว้ว่า ยาที่เปลี่ยน ดร.เจคิล ผู้แสนดี ให้กลายเป็นนายไฮด์ ผู้ต่ำช้านั้น เป็นยาที่ ดร.เจคิล คิดค้นขึ้นเพื่อหวังจะให้เกิดประโยชน์ แก่มวลมนุษย์ เพราะคิดว่าหากผลิตตัวยาที่สามารถ “ดึง” เอาด้านเลวของคนเราออกมา แล้วกำจัดไปให้หมด ก็จะเหลือแต่คนที่มีเฉพาะความดีในตัว

ซึ่งหากทำได้อย่างนั้นก็นับเป็นฝันที่บรรเจิด เพราะโลกนี้จะมีแต่คนดีเต็มไปหมด แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกลับเลวร้ายกว่าที่คิดเพราะ“ด้านมืด” ที่แฝงอยู่ในตัว ดร.เจคิล นั้น มีพลังรุนแรงจนด้านดีต้องล่าถอย ก่อนที่ทั้งสองด้าน จะสิ้นสุดพันธะต่อกันด้วยการจบชีวิตลงอย่างน่าเสียดาย

บนโลกเซลลูลอยด์ โศกนาฏกรรมของ ดร.เจคิลถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ แล้วหลายครั้ง ทั้งที่เป็นเรื่องตามต้นแบบเอง และเรื่องที่ได้รับการดัดแปลงให้ตัวเอกใช้ชื่ออื่น หรือมีตัวเอกที่เป็นผู้หญิง รวมทั้งเป็นแรงบันดาลใจในการเกิดขึ้นของเดอะ ฮัค นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังที่เวลาโมโหจะเปลี่ยน เป็นจอมพลังตัวเขียวที่เกรี้ยวกราดซึ่งถูกสร้างเป็นทั้งละครและภาพยนตร์เช่นกัน

Lex Luthor
มุมสองด้านของมนุษย์ที่ต้องต่อสู้ กันภายในจิตใจตัวเองนี้ เป็นปัญหาของคนดังในโลกภาพยนตร์อีกหลายคน เช่น เล็กซ์ ลูเธอร์ คู่ปรับตลอดกาลของซุปเปอร์แมนซึ่งแฟนๆ ของหนุ่มบินได้ใส่เสื้อเบอร์เอสนี้ คงจะไม่ชอบขี้หน้าอีตาเล็กซ์ ผู้มีหัวล้านเลี่ยนเป็นสัญลักษณ์สักเท่าไหร่นัก แต่หากมองลึกลงไปถึงความเป็นมาแล้ว เล็กซ์เป็นอาชญากรซึ่งมีประวัติอันน่าสงสาร ตั้งแต่ชีวิตรันทดในวัยเด็กกับพ่อผู้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง และการแสวงหาคำตอบ ของคำถามมากมายในโลกอันยากจะหามิตรแท้ ทำให้เด็กหนุ่มจิตใจดี ต้องถลำลึกลงไปในห้วงของความเลวร้ายที่ก่อตัวขึ้นในใจ และผลของการต่อสู้นี้ ความดีก็พ่ายต่อความเลวในที่สุดทำให้เกิดทรชนที่ว่ากันว่า เลวร้ายที่สุดคนหนึ่งของโลก

ส่วนในระดับจักรวาล ความดีและความเลวซึ่งอยู่คนละฟากฝั่งในใจคน ก็ยังเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่ต่อกรกันในจิตใจของอนาคิน สกายวอล์กเกอร์ ตัวเอกในอภิมหาภาพยนตร์เรื่องสตาร์วอร์ ที่ในที่สุดแล้วผู้ชายดีๆ คนหนึ่งก็พ่ายแพ้ต่อด้านมืดกลายเป็นดาร์ธ เวเดอร์ตัวโกงในห้วงกาแล็กซี่


ส่วนใหญ่แล้ว เมื่อมีการต่อสู้ระหว่างความดีและความเลว อันเป็นขั้วตรงกันข้ามในจิตใจมนุษย์ นิยายหรือภาพยนตร์ชื่อดัง มักจะเดินผ่านไปสู่จุดจบที่ว่าด้านมืดมีพลังมากกว่า และได้ผลลัพธ์ เป็นคนเลวสุดขั้ว เพราะฉะนั้น ถึงตอนนี้แฟนๆ ของซุปเปอร์ฮีโร่ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่ง คือไอ้แมงมุม หรือสไปเดอร์แมนอาจจะต้องถึงกาลให้วิตกกังวลนิดหน่อย เพราะหลังจากช่วยโลกปราบอธรรมมาได้พักใหญ่ หนุ่มนักปีนป่ายของเรา ก็โดนด้านมืดเข้าแทรกเหมือนกัน

เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในภาพยนตร์เรื่องสไปเดอร์แมน ภาค 3 ซึ่งเป็นตอนที่หนุ่มน้อยปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ สามารถประสานชีวิตทั้ง 2 ด้านให้เป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งความรักที่มีต่อ เอ็ม.เจ และภารกิจพิทักษ์โลกในฐานะสไปเดอร์แมน


แต่ความสงบก็อยู่ได้ไม่นานนัก เมื่อพายุครั้งใหม่เริ่มก่อตัว ชุดฟอร์มสไปเดอร์แมนสีแดง กลับกลายเป็นสีดำทะมึน และทวีพลังรุนแรงยิ่งขึ้นการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ส่งผลให้ความโกรธแค้นที่ฝังลึกในใจปีเตอร์ระเบิดออกมา กลายเป็นพลังด้านมืดอันมหาศาล ซึ่งไม่อาจควบคุมได้ ปีเตอร์กลายเป็นคนแข็งกร้าวมั่นใจเกินไป และเพิกเฉยต่อคนที่รักเขา


Sandman

Venom

เท่านั้นยังไม่พอในขณะที่ต้องเลือกระหว่างพลังอำนาจมหาศาล กับการเป็นวีรบุรุษผู้เคยเป็นที่รักในแบบเดิม ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดก็อุบัติขึ้นทั้งแซนแมน(Sandman) และ อสรพิษวีนอม(Venom) ที่รวมพลังกันมาด้วยวัตถุประสงค์เดียวคือ กำจัดสไปเดอร์แมน!

การต่อสู้ทั้งด้านมืดในใจ และคู่ปรับที่เก่งฉกาจเป็นสิ่งที่ทำให้ต้องลุ้นระทึกว่า ชีวิตอันสับสนของปีเตอร์จะหักเหไปทางไหน ติดตามได้ในสไปเดอร์แมน 3

ปรากฏการณ์ลึกลับ : การชำแหละวัวโดยมนุษย์ต่างดาว

ปรากฏการณ์ลึกลับ : การชำแหละวัวโดยมนุษย์ต่างดาว


9 มิถุนายน 2005 ปรากฏการณ์วัวตายอย่างลึกลับในท้องทุ่งในประเทศสหรัฐอเมริกาได้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งที่เมืองพอนเดรา มอนตานา หลังจากที่เคยเกิดขึ้นที่เมืองนี้และบริเวณใกล้เคียงมาแล้วนับสิบแห่งเมื่อปี 2001
เจ้าของวัวที่เคราะห์ร้ายคือ มาร์ค ทาเลียเฟอโร ซึ่งเคยมีประสบการณ์เช่นเดียวกันนี้เมื่อปี 2001 คราวนี้เขาพบลูกวัวตอนแล้วหมายเลข 304 นอนตายอยู่ในทุ่งหญ้าห่างจากบ้านไม่ถึงสองไมล์ทาเลียเฟอโร โทร.แจ้งทางการทันทีเพราะซากของวัวที่ตายมีรูที่ท้องของมัน ซึ่งเป็นการตายที่ผิดปกติ


นายอำเภอ โทมัส เอ. คูกา
ได้รุดมายังที่เกิดเหตุเพื่อทำการสืบสวนทันที การชันสูตรพบว่าลูกวัวมีรูที่ท้องบริเวณเต้านมทะลุเข้าไปในลำไส้ และนี่เองคือสาเหตุที่ทำให้มันตาย คูกาบอกว่า รูที่ท้องวัวมีรูปทรงกลมและเหมือนกับถูกทำให้ไหม้ด้วย และลูกอัณฑะหายไป รูดังกล่าวพุ่งตรงเข้าไปในท้องจนเห็นข้างในเลยทีเดียว ทว่าไม่มีเลือดออกและไม่กระทบต่อเนื้อเยื่อส่วนอื่นๆ เลย นอกจากนั้น ลิ้นของลูกวัวส่วนปลายยังถูกตัดด้วยมุมเฉียง 45 องศา ซึ่งคูกาบอกว่า มันไม่เหมือนเคสอื่นๆ ที่เขาเคยเห็น คือลิ้นวัวจะหายไปทั้งหมด


คูกาให้ความเห็นว่าสัตว์นักล่าไม่สามารถจะทำเช่นนี้ได้

และสรุปว่า รูที่ท้องของลูกวัวตัวนี้น่าจะเกิดจากการถูกตัดด้วยเครื่องมือบางอย่างและถูกทำให้ไหม้และตั้งคำถามว่า มีเครื่องมือชนิดใดที่ทำเช่นนี้ได้ ?


นี่คือ ปรากฏการณ์ประหลาดที่เรียกกันว่า "การชำแหละวัวในท้องทุ่ง" (Cattle Mutilation Phenomena) ที่ระบาดในอเมริกาเหนือมานานแล้ว ส่วนใหญ่ท้องของวัวเคราะห์ร้ายถูกเจาะเป็นรูขนาดใหญ่รูปไข่ แต่ไม่มีเลือดไหลออกมา และอวัยวะบางส่วนโดยเฉพาะลำไส้มักหายไป แต่ไม่มีร่องรอยการดิ้นรนเพื่อหนีความตายของวัวหรือแม้กระทั่งรอยเท้าในบริเวณที่มันตาย


หลายเคสซากวัวมีรูขนาดใหญ่บริเวณรอบกระดูกขากรรไกรและขากรรไกรและลิ้นของมันหายไป และอีกหลายเคสอวัยวะเพศของวัวทั้งตัวผู้และตัวเมียจะหายไป สำหรับวัวตัวเมียลูกตาและเต้านมจะหายไปด้วย
นอกจากนั้น ยังพบรังสีตกค้างบริเวณใกล้ซากวัวและที่น่าประหลาดใจ ก็คือ สัตว์ที่กินของเน่าจะไม่แตะต้องซากวัวเลย


ปรากฏการณ์นี้มีข้อสังเกตหลายอย่าง คือ หลายเคสวัวที่ตายจำนวนมาก ถูกทำเครื่องหมายซึ่งเรืองแสง ว่ากันว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อให้เห็นได้ในเวลากลางคืน และสิ่งนี้อธิบายได้ว่ามันไม่ได้เกิดจากฝีมือของสัตว์นักล่าอย่างหมาป่าหรือสุนัขจิ้งจอก และหลายเคสยังเกิดขึ้นในบริเวณใกล้บ้านเจ้าของวัวซึ่งเลี้ยงหมาไว้ด้วย ซึ่งหากมีคนหรือสัตว์บุกรุกเข้ามาหมาจะเห่า แต่ทว่ากลับไม่มีเสียงเห่าจากหมาเลย
ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือในกรณีที่เกิดกับลูกวัว ปกติแม่วัวจะคอยดูแลปกป้องอันตรายให้กับลูกวัว หากมีอันตรายเข้ามาใกล้แม่วัวจะร้องซึ่งจะทำเจ้าของวัวได้ยิน แต่กลับไม่มีเสียงร้องจากแม่วัว

การศึกษาเพื่อไขปริศนาปรากฏการณ์นี้มีมานานแล้ว ในขณะที่มนุษย์มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ทว่าก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่ามันเกิดจากอะไร

ครั้งหนึ่งมีการศึกษาที่น่าสนใจโดย ดร. จอห์น อัลชูเลอร์ โดยการเปรียบเทียบเนื้อเยื่อที่เกิดจากการผ่าตัดโดยเครื่องผ่าตัดเลเซอร์(LASER SURGERY)ในวงการแพทย์ กับเนื้อเยื่อของวัวที่ตายอย่างลูกวัวของทาเลียเฟอโร ซึ่งพบว่าเนื้อเยื่อที่เกิดจากการผ่าตัดโดยเครื่องผ่าตัดเลเซอร์มีคาร์บอนปนเปื้อนอยู่แต่กลับไม่พบในเนื้อเยื่อของวัวที่ตายแบบเดียวกับลูกวัวของทาเลียเฟอโร ดร.อัลชูเลอร์ถึงกับกล่าวว่า ไม่รู้จริงๆ ว่ารูที่ท้องวัวเกิดจากการตัดหรือผ่าโดยเครื่องมืออะไร

ปัจจุบันมีทฤษฎีที่อธิบายปรากฏการณ์นี้อยู่ 3 ทฤษฎี ทฤษฎีแรก อธิบายว่าเกิดจากการทดลองอาวุธชีวภาพของรัฐบาล เหตุผลที่สนับสนุนทฤษฎีนี้ก็คือ มีผู้เห็นเฮลิคอปเตอร์สีดำบินอยู่เหนือท้องทุ่งในยามค่ำคืน และรุ่งเช้าก็จะพบซากวัว แต่ทฤษฎีนี้แทบจะหาหลักฐานใดๆ มาสนับสนุนได้เลย

ทฤษฎีที่สองเกิดจากฝีมือของสัตว์ประหลาดที่เรียกว่า "ชูพาคาบรา" (Chupacabra ) ซึ่งแปลว่า "ปีศาจดูดเลือด" มีรายงานการพบเห็นชูพาคาบราในแถบแคริเบียนและอีกหลายประเทศในอเมริกาใต้แม้กระทั่งที่ฟลอริดาในอเมริกาด้วย โดยเฉพาะในเปอร์โตริโก ไก่และกระต่ายในฟาร์มต่างๆ ตายนับพันตัวโดยมีรูที่ลำตัวเหมือนถูกเจาะ
ผู้พบเห็นชูพาคาบราบรรยายว่า มันสูง 4 ฟุต ผิวหนังสีเทา ดวงตาแดง มีขาคล้ายจิงโจ้ และมีเดือยแหลมที่หลัง ผู้พบเห็นบางคนรายงานว่า มันมีปีกและบินได้ด้วย

ชูพาคาบรา (Chupacabra )
ทฤษฎีนี้อธิบายว่า "ชูพาคาบรา" จะออกล่าเหยื่อตามฟาร์มในยามค่ำคืน มันจะจัดการกับเหยื่อด้วยการดูดเลือดและบางครั้งจะนำอวัยวะภายในออกไปกินที่อื่น บางคนเชื่อว่ามันเป็นสัตว์ทดลองของรัฐบาล แต่บางคนเชื่อว่ามันเป็นสัตว์ของมนุษย์ต่างดาว ที่นำมาปล่อยทิ้งไว้บนโลก

มีคนเชื่อทฤษฎีนี้มากเหมือนกัน แต่หลักฐานซากสัตว์ประหลาดที่ เดวิน แม็คแอนนาลี ยิงตายที่ฟาร์มไก่ของเขาที่เมืองพอลล็อค รัฐเท็กซัส เมื่อ วันที่ 14 ตุลาคม 2004 เป็นสัตว์ที่คล้ายสุนัขจิ้งจอก สีน้ำเงินปนเทา ซึ่งไม่น่าจะมีพิษสงถึงขนาดฆ่าวัวได้ ทำให้ทฤษฎีนี้มีจุดอ่อน

ทฤษฎีที่สาม อธิบายว่า เกิดจากฝีมือของมนุษย์ต่างดาว ยูเอฟโอจะบินมาลอยอยู่เหนือท้องทุ่งแล้วปล่อยลำแสงยกวัวเข้าไปภายในยาน หลังจากนั้นมนุษย์ต่างดาวจะทำการชำแหละวัวเพื่อศึกษาอวัยวะต่างๆ

นักวิจัยยูเอฟโอส่วนใหญ่เชื่อทฤษฎีนี้ บางคนบอกว่าไม่เพียงแต่มนุษย์ต่างดาวจะศึกษาสัตว์โลกเพื่อวัตถุประสงค์ทางชีววิทยาเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้นนี่คือการสื่อสารที่ทำให้มนุษย์รู้สึกกลัว มนุษย์ต่างดาวจงใจจะบอกกับมนุษย์ว่า "นี่คือสิ่งที่พวกเราทำได้และไม่มีทางที่พวกคุณจะหยุดยั้งมันได้ด้วย"


ทว่าทฤษฎีนี้ก็ยังขาดหลักฐานมาสนับสนุนเช่นภาพถ่ายที่น่าเชื่อถือ แม้ว่าจะมีรายงานการกล่าวอ้างว่ามีการพบเห็นปรากฏการณ์แบบนี้นับสิบรายก็ตาม มันจึงเหมือนกับปรากฏการณ์ยูเอฟโออื่นๆ หรือคอร์ปเซอร์เคิล ซึ่งว่าไปก็เป็นเพียงแค่จินตนาการเท่านั้น

การศึกษาปรากฏการณ์นี้ยังมีต่อไปตราบใดที่วัวในท้องทุ่งยังคงตายแบบนี้อีกและจนกว่าจะหาคำตอบได้ แต่ในที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเกิดจากอะไรก็ตาม มันเป็นปรากฏการณ์ที่เจ้าของฟาร์มวัวไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกเลย
ปริศนา UFO ที่เมืองจีน


"ประมาณ 12,000 ปีมาแล้ว สิ่งประหลาด กลุ่มหนึ่งซึ่งมีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว ได้นำยานอวกาศของเขาลงจอดที่นี่..."

"พวกเขาถูกชาวพื้นเมืองตามล่าจนต้องหนี เข้าไปซ่อนตัวอยู่ในถํ้า ต่อมาภายหลังชาวพื้นเมืองกลับนำเครื่อง บรรณาการมา ให้เป็นสัญญาณสันติภาพ"

"เมื่อสิ่งประหลาดกลุ่มนั้นก้าวออกมา จากถํ้าก็ถูกฆ่าตายทันที เพราะว่าพวกเขา น่าเกลียดน่ากลัวเกินไปนั่นเอง..."

ทั้งหมดนี้และอีกมากเป็นข้อความในเอกสาร ซึ่งนักโบราณคดีชาวจีนรวบรวมเขียนขึ้น จากตำนานโบราณ และตีพิมพ์เป็นภาษาเยอรมัน เป็นครั้งแรกในปี 1962 

ว่ากันว่าเป็นเอกสารกล่าวถึงการมาเยือนพิภพ ของมนุษย์ต่างดาวครั้งแรกเริ่มที่สุด และเป็น เอกสารแรกเหมือนกันที่เปิดเผยให้โลกรู้ว่า จานบินและมนุษย์ต่างดาว ก็เคยมาเยือนหลังม่านไม้ไผ่ ด้วยเหมือนกัน

ผู้รวบรวมเขียนเอกสารนี้ขึ้นเป็นศาสตราจารย์ประจำอยู่ที่สถาบันวิจัยก่อนประวัติศาสตร์ ของปักกิ่ง ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือจีนแดงอย่างที่เราๆ เรียกติดปากกัน ศาสตราจารย์ นี้คือ ซัม อัม นุย หรือเขียนเป็น ภาษาฝรั่งว่า Tsum Um Nui
ศาสตราจารย์นุย มีงานประจำอย่างหนึ่งคือ รวบรวมหลักฐานทางประวัติศาสตร์และ ตำนานเก่าแก่ของจีนเป็นหมวดหมู่ แต่งานสำคัญที่สุดของท่านผู้นี้ก็คือแปล และรวบรวมเรื่องราวที่ได้มาจากแผ่นศิลาจารึกโบราณ ซึ่งได้มาจากการขุดสำรวจถํ้าลี้ลับ แห่งหนึ่งในป่าลึกทางตะวันตกของจีน

ก็การสำรวจอันนี้แหละที่นับว่าเป็นการเปิดเผยความลับที่ซุกซ่อนอยู่ตรงนั้นนานนมเต็มทีแล้ว ออกสู่หูตานักปราชญ์จีนเป็นครั้งแรก


ท่านผู้อ่านคงทราบแล้วว่า หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา คนข้างนอกล่วงรู้ความเป็นไปภายในประเทศจีนน้อยเต็มที แม้เมื่อจีนเปิดประตูออกรับ นักท่องเที่ยวเมื่อไม่กี่ปีมานี่แล้ว แต่ความลับต่างๆ ของจีนก็ยังถูกปกปิดอยู่นั่นเอง หลังจากเอกสารของศาสตราจารย์นุยตีพิมพ์ในเยอรมันแล้วก็ไม่มีเอกสารอื่นใดกล่าวถึงการค้นพบ อันสำคัญและน่าสนใจอย่างยิ่งที่ถํ้าลึก ในโขดเขา เปเยง อรา อูลา (Bayan-Kara-Ula Mountain) ของจีนเพิ่มเติมอีกเลย


ภาพนี้ถ่ายโดย Dr. Karyl Robin-Evans ในปี 1947 ระหว่างที่เขาสำรวจชนเผ่าดรอปา เป็นภาพหัวหน้าเผ่าและภรรยา ซึ่งทั้งสองมีส่วนสุงแค่ 4 ฟุต และ 3 ฟุต เท่านั้นเอง ซึ่งผิดจากคนอื่นๆ ในชนเผ่าดรอปาที่สูงเกิน 5 ฟุตทั้งนั้น คาดว่าหัวหน้าชนเผ่านี้แหละคือผู้ที่สืบเชื้อสายมนุษย์ต่างดาว ?
ผู้ค้นพบถํ้าแห่งความลับนี้ เป็นนักโบราณคดีชื่อ ชิ ปู ไต๋ (Chi Pu Tai) เขาเริ่มการสำรวจทาง โบราณคดีในเทือกเขาเปเยง อรา อูลา ในระหว่างปี ค.ศ. 1937-38 อันว่าภูเขานี้อยู่ประชิดติด กับแดนทิเบตเลยเชียวครับ ระหว่างที่ทำการขุดสำรวจอยู่นั่นเอง โปรเฟสเซอร์ไต๋ก็พบถํ้าใหญ่เข้าถํ้าหนึ่ง

"พวกเราคิดว่าในถํ้านั้นคงมีความลับเกี่ยวกับชนเผ่าดรอปา (Dropas) ซุกซ่อนอยู่บ้าง" ศาสตราจารย์ไต๋อธิบาย "จึงพากันดีใจมาก เพราะชนเผ่าดรอปานี้เป็นเผ่าเก่าแก่ก่อน ประวัติศาสตร์ ซึ่งเคยอาศัยอยู่ ในบริเวณเทือกเขานี้เท่านั้น"

แต่สิ่งที่ท่านโปรเฟสเซอร์พบน่ายินดีปรีดาเกินความคาดหมายเสียอีก

แทนที่จะเป็นเศษเครื่องมือเครื่องใช้เก่าแก่ของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ สิ่งที่ประจักษ์แก่ตา คณะนักโบราณคดีกลับลํ้าสมัยและน่าตื่นตามาก

สิ่งแรกที่กระทบสายตาก็คือ จิตรกรรมฝาผนัง ที่เป็นรูปท้องฟ้า มีพระอาทิตย์ พระจันทร์ และดาวต่างๆ ครบครัน มองไปแล้วเหมือนแผนที่ดาราบนฟากฟ้าโดยฝีมือคนสมัยใหม่ยังไงก็ยังงั้น เพราะมันไม่ใช่รูปเขียนหยาบๆ ด้วยฝีมือมนุษย์ถํ้ายุคก่อนประวัติศาสตร์เลย นอกจากฝีมืออันดีเด่นทันสมัยแล้ว การวาดรูปดาวเดือนต่างๆ ยังบอกให้รู้ว่า ผู้วาดมีความรู้ทางดาราศาสตร์พอตัวทีเดียว

คนมีความรู้ที่ไหนกันจะมาเขียน รูปเหล่านั้นไว้ บนผนังและ เพดานถํ้าในป่าลึกเปล่าเปลี่ยว ปราศจากผู้เข้าไปเยี่ยมเยือนนาน นับร้อยนับพันปีมาแล้ว?


เมื่อหมุนจานหินนี้ด้วยเครื่องจักรในลักษณะเดียวกับแผ่นเสียง จานหินจะส่งเสียงครวญครางเหมือนฮัมเพลงออกมาเบาๆ เป็นท่วงทำนองที่แปลกประหลาดเอาการสำหรับหูของมนุษย์อย่างเรา และเมื่อลองส่งกระแสไฟฟ้าผ่านจานหินเหล่านี้ ก็มีปฏิกิริยาตอบสนองทำนองเดียวกับเราปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่านวงจรอิเล็คทรอนิคส์อีกด้วย
ด้วยความตื่นเต้นระคนพิศวงงงงัน คณะนักโบราณคดีขุดพื้นถํ้ากันเป็นการใหญ่ ด้วยความระมัดระวังอย่างเต็มที่ คราวนี้สิ่งที่พบน่าสนใจยิ่งกว่าจิตรกรรมฝาผนังเสียอีก เพราะขุดพบแผ่น ศิลากลมๆ รูปร่างเหมือน จานเสียง จำนวนมากฝังอยู่ที่นั่น อะไรก็ไม่น่าประหลาดเท่าบนแผ่นหินนั้น มีลวดลายเป็นวงตั้งแต่ขอบเข้า ไปถึงจุดศูนย์กลางเหมือนแผ่นเสียงสมัยใหม่ แล้วก็มีอักขระหรือสัญลักษณ์บางอย่างที่ไม่มีใครอ่านออก หรือเคยพบเห็นจารึกอยู่จนเต็ม จำนวนที่ขุดพบนั้นมีมากถึง 716 แผ่น

การขุดค้นยังนำไปสู่สิ่งน่าสนใจมากขึ้นไปอีก เพราะตรงที่ที่พบแผ่นศิลาจารึกนั่นแหละ ศาสตราจารย์ไต๋และ คณะพบหลุมศพจำนวนมาก แน่ละในหลุมย่อมมีศพอยู่ด้วยเป็นของตาย แต่ศพเหล่านั้นนักโบราณคดีเห็นแล้วก็งงเต็กไปตามๆ กัน

ไม่ใช่น่าเกลียดน่ากลัวอะไรนักหนาหรอก เพราะเป็นแค่โครงกระดูกที่ปราศจากเนื้อหนังแล้ว ลักษณะของโครงกระดูกนั่นแหละ ที่น่าประหลาดใจ เพราะเป็นโครงที่แบบบางสเลนเดอร์ เกินมนุษย์ธรรมดา นับว่าไม่ใช่โครงกระดูกของสัตว์หรือคนในตระกูลใดๆ ที่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย กะโหลกศีรษะอันใหญ่โตก็ผิดส่วนกับขนาดร่างกายอย่างเห็นได้ชัดเจนว่า ไม่เหมือนมนุษย์มนากะเขาเลย

มันย่อมต้องไม่ใช่โครงกระดูกของชนก่อนประวัติศาสตร์ดรอปา หรือชนชาวพื้นเมืองเผ่าไหนๆ ของดินแดนแถบนี้แน่นอน เพราะชนพื้นเมืองเผ่าต่างๆ ของจีนโบราณล้วนแต่มีรูปร่างสูงใหญ่ และขนาดศีรษะ ธรรมดาๆ ทั้งนั้น

ลักษณะของโครงกระดูกเหล่านี้คล้ายคลึงกับกระดูกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่บินได้ หรือสิ่งที่มีชีวิตที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมซึ่งมีความดึงดูดตํ่า?

ลวดลายบนแผ่นหินปริศนา ที่ Dr. Karyl Robin-Evans ได้คัดลอกเอาไว้
อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์ไต๋และคณะได้พากันออกจากถํ้าสำคัญนั้นกลับสู่ปักกิ่ง โดยไม่มีรายงานเพิ่มเติมถึงการค้นพบดังกล่าว ไม่มีใครทราบว่าเขานำโครงกระดูก และแผ่นศิลาจารึก ติดตัวไปด้วยทั้งหมด หรือทิ้งไว้ในถํ้าลึกลับมืดตื๋อของเทือกเขาพรมแดนนั้น? โครงกระดูกอันแปลกประหลาดผิดมนุษย์มนาก็ดูเหมือนหายสาบสูญไปเลย...สูญจากความทรงจำ และความรับรู้ของผู้สนใจ เพราะไม่มีใครกล่าวถึงมันอีกเลย

อย่างไรก็ตาม ในตำนานเก่าแก่โบรํ่าโบราณของจีนกล่าวถึงมนุษย์ผิวเหลืองตัวน้อย หรือ "Little Yellow Creatures" ซึ่งมีหัวโตตัวเล็กไว้ด้วยเหมือนกัน แต่เป็นมนุษย์ที่ลงมาจาก สวรรค์ ไม่ใช่คนธรรมดา และยังมีตำนานประจำท้องถิ่นอันเก่าแก่กว่านั้นอีก กล่าวถึงสิ่งมีชีวิตที่สูญเสีย "ยาน" ของพวกเขาบนภูเขาสูงของจีน จนไม่อาจซ่อมแซมได้... ชะรอยจะเป็นภูเขาเปเยง อรา อูลา ที่พบซากดึกดำบรรพ์นี้เสียละกระมัง?

บรินสลีย์ เลอ โปเอร์ เทร้นช์ เจ้าของทฤษฎี "โลกกลวง" กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เขาเคยพบเอกสารโบราณมากของจีน กล่าวถึงมนุษย์มีผิวกายสีอ่อน ซึ่งลงมาเยือนพิภพจากดวงจันทร์


ภาพศพมนุษย์ตัวจิ๋วที่ Dr.Chi Pu Tai ได้ค้นพบบริเวณถ้ำ
อย่างไรก็ตาม นักจานผีวิทยาที่ค้นคว้าเรื่องนี้จับเอาตำนานเก่าแก่ของมนุษย์จากโลกอื่น ซึ่งคนจีนจดบันทึกไว ้เป็นเรื่องราวโบราณกับโครงกระดูกมนุษย์ในถํ้าเทือกเขาทิเบตมารวมกัน กลายเป็นตำนานของมนุษย์ต่างดาวที่มาเยือนโลกและยานอวกาศประสบอุบัติเหตุ กลับบ้านเกิดไม่ได้ ก็เลยต้องอาศัยอยู่ในถํ้านั่นไป

ความลับในเรื่องนี้ก็คือ เจ้าของโครงกระดูกประหลาดในถํ้านั้นเป็นมนุษย์ต่างดาวที่เดินทาง มาจากโลกอื่นจริงๆ หรือ?
ไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้ นอกจากจะนำเอาโครงกระดูกเหล่านั้นมาตรวจวิเคราะห์ ตามกรรมวิธีชันสูตรแบบสมัยใหม่เสียก่อน แต่ใครล่ะจะทำอย่างนั้นได้ ในเมื่อเจ้าของประเทศไม่เปิดเผยวี่แววเรื่องนี้ออกมาเลย


แผ่นหินปริศนา
อย่างไรก็ตาม (อีกที) มีรายงานเพิ่มเติม เกี่ยวกับแผ่นศิลารูปเหมือน จานที่จารึกอักขระประหลาดนั้นบ้าง กล่าวคือ มีผู้วิเคราะห์วิจัยดูแล้วปรากฏว่า มันไม่ใช่หินแท้ แต่มันเป็นส่วน ประกอบของหินแกรนิตกับโคบอลต์ อันว่าหินแกรนิตนี้เป็นหินอัคนีที่แข็งมาก ประกอบด้วยซิลลิเคทเป็นส่วนใหญ่ ส่วน โคบอลต์ เป็นส่วนประกอบของโลหะ ที่มีคุณสมบัติ เป็นแม่เหล็กด้วยการผสม ผสานกันอย่างนี้ ทำให้แผ่นจารึกอยู่ยง คงกระพันต่อ สภาพธรรมชาติ ของสิ่งแวดล้อมได้นานเท่านาน

มีข่าวเล่าลือไปต่างๆ นานาเกี่ยวกับแผ่นหินกลมนี้ บ้างก็ว่ามันมีคุณสมบัติพิเศษ คือชาร์จไฟได้ในตัว และบ้างก็ว่ามันมีปฏิกิริยาต่อเสียงและความถี่ของเสียงด้วยครับ บางคนอธิบายเสริมว่า มันไม่ใช่แผ่น ศิลาธรรมดา แต่เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของ มนุษย์ที่มีความเจริญทางวิทยาการสูงต่างหากเล่า
แน่นอนที่เชื่อได้แหงๆ ก็คือ แผ่นดินกลมอันมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 ฟุตครึ่ง และหนาเกือบ 1 นิ้ว นี้ย่อมไม่ใช่ผลงานของชนก่อนประวัติศาสตร์ดรอปา คนด้อยพัฒนาเหล่านั้น ต้องไม่รู้วิธีกะเทาะหินอัคนีชนิดนี้ออกมาและตกแต่งเป็นรูปกลมดิกได้อย่างนั้นเป็นแน่ จึงคิดกันไปว่าผู้ที่นำหินแกรนิต ผสมโคบอลต์มาใช้นี้ คงจะเป็นคนที่รู้จักคุณสมบัติของมันมาก่อน ซึ่งก็คงได้แก่มนุษย์ต่างดาวที่ยานมาตกในเทือกเขานั้นแหละเป็นผู้ค้นพบ และนำมาทำเป็นแผ่นจารึกด้วยความมุ่งหมายบางประการ บางทีข้อความที่จารึกอยู่ในนั้น อาจเป็นเทคโนโลยีและวิชาการที่มนุษย์ต่างดาวจารึกลงไว้ก็ได้ หรือไม่ก็เป็นจดบันทึก ประจำวันที่มนุษย์เหล่านั้น บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกมนุษย์ ตลอดเวลาที่ยานอับปางนั้นเอง

ศาสตราจารย์ซัม อัม นุย ผู้ศึกษาแผ่นจารึกที่นักโบราณคดีขุดมาได้นี้อย่างอุทิศทุกสิ่งทุกอย่าง ในที่สุดก็พอจะเข้าใจความหมายของแผ่นจารึกแผ่นหนึ่งได้ เขาได้นำข้อความมาเปรียบเทียบ กับพงศาวดารและตำนานโบราณดึกดำบรรพ์เห็นว่า ข้อความไปกันได้ดังนี้

"ประมาณ 12,000 ปีมาแล้ว..." (เป็นข้อความในพงศาวดารจีนครับ)

"...กลุ่มสิ่งประหลาดซึ่งน่าเกลียดน่ากลัว..." (เป็นตำนานประจำเผ่าดรอปา)

"...ได้นำยานอวกาศของเขาลงจอดเพราะว่า..." (เป็นการตีความหมายจากแผ่นศิลาจารึกน่ะครับ เหตุผลของการลงจอดไม่ได้ระบุไว้)

"...พวกเขาถูกชาวพื้นเมืองตามล่าจนต้องหนีเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ..." (เป็นตำนานท้องถิ่น)

"...ต่อมาภายหลัง ชาวพื้นเมืองกลับนำเครื่องบรรณาการ มาให้เป็นสัญญาณสันติ..." (ตีความจากแผ่นศิลาจารึก)

"...เมื่อพวกเขาโผล่ออกมานอกถํ้าก็ถูกฆ่าตายทันที เพราะว่าพวกเขาน่าเกลียดน่ากลัวเกินไป..." (จากตำนานของท้องถิ่น)

ศาสตราจารย์ซัม อัม นุย บอกว่า เขาสามารถตีความหมายของจารึกได้แผ่นเดียว ส่วนจารึก แผ่นอื่นๆอีก 715 แผ่นนั้น ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน จึงมีข่าวลือว่า โซเวียตรัสเซียได้มาแอบขน ไปมอสโกแล้ว ซึ่งตามความจริงน่ะเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะนอกจากจีนแดงกับโซเวียต จะตึงเครียดต่อกัน ทางการเมืองแล้ว การขนแผ่นหินแกรนิต หนักอึ้งกว่า 30 ตัน ข้ามเขากลับไปรัสเซียนั้นทำได้ยากเย็น เหมือนเข็นครกขึ้นเขาจริงๆ

จากโครงกระดูกอันแปลกประหลาด ผิดมนุษย์ในถ้ำบนเขาสูง บางส่วนจากพงศาวดารดึกดำบรรพ์ บางตอนของตำนานท้องถิ่น และส่วนน้อยที่ตีความได้จากแผ่นศิลาจารึกนำมารวมกันเข้า ดังข้อความที่ปรากฏอยู่นี้ ก็ทำให้ ศาสตราจารย์ซัม อัม นุย เขียนถึงประวัติการมา ประสบอุบัติเหตุยานอวกาศตก ในโลกของ มนุษย์ต่างดาวได้ชัดเจนพอควร

สิ่งน่าคิดต่อมาก็คือ ถ้ามีมนุษย์ต่างดาว มาอยู่บนถ้ำ แห่งเทือกเขาเปเยง อรา อูลา หลายคนจริงแล้ว เขาก็น่าจะแพร่พันธุ์ต่อๆ มา ณ ดินแดน ที่ไม่มีใคร ย่างกรายเข้าไปนั้น ได้อย่างปราศจากการรบกวน ใครจะรู้ว่าสืบมาจนถึงสมัยใหม่นี้ ลูกหลานของมนุษย์ต่างดาวที่แพร่พันธุ์ กันต่อมาอาจจะยังคงอาศัยอยู่ ณ ดินแดนลี้ลับ แห่งนั้นก็ได้!

ก่อนจบ ขอตบท้ายด้วยข้อเขียนของนักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส อังเดร มิโกต์  ซึ่งเขาผู้นี้ได้สำรวจหาโบราณวัตถุในเทือกเขาเปเยง อรา อูลา เหมือนกัน แต่ผลที่ได้รับยัง ไม่เปิดเผย แต่สิ่งที่เปิดเผยก็คือเรื่องประหลาดที่เขาประสบในเช้าวันหนึ่ง

"ผมตื่นแต่เช้าขี่ม้าขึ้นไปบนชะง่อนเขาเพื่อชมธรรมชาติ" มิโกต์เล่า"ทุกสิ่งรอบตัวสงบงาม อยู่ในยามเช้าอันสดชื่น แต่ทันทีทันใดนั้นผมก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ เมื่อได้ยินเสียงหนึ่งแผดดัง ขึ้นในความเงียบห่างออกไปข้างหน้า"

"มันไม่ใช่เสียงของสิ่งที่หูเราเคยได้ยินเลยครับ ไม่ใช่เสียงลม เสียงสัตว์ เสียงคน หรือเสียงธรรมชาติอะไรทั้งนั้น เป็นเสียงที่บอกไม่ถูกเพราะไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ม้าของผมก็ตกใจจนหกหน้าหกหลัง ผมต้องรีบลงจากหลังของมัน พอเสียงนั้นสงบเงียบไป ทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ ม้าของผมก็หายตื่น"
อังเดร มิโกต์ ได้ยินเสียงอะไรกันแน่ครับ...เสียงของมนุษย์ต่างดาวใช่หรือไม่?

เพราะว่าจุดที่เขายืนชมวิวและ ได้ยินเสียงประหลาดนั่นน่ะมันเป็นจุดที่ ศาสตราจารย์ ไต๋ขุดพบแผ่นหินจารึกอักขระประหลาดพอดิบพอดีนี่เอง ?!

หลากหลายเผ่าพันธุ์ มนุษย์ต่างดาว

หลากหลายเผ่าพันธุ์ มนุษย์ต่างดาว




เป็นข่าวที่สร้างความสนใจให้กับคนไทยมากที่เดียวกับการพบเห็นสิ่งที่อาจจะเป็น "มนุษย์ต่างดาว" กลางทุ่งนาของชาวบ้าน บ้านห้วยน้ำราก หมู่ 5 ตำบล จันจว้า อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงรายหลายสิบคน เมื่อเช้าของวันที่ 3 กันยายน 2458
ชาวบ้านบอกว่าสิ่งที่เห็นคล้ายคนแคระ สูงประมาณ 70 เซนติเมตร ผิวสีน้ำตาลเทา ศรีษะกลมโต ไม่มีจมูก ปากเล็กบาง หน้าอกแบนราบ วนเวียนอยู่ในทุ่งนาเหมือนจะหาอะไรบางอย่างนานนับชั่วโมง หลังจากนั้นลอยตัวหายไปในท้องฟ้า


เรื่องราวของยูเอฟโอและมนุษย์ต่างดาวเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในทรรศนะของนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ แต่กลับเป็นเรื่องจริงของคนกลุ่มหนึ่ง คนกลุ่มนี้คือ นักยูเอฟโอวิทยา หรือ นักวิจัยยูเอฟโอ
ข้อมูลมหาศาลจากการศึกษาคนที่อ้างว่าเคยเผชิญหน้ากับมนุษย์ต่างดาวและ "เหยื่อ" ที่ถูกลักพาตัวจำนวนมากของนักวิจัยยูเอฟโอ ทำให้พวกเขาสามารถบอกรูปพรรณสัณฐานและจำแนกเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ต่างดาวซึ่งบุกรุกโลกเราได้อย่างละเอียด


มนุษย์ต่างดาวมีมากถึงสามเผ่าพันธุ์และยังแยกย่อยอีกหลายสปีซีส์
นักวิจัยยูเอฟโอรู้จักมนุษย์ต่างดาวเผ่าพันธุ์แรกจากเหตุการณ์จานบินตกที่รอสเวลล์ นิวเม็กซิโก เมื่อปี 1947 เหตุการณ์ในครั้งนั้นเป็นเหตุให้มนุษย์ต่างดาว 4 คนเสียชีวิตและอีก 1 คนรอดมาได้ แต่ก็มีชีวิตอยู่จนถึงปี 1952 เท่านั้น

อ้างกันว่า แม็ก บราเซล พยานคนสำคัญของเหตุการณ์รอสเวลล์ พูดถึงมนุษย์ต่างดาวที่รอสเวลล์ไว้ว่า "คุณก็รู้ว่าทุกๆ คนคิดว่าชาวอังคารคือมนุษย์สีเขียวตัวเล็กๆ แต่จริงๆ แล้ว พวกเขาไม่ใช่สีเขียว"


และว่ากันว่าซากศพของมนุษย์ต่างดาวทั้งหมดและมนุษย์ต่างดาวที่ยังมีชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในฐานทัพอากาศ ไรต์ แพตเตอร์สัน เมือง เดย์ตัน รัฐโอไฮโอ และที่แอเรีย 51 ทะเลสาปกรูม รัฐเนวาดา เพื่อการศึกษาและสร้างยานเลียนแบบจานบิน

มนุษย์ต่างดาวเผ่าพันธุ์นี้เรียกกันว่าพวก เกรย์(Greys) ตามสีของผิวหนังซึ่งมีสีเทา เกรย์มีลักษณะคล้ายมนุษย์(Humanoid) มีขนาดเล็กและผอมบาง สูงประมาณ 3.5-4.5 ฟุต ผิวสีเทา มีสามหรือสี่นิ้ว ศรีษะใหญ่ ไม่มีผม ดวงตาสีดำขนาดใหญ่ โพรงจมูกและริมฝีปากเล็ก ไม่มีหู และมีเลือดสีขาวเหลือง


นักวิจัยยูเอฟโอรู้จักเกรย์มากขึ้นจากเหตุการณ์ลักพาตัว บาร์นี่ และ เบ็ตตี้ ฮิลล์ ชาวอเมริกันที่นิวแฮมเชียร์ เมื่อปี 1961ซึ่งเป็นเหตุการณ์ลักพาตัวมนุษย์ครั้งแรกของโลกที่ถูกบันทึกไว้

จากการสะกดจิตบาร์นีและเบ็ตตี้ ฮิลล์ทำให้รู้ข้อมูลว่าพวกเกรย์มาจากระบบดาว "เซตา เรติคูลิ" ในระบบดาวเซตาเรติคูแลน(เบอร์นาร์ด สตาร์) ใกล้กลุ่มดาวโอไรออน(Orion) หรือกลุ่มดาวนายพรานหรือกลุ่มดาวเต่า


พวกเกรย์มีสามสปีซีส์ สปีซีส์แรกคือ GREY TYPE A คือพวกที่เสียชีวิตจากจานบินตกที่รอสเวลล์และพวกที่ลักพาตัวบาร์นี่และเบ็ตตี้ ฮิลล์

สปีซีส์ที่สอง คือ GREY TYPE B มีโครงสร้างคล้ายสปีซีส์แรก แต่มีความสูงถึง 7-8 ฟุตและมีจมูกที่ใหญ่ มาจากกลุ่มดาวโอไรออน พบเห็นที่ทางตะวันออกของรัสเซียเมื่อไม่นานมานี้

สปีซีส์ที่สาม คือ GREY TYPE C เป็นพวกที่ตัวเล็กที่สุด สูงเพียง 3.5 ฟุต มีโครงสร้างที่คล้ายสปีซีส์แรกมากที่สุดซึ่งอาจจะสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน มาจากดาวเบลลาแทร็ก ในกลุ่มดาวโอไรออน


เกรย์เป็นปฏิปักษ์กับมนุษย์อย่างชัดแจ้ง และมนุษย์ต่างดาวพวกที่ลักพาตัวมนุษย์มากที่สุดคือเกรย์ เผ่าพันธุ์นี้สนุกสนานไปกับการนำมนุษย์ไปทดลอง และชอบศึกษาระบบการสืบพันธ์ของมนุษย์ และยังเป็นพวกที่ชอบชำแหละวัวเพื่อนำอวัยวะไปศึกษาด้วย


ภาพวาดมนุษย์ต่างดาว เผ่าพันธ์นอร์ดิกจาก คำบอกเล่าของทราวิส วอลตัน
มนุษย์ต่างดาวเผ่าพันธุ์ที่สองคือ นอร์ดิก (Nordics) นอร์ดิกมีรูปร่างหน้าตาคล้ายมนุษย์มาก แต่สูงใหญ่กว่ามนุษย์ทั่วๆไป มีดวงตาสีน้ำเงิน ผมสีบลอน ว่ากันว่าถ้าเจอพวกนอร์ดิกในท้องถนนจะไม่รู้เลยว่านี่คือมนุษย์ต่างดาว นอร์ดิกมีสามสปีซี่ส์เหมือนพวกเกรย์


สปีซีส์แรกคือ HUMAN TYPE A มีพันธุ์กรรมคล้ายมนุษย์ สูงราว 5-6 ฟุต ผิวสวยและมีผมสีบลอนซ์ นอร์ดิกพวกนี้จะทำงานรับใช้หรือเป็นลูกมือพวกเกรย์ในการลักพาตัวมนุษย์

สปีซีส์ที่สอง HUMAN TYPE B มีพันธุ์กรรมคล้ายมนุษย์เช่นเดียวกับสปีซีส์แรก นักวิจัยยูเอฟโอเชื่อว่าพวกนี้รับใช้พวกเกรย์เหมือนพวกแรก แต่มีความเป็นมิตรกับมนุษย์

สปีซีส์ที่สาม HUMAN TYPE C นักวิจัยยูเอฟโอบอกว่ายังรู้จักพวกนี้น้อยมากแต่รู้ว่าสปีซีส์นี้มีความเป็นมิตรกับมนุษย์และพยายามขัดขวางการกระทำของพวกเกรย์เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ นอร์ดิกสปีซีส์นี้ทำสงครามกับพวกเกรย์มาอย่างยาวนาน

ผู้ถูกลักพาตัวหลายคนเล่าว่าเห็นพวกเกรย์ทำงานร่วมกับพวกนอร์ดิก อย่างเคส การลักพาตัวทราวิส วอลตัน เขาเห็นทั้งพวกเกรย์และนอร์ดิกอยู่ในยานลำเดียวกัน
เรื่องราวของวอลตันเป็นที่สนใจของคนอเมริกันจำนวนมาก จนกระทั่งบริษัทพาราเมาต์พิคเจอร์ต้องนำไปสร้างเป็นภาพยนต์ในปี ค.ศ.1993



โดนัลด์ วอร์ลีย์ นักวิจัยการลักพาตัวเล่าว่า จากประสบการณ์ 38 ปี ในศึกษาการลักพาตัว จำนวน 150 เคส พบว่าเป็นการลักพาตัวโดยพวกนอร์ดิกถึง 50 เคส วอร์ลีย์บอกว่านอร์ดิกคล้ายมนุษย์ มีใบหน้าสวยงามรูปทรงเป็นเหลี่ยม สูงมากกว่า 7 ฟุต ผมยาวสีบลอนซ์ ตาสีน้ำเงิน สวมชุดรัดรูปและมีเสื้อคลุม ส่วนใหญ่พบเห็นแต่เพียงเพศชาย ไม่ค่อยพบเพศหญิงและเด็กๆ

วอร์ลีย์ยังบอกว่า พวกนอร์ดิกเตือนผู้ถูกลักพาตัวหลายรายว่า จะเกิดมหาภัยพิบัติกับโลกใน ปี 2012


ลักษณะรูปร่างของนอร์ดิกที่คล้ายมนุษย์ทำให้เกิดคำถามว่า มนุษย์มีกำเนิดและวิวัฒนาการบนโลกนี้จริงหรือ เราอาจจะเป็นเผ่าพันธ์เดียวกับพวกนอร์ดิกที่มาจากดาวเคราะห์ดวงอื่นหรือไม่?



ภาพวาดมนุษย์ต่างดาว เผ่าพันธุ์เรพทิเลี่ยน
มนุษย์ต่างดาวเผ่าพันธุ์ที่สามคือ เรพทิเลียน( Reptilians) มีลักษณะคล้ายสัตว์เลื้อยคลาน หน้าตาคล้ายกิ้งก่า แต่เดินสองขา สูง 6-8 ฟุตมีเกล็ดสีเขียว ดวงตาขนาดใหญ่สีเหลืองหรือสีทอง ผู้พบเห็นหลายคนรายงานว่าเรพทิเลียนสวมหมวกครอบ(Hood)

แอนโธนี ดอดด์ นักวิจัยการลักพาตัวผู้มีชื่อเสียงของสหราชอาณาจักรและอดีตนายตำรวจเผยผลการวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้ว่า การลักพาตัวมนุษย์เป็นฝีมือของพวกเกรย์ประมาณ 75-80% และอีก 20-25% เป็นฝีมือของพวกนอร์ดิกและเรพทิเลียน

อย่างไรก็ตามนักวิจัยยูเอฟโอบางคนก็เชื่อว่า ยังมีมนุษย์ต่างดาวเผ่าพันธุ์อื่นๆ อีก ที่เรายังไม่รู้ ฮาหมัด จามาลูดิน นักวิจัยยูเอฟโอวิทยาที่มีชื่อเสียงของมาเลเซียเคยตั้งข้อสังเกตว่า ส่วนใหญ่ของยูเอฟโอและมนุษย์ต่างดาวที่พบในมาเลเซียมีขนาดเล็กเมื่อเปรียบเทียบกับที่พบในประเทศตะวันตก


ท่านเชื่อเรื่องเหล่านี้หรือไม่? แต่ก่อนตัดสินใจมาฟังคำพูดของ สตีเฟน ฮอกิ้ง นักวิทยาศาสตร์คนดังกันก่อน ฮอกิ้งเขียนไว้ในหนังสือประวัติย่อของกาลเวลา (A Brief History of Time) ว่า

"บางคนอาจจะบอกว่า การปรากฏตัวของสิ่งที่เรียกว่ายูเอฟโอ คือหลักฐานบ่งชี้ถึงการมาเยือนของมนุษย์ในอนาคตหรือมนุษย์ต่างดาว แต่สำหรับผมคิดว่า การเดินทางมาเยือนโลกของมนุษย์ต่างดาวหรือมนุษย์ในอนาคตน่าจะเป็นไปอย่างเปิดเผย และเป็นสถานการณ์ที่ไม่น่ายินดีเท่าใดนัก ถ้าหากพวกเขาต้องการเปิดเผยตัว ทำไมถึงเลือกปรากฏตัวในสถานการณ์หรือบุคคลที่ถูกประเมินว่าไม่อาจเชื่อถือได้ และถ้าหากพวกเขาพยายามเตือนเราเกี่ยวกับมหันตภัย วิธีการเช่นนี้คงใช้ไม่ได้ผล"

ปริศนา UFO จากภาพศิลปะโบราณ

ปริศนา UFO จากภาพศิลปะโบราณ




ภาพทั้งหมดถูกเขียนขึ้นนานหลายร้อยปีมาแล้ว ช่างเขียนเอาแบบยานบินลึกลับ และไม่ปรากฏสัญชาติจากไหนมาเขียน ?




The Annunciation with Saint Emidius (1486) by Carlo Crivelli, National Gallery, London. Look at the sky. A disk shaped object is shining a pencil beam of light down into Mary"s crown chakra.



The Baptism Of Church (1710) by Aert De Gelder, Fitzwilliam Musuem, Cambridge. A disk shaped object is shining beams of light down on John the Baptist and Jesus.




The Madonna with Saint Giovannino (the 15th century) by Domenico Ghirlandaio, part of the Loeser collection in the Palazzo Vecchio. Above Mary"s right shoulder is a disk shaped object. Below is a blow up of this section. A man is standing with his dog and looking at the sky and an object.


ภาพขยาย "The Madonna with Saint Giovannino" ส่วนที่มีจานบินปรากฏ



Glorification of the Eucharist (1600) by Bonaventura Salimbeni. It hangs in church of San Lorenzo in San Pietro. It looks like some kind of Sputnik satellite device.


ขยายดูชัดๆ เหมือน "Sputnik ๑" รึเปล่าครับ

"Sputnik ๑" ของจริง



ยานบินชนิดต่างๆ ที่ถูกบันทึกไว้ใน "New Kingdom Temple" ที่ประเทศอิยิปต์ เมื่อนำมาเทียบกับยุคปัจจุบัน

Ancient Egyptian Flying Vehicles: These images were found on the ceiling beams of a 3000-year old New Kingdom Temple, located several hundred miles south of Cairo and the Giza Plateau, at Abydos.

ภาพขยาย

เริ่มจาก Helicopters (อดีต)


ปัจจุบัน


ตามมาด้วย Submarine

Submarine (1940s)

ต่อด้วย Glider

Glider  (Star Wars)

ปิดท้ายด้วยเรือเหาะ หรือ UFO?

Zeppelin - Hindenburg !!!