THE NATURAL OF REVENGE: 03/01/2014 - 04/01/2014

วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557

ความจริงเกี่ยวกับ ลัดดาเเลนด์

ลัดดาแลนด์ เป็นสวนพฤกษศาสตร์ ผสมผสานกับลานแสดงศิลปวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ ในราวปี พ.ศ. 2512 เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง ประกอบด้วย สวนสนุก การแสดงมหรสพต่างๆ ตั้งอยู่ริมถนนเลียบคลองชลประทาน ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีเจ้าของ คือ พลตรีประดิษฐ์ พันธาภา และนางลัดดา พันธาภา
ปัจจุบันลัดดาแลนด์ มีสภาพเป็นป่ารกร้าง จนกลายเป็นแหล่งมั่วสุมของพวกติดยา กลุ่มวัยรุ่นที่ชอบลองของ ในจังหวัดเชียงใหม่ ตลอดจนเป็นที่สนใจของกลุ่มผู้ที่มีความเชื่อเรื่องผี และมักจะถูกกล่าวถึงในเรื่องความลี้ลับ เรื่องสยองขวัญ จนถูกนำเรื่องราวมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง ลัดดาแลนด์ มีกำหนดออกฉายในปี พ.ศ. 2554


http://board.postjung.com/data/517/517458-topic-ix-0.jpg


หากใคร เคยเดินทางมาจังหวัดเชียงใหม่ หรือ เป็นชาวเชียงใหม่ ที่เคยผ่านเส้นทาง "คลองชลประทาน" ทางฝั่งศูนย์ราชการจังหวัด
และสนามกีฬาสมโภช 700 ปี คงจะผ่านตากับที่ดินรกร้างข้างทางปกคลุมด้วยไม้หญ้า ท่ามกลางบรรยากาศรกๆน่ากลัวๆ
ตั้งอยู่บนกิโลเมตรที่ 4 ของถนนสายห้วยแก้ว อยู่ห่างจากสี่แยกห้วยแก้วซึ่งจะสามารถไปมหาวิยาลัยเชียงใหม่ราว 2 กิโลเมตร
    ...ที่มีชื่อว่า...
    "ลัดดาแลนด์"

http://board.postjung.com/data/517/517458-topic-ix-1.jpg

จะพบว่าที่รกร้างนั้น คือสถานที่ "เฮี้ยน" ...อาถรรพ์ที่สุดล่อหลอกวัยรุ่นจำนวนมาก มาลองความกล้า
เพื่อท้าพิสูจน์ผีกันมากที่สุดในจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีคำพูดเปรียบเปรยกันในหมู่เด็ก ๆ
หรือวัยรุ่นที่มีความกล้าแล้วบ้าบิ่นว่า "หากใครที่ชอบเรื่องผี ไม่มาลัดดาแลนด์ก็แสดงว่ามาไม่ถึงเชียงใหม่ !?"
       ลัดดาแลนด์ จึงเป็น "ความทรงจำอันงดงาม" ของชาวเชียงใหม่ในยุค 2520
ด้วยโครงการจัดสรรอันยิ่งใหญ่ของผู้หญิงท่านหนึ่ง อ้างกันว่าคือ "คุณนายลัดดา" 
นักธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งสามีของท่านคือนายทหารผู้เป็นเจ้าของกิจการ "โรงหนังเวียงพิงค์"
  ด้วยการเล็งเห็นศักยภาพของที่ดินรกร้างผืนใหญ่อยู่ใกล้ "ทางขึ้นดอยสุเทพ" พื้นที่ผืนนี้จึงถูกพัฒนาให้เป็น
"อุทยานการท่องเที่ยวขนาดใหญ่" ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ซึ่งในยุดนั้นยังไม่มีสถานที่ใดโดดเด่นเท่า

http://www.chiangmaiparamotor.com/forum/index.php?PHPSESSID=40cb4adfbb8ac8307116ba6013c81438&action=dlattach;topic=493.0;attach=6033;image
        
แล้วโครงการขนาดใหญ่ที่ครองใจผู้คนในยุคนั้นก็เกิดขึ้น ด้วยการจัดศูนย์แสดงสาธิต ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น
ทั้งพิพิธภัณฑ์ชาวเขาการทำเครื่องเขิน การแกะสลักไม้ การทอผ้าไหม การแสดงฟ้อนรำต่าง ๆ
ภายใต้การควบคุมของคณะ วัดเจ้าพ่อเม็งราย อันโด่งดังรวมไปถึงมัดใจเด็ก ๆ และครอบครัว
ด้วยการให้บริการ ช้าง ม้า และรถไฟเล็กให้นั่ง ด้วยค่าบริการปนะมาณ 8 หรือ 10 บาท
  "น้ำมะเกี๋ยง" (น้ำลูกหว้า) เป็นที่แรกและเป็นเอกลักษณ์ของสถานที่แห่งนี้
รวมทั้งมีการเปิดเพลงของคณะ ดิอิมพอสลิเบิ้ลซึ่งโด่งดังในขณะนั้นเกือบตลอดทั้งวัน




    สิ้งที่เป็นที่เชิดหน้าชูตาและโดดเด่นที่สุดของสถานที่แห่งนี้ ได้แก่ สวนดอกไม่เมืองหนาวพันธุ์ต่างประเทศ
และ  "รังกล้วยไม้"(สวนกล้วยไม้) ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ ตระการตาด้วยพันธุ์พื้นเมืองและต่างประเทศกว่าร้อยชนิด
ทำให้สถานที่แห้งนี้มีผู้มาเที่ยวชมกันเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว โดยมีบ้านขนาดใหญ่ของคุณนายลัดดา
ซึ่งปลูกอยู่ใกล้ ๆ ประตูทางเข้าลัดดาแลนด์เป็นเสมือนสิ่งบ่งชี้กำไรจากผลประกอบการ
       
http://board.postjung.com/data/517/517458-topic-ix-2.jpg
         
ทว่าไม่มีสิ่งใดยั่งยืนหรือคงอยู่ตลอดกาล "เมื่อบ้านเมืองต้องพัฒนา"
 ความเจริญของวิถีชีวิตและการเข้ามาของศูนย์การค้าในท้องถิ่น
ส่งผลให้สถานที่แห่งนี้ เป็นเพียง "ที่เก่า ๆ " ซึ่งไม่มีความหมายสำหรีบผู้คนอีกต่อไป

      "ต้นไทรใหญ่" บริเวณทางเข้า ที่หนุ่มสาวยุคนั้น ต่างเชื่อว่าถ้าหากพาคนรักมาบนบานศาลกล่าวจะทำให้ครองรักกันตลอด
ชีวิต..ไม่มีความหมายและความสำคัญเท่าสถานที่นัดพบแห่งใหม่ ได้แก่ โรงภาพยนตร์ ลานสเกต และ ห้างสรรพสินค้า
   ...ม้า และ ช้าง ซึ่งหลายครอบครัวเคยนั่ง เคยขี่ ถูกทยอยขายออกไป ขณะที่คนงานถูกเลิกจ้างไปเป็นจำนวนมาก และสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ
ไม่มีการดูแลหรือซ่อมบำรุงเพราะขาดสภาพคล่องทางด้านการเงิน ปิดฉากตำนาน "ลัดดาแลนด์" แดนแห่งความทรงจำในวันชื่นคืนสุข


  บ้านของคุณนายลัดดาที่ผู้คนต่างชื่นชม ถูกทิ้งร้าง และ ปล่อยให้ผุพังบุบสลายตามกาลเวลา..เพื่อเปิด
"ตำนานแห่งใหม่แห่งความสยอง"
ที่ชาวเชียงใหม่พรั่นพรึง !...

http://board.postjung.com/data/517/517458-topic-ix-3.jpg

        ปัจจุบันที่แห่งนี้ยังคงมีผู้มาแวะเวียนเยี่ยมชมอยู่สม่ำเสมอ...เพียงแต่ว่าเป็นการ "พิสูจน์ผี"
เด็กหนุ่ม และ คนรุ่นใหม่จำนวนมากต่างมาทดสอบความกล้าในสถานที่ร้างแห่งนี้
  บ้านที่หลาย ๆ คนบุกบั่นป่าหญ้า และ "การซ่องสุม-มั่วสุม" ของพวกขี้ยาอันตรายเพื่อพิสูจน์ผี ด้วยหลงเข้าใจว่า

    เป็นบ้านที่เกิดฆาตรกรรมยกครัว ทำใหครอบครัวที่อยู่ใกล้ ๆ กับบ้านหลังนี้ ได้ยินเสียงร้องไห้
เสียงร้องขอความช่วยเหลือ และเสียงหัวเราะ! แม้กระทั่งพบกับครอบครัวผู้ตายออกมายืนหน้าบ้าน หรือ รดน้ำต้นไม้
ทำให้ตอนเที่ยงคืนจนถึงเช้าไม่มีใครที่จะกล้าออกจากบ้านเลย จนนานวันวิญญาณเฮี้ยนก็ได้ตามมาหลอกหลอนถึงบ้าน

http://board.postjung.com/data/517/517458-topic-ix-4.jpg

   หรืออีกประเด็นกล่าวว่าเกิดโจรปล้นทั้งหมู่บ้าน จนรกร้างรวมทั้งเรื่องสยอง เมื่อชาวต่างชาติคนหนึ่ง
ซื้อบ้านหลังหนึ่งในโครงการจัดสรรนี้ไว้ แต่จะเดินทางกลับมาพักในทุกฤดูหนาว จึงว่าจ้างเด้กสาวพม่าคนหนึ่งมาดูแลบ้าน
แต่ก็โชคร้ายเมื่อมีฆาตรกรโรคจิตบุกมาฆ่าและปล้นทรัพย์สิน แล้วหมกศพเก็บไว้ในห้องเก็บของใต้บันได กว่าจะมาพบก็ผ่านเกือบ 2 เดือน
ในช่วงเวลานั้นเพื่อนบ้านก้พบหญิงสาวคนนั้นประจำ แต่เมื่อบ้านข้างเคียงได้กลิ่นเหม็นเ่น่าโชยออกจากบ้าน จึงบอกให้เธอทำความสะอาดเพราะอาจมีหนูตาย แต่แล้วกลับพบว่าไม่มีเด้กสาวอยู่ในบ้านดังที่เห็นมากว่า 2 เดือน
ด้วยความสงสัยจึงเปิดประตูเข้าไปและพบกับศพของเด็กสาวคนนั้น! จึงส่งผลให้ผู้คนพากันย้ายออกจนรกร้าง

http://board.postjung.com/data/517/517458-topic-ix-5.jpg

  สำหรับอีกหนึ่งทัศนะ เขาพูดกันว่า หรือ ลือกันไปเอง มีอยู่ว่าในช่วงที่คุณนายลัดดา
สั่งพฒนาพื้นที่แห่งนี้ ได้มีการปรับพื้นดินจนได้พบกับโครงกระดูกของผู้คนอยู่เป็นจำนวนมาก
  ขณะเดียวกัน กล่าวกันว่า ครั้งหนึ่ง เคยมีคู่รักคู่หนึ่งมาอธิษฐานขอให้ความรักสมหวังกับต้นไทร
ตามความนิยมบนบานศาลกล่าวของผู้คนในยุคนั้น แต่พ่อแม่ฝ่ายหญิงไม่ยอมรับฝ่ายชาย
ทำให้ทั้งสองร่วมกันแขวนคอคู่กันที่ใต้ต้นไทร

ความเฮี้ยน ความหลอน ที่ปรากฎเป็นคดีฆาตรกรรมหมกศพ และ วิญญาณอาฆาต
จึงกลายเป็นข่าวลือสนุกปาก ของกลุ่มวัยรุ่น ที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น
   จนทำให้ ลัดดาแลนด์ ซึ่งเคยเป็นความทรงจำของวันชื่นคืนสุข
สำหรับผู้คนยุคเก่าก่อน..กลายเป็นเพียงความทรงจำด้านมืดอันน่าสะพรึงกลัว...อย่างไร้เหตุผล

วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2557

นาซีกับแอตแลนติส


เรื่องราวลึกลับนี้เริ่มขึ้น เมื่อจิตรกรรมและประติมากรรมในโบราณสถานหลายแห่งที่เปนรูปแสดงถึงวัตถุ ประหลาดซึ่งมีลักษณะคล้ายยานบินหรือแม้กระทั้งยานอวกาศ

เป็นไปได้ไหมว่า ในอดีตนั้นเราเคยมียานที่บินได้ โดยมนุษย์จากนอกโลกเป็นผู้นำมา และเป็นที่กำเนิดยาน UFO??

หลักฐานชิ้นแรกในประวัติศาสตร์คือในสมัยพระเจ้า อโศกมหาราช(Ashoka) พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของอินเดียมีคำร่ำลือว่าพระองค์เป็นผู้ริเริ่มก่อ ตั้งแหล่งวิทยาการ “สมาคมลับของบุรุษนิรนามทั้งเก้า”(Secret Society of the Nine Unknown Men) ซึ่งปราชญ์อินเดียในสมัยนั้นต่างกระหายที่จะเรียนรู้วิทยาการเหล่านี้ แต่พระเจ้าอโศกกลับงานวิทยาการต่างๆ ของพวกเขาเป็นความลับ เพราะกลัวว่าวิทยาการเหล่านั้นถ้าเผยแพร่ไปอาจเกิดเหตุนองเลือดขึ้นได้ เพราะพระองค์เองเคยใช้วิทยาการเหล่านั้นทำสงครามมาแล้ว พระองค์จึงเน้นทำนุบำรุงศาสนาพุทธแทน

“บุรุษนิรนามทั้งเก้า(The Nine Unknown Men) หมายถึงหนังสือเก้าเล่มที่พระเจ้าอโศกทรงนิพนธ์ขึ้นมา เล่มหนึ่งมีชื่อว่า “ความลับของแรงโน้มถ่วง(The Secrets of Gravitation) เป็นที่รู้จักกันดีในสมัยโบราณ เนื้อหาในหนังสือเป็นคนละแบบกับ “กฎของแรงโน้นถ่วงของนิวตัน” และหนังสือเก้าเล่มนี้อาจเก็บอยู่ในห้องสมุดที่ไหนสักแห่งในอินเดียหรือ ทิเบต(หรือแม้แต่ในอเมริกา)

เมื่อไม่นานมาแล้ว ชาวจีนได้ค้นพบแท่งหินอักขระจารึกเป้นภาษาสันสกฤตในเมืองลาศา(Lhasa) ในทิเบต และส่งแท่นหินเหล่านี้ไปศึกษาค้นคว้าที่มหาลับชานดริการ์ ดร.รูท เรย์นา อาจารย์ประจำมหาลัยกล่าวว่า แท่งหินอักขระพวกนี้บ่งบอกถึงวิธีการสร้างยานอวกาศที่สามารถเดินทางไป มาระหว่างดวงดาวได้!!

ส่วนวิธีการขับเคลื่อนนั้น ด็อกเตอร์เรย์นาอธิบายว่าจากอักขระว่า เป็นแรงต่อต้านโน้นถ่วง ในชื่อที่พวกเขาเรียกว่า ลากิมะ(Laghima) ซึ่งเป็นแรงที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน เกิดมาจากพลังจิตของมนุษย์ โดยมีหลักการว่า แรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง(Centrifugak Force) จะมีกำลังมากพอที่สามารถต่อต้านแรงดึงดูดของโลกได้ และจากความรู้ทางฮินดูโบราณ(Hindu Yogis)แรงหรือ พลัง ลากิมะนี้สามารถยกมนุษย์ให้ลอยขึ้นฟ้าได้

ดร.เรย์ยังอธิบายอีกว่าสำหรับตัวเครื่องจักรหรือยานพาหนะนี้พวกเขา เรียกว่า “แอสทรา(Astras)” ซึ่งเป็นยานที่สามารถต่อต้านแรงดึงดูดของโลกและมีหลักฐานที่เกี่ยวกับ เทคโนโลยีชนิดนี้ว่ามีใช้กันในอินเดียสมัยโบราณหรือในสมัยที่ยังมีอาณาจักร ของพระรามอยู่ อาณาจักรของพระรามอยู่ อาณาจักรนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของอินเดียและปากีสถาน ได้ก่อตั้งมานาน 15,000 ปีแล้วในทวีปอินเดียซึ่งตอนนั้นยังแยกออกมาจากทวีปเอเซียอยู่และดำรงมาควบ คู่กับอาณาจักรแอตแลนติสที่อยู่กลางมหาสมุทรแอนแลนติกมาก่อน

อาณาจักรพระรามปกครองโดย “สังฆราชาผู้สำเร็จ”(Enlightened Priest-Kings) เรียกชื่อเมืองหลวงทั้งเจ็ดเมืองว่า เมืองฤษีทั้งเจ็ด(The Seven Risni Cities)

ตามหลักฐานของชาวอินเดียโบราณ ผู้คนในสมัยนั้นใช้ยวดยานพาหนะที่สามารถบินได้ชื่อ วิมาน(Vimanas)

แท่งอักขระ ได้บรรยายรูปร่างลักษณะของยานวิมานว่า

“มันเป็นยานที่มีสองชั้น รูปร่างค่อนข้างกลม มีท่อไอเสียอยู่ด้านล่าง และในห้องผู้โดยสารด้านบนมีรูปร่างคล้ายโดม”

จากข้อความดังกล่าว ทำให้เราจิตนาการว่ามันคือจากบินหรือเปล่านี่!!

ยานวิมานบินด้วย “ความเร็วที่ยิ่งกว่าสายลม(Speed of The Wind)และมีเสียงที่ดังมาก ยานนี้มีรูปร่างที่ต่างๆ กันถึงสี่แบบ มีรูปร่างคล้ายกับจานบินบ้าง หรือไม่ก็มีรูปร่างคล้ายกระบอกยาวๆ บ้าง (หรือมีรูปร่างคล้ายซิการ์ดังเช่น UFO)

ชาวอินเดียโบราณผลิตยานเหล่านี้ด้วยตัวพวกเขาเอง และพวกเขาได้เขียนวิธีควบคุมยานบินทั้งสี่แบบเหล่านี้ไว้ซะด้วย!!



ในปี ค.ศ.1875 มีการค้นพบหลักฐานเกี่ยวกับยานชนิดนี้ในวัดแห่งหนึ่งในอินเดีย เป็นหลักฐานที่มีอายุออยู่ในช่วงศตวรรษที่สี่ก่อนคริสต์ศักราช ในหลักฐานนั้นบ่บอกถึงวิธีการควบคุมยานวิมาน รวมถึงการบังคับเลี้ยว การระมัดระวังในการเดินทาง การป้องกันยานจากพายุและสายฟ้า และยังบอกวิธีการขับเคลื่อนโดยการใช้แสงอาทิตย์ที่คล้ายๆ กับ “แรงต่อต้านแรงโน้นถ่วง”

นอกจากนี้ หลักฐานชิ้นนี้ยังบอกวิธีการสร้างยานวิมานอย่างละเอียดถึงชิ้นส่วนของยาน 31 ชิ้น และวัสดุที่ใช้สร้างอีก 16 อย่าง ซึ่งวัสดุพวกนี้มีคุณสมบัติที่ดูดซับแสงและความร้อนได้ และนี่คงเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างยานที่สามารถขับเคลื่อนไปบนฟ้าได้

เป็นไปได้ว่ายานวิมานจะต้องใช้พลังบางอย่างที่สามารถต่อต้านแรงโน ถ่วงได้อย่างแน่นอน มันออกตัวในแนวดิ่งจากพื้นดิน และยังสามารถลอยอยู่บนฟ้าได้ราวกับเฮลิคอปเตอร์หรือยานบินในสมัยนี้ซะอีก

ในด้านพลังงานที่ใช้ขับเคลื่อนนั้นหลักฐานกล่าวไว้ว่า ยานวิมานใช้ของเหลวสีขาวอมเหลือง(Yellowish white liguid)เป็น สารประกอบที่คล้ายกัยปรอท ดูเหมือนว่าบางทีของเหลวสีขาวอมเหลืองนี้อาจเป็นสารที่คล้ายๆ กับน้ำมันเชื้อเพลิงและใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน หรือเครื่องยนต์ไอพ่นก็ได้

นอกเหนือจากหลักฐานแท่งอักขระแล้ว ก็ยังมีเนื้อเรื่องบางส่วนในมหากาพย์มหาภารตะกับรามายณะที่บรรยายลักษณะของ ยานวิมานว่ามีรูปร่างเป็นทรงกลมและขับเคลื่อนไปด้วยความเร็วยิ่งกว่าสายลม โดยใช้ปรอทเป็นตัวขับเคลื่อน การขับเคลื่อนคล้ายกับ UFO ไม่มีผิด เพราะสามารถเคลื่อนที่ขึ้นลงในแนวดิ่ง ถอยหลังหรือเดินเท้าได้ตามที่นักบินต้องการ และระบุว่ายานวิมานเป็นเครื่องจักรกลที่ทำด้วยเหล็ก เชื่อมติดกันอย่างดีและเรียบร้อยสามารถขับเคลื่อนไปได้โดยใช้ปรอทพ่นออกมา จากข้างหลังของตัวยานในรูปแบบของเปลวไฟคำราม(Roaring Flame)


นักวิทยาศาสตร์ชาว โซเวียตได้ค้นพบสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “เครื่องมือในยุคโบราณที่ใช้ระบบนำร่องของยาน” ในถ้ำแห่งหนึ่งของประเทศตุรกีและในทะเลทรายโกบี มันเป็น “อุปกรร์” ที่เป้นรูปทรงครึ่งวงกลมที่ทำมาจากแก้วเหมือนถ้วบชาม โดยส่วนปลายสุดจะเรียวเล็กลงเป้นรูปกรวยและมีสารปรอทอยู่ภายในด้วย หลักฐานบ่ชี้ว่าชาวอินเดียในสมัยโบราณเคยใช้พาหนะนี้บินผ่านทั่วเอเชียมา แล้ว และอาจจะเคยบินผ่านทวีปแอตแลนตีสมาแล้วด้วย

นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึงรถศึกเพลิงกัลป์(Fiery Charot)ไว้ ในมหากาพย์มหาภารตยุทธว่า “ภีมะขับรถของเขาบินสู่ฟากฟ้า ลุกสว่างราวกับแสงอาทิตย์ เสียงดังราวกับฟ้าผ่า ราชรถที่อยู่บนฟ้า ลุกสว่างราวกับเปลวเพลิงที่ส่องสว่างฟากฟ้ายาวค่ำคืนของฤดูร้อน มันบินโฉบไปราวกับผีพุ่งใต้ ราวกับมีพระอาทิตย์สองดวงกำลังส่องแสงอยู่กระนั้น และสวรรค์ทั่วทั้งชั้นฟ้าก็สว่างขึ้นบัดดล”


คัมภีร์พระเวท(Vedas)หลัก ฐานทางฮนดูโบราณที่เก่าแก่ที่สุดก็คือกล่าวถึงยานวิมานว่า “อนิโหตระวิมาน(Ahnihotra-Vinana)เป็นยานที่มีสองเครื่องยนต์, วิมานรูปช้าง(Elephant VimanaX,มีเครื่องยนต์มากกว่านั้น และระบุชื่อยานวิมานรูปแบบอื่นๆ ที่ตั้งชื่อเป็นสัตว์ต่างๆ

ชาวแอตแลนติสเคยใช้ยานบินที่เรียกว่า “ไวลิกซี(Vaillxl)” มีรูปร่างคล้ายกับเครื่องบินในสมัยนี้ หลักฐานของอินเดียว่าคนทวีปนี้ต้องการจะใช้ยานของเขาเพื่อครอบครอง โลก(ติดตามได้ในเมื่อนาซีค้นหาแอตแลนตีส)

ยานของแอตแลนตีสเรียกว่า “อัศวิน(Asvins)และยังบอกว่าชาวแอ ตแลนตีสมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่าของอินเดียและยังเป็นที่ชื่นชอบการทำ สงครามด้วย แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่บ่งบอกถึงยานบินวืมานก็ตาม แต่ก็มีข้อมูลบางอย่างอยู่บ้าง เช่นว่า รูปร่างคล้ายซิการ์และสามารถแทรกตัวลงใต้น้ำได้ดีพอๆ กับการบินผ่านชั้นบรรยากาศหรือนอกโลก


เอกลัล เกศนะ ผู้แต่งหนังสือชื่อ The Ultimate Frontier พิมพ์ขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1966 กล่าวว่าวิมานสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อ 20000ปีก่อน ในทวีปแอตแลนติส และส่วนใหญ่มีรูปร่างคล้ายๆ จานแบนๆ ภาคตัวยานตัดขวางรูปสี่เหลี่ยมคางหมู มีเครื่องยนต์รูปครึ่งวงกลมสามตัวติดตั้งอยู่ส่วนล่างของยาน...พวกเขาใช้ อุปกรณ์ต่อต้านแรงโน้นถ่วงที่ขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์ที่มีกำลังประมาณ 30,000แรงม้า

บาง ตอนในมหากาพย์รามายณะกับมหาภารตะก็เคยกล่าวถึงสงครามมหาประลัย ครั้งนั้นว่า

“อาวุธที่เคลื่อนที่เป็นวิถีโค้งปลดปล่อยพลังของเอกภพมาอย่างมหาศาล เปลวเพลิงและควันที่ลุกโซติช่วงราวกับมีพระอาทิตย์ส่องแสงอยู่นับพัน ดวง...พายุสายฟ้ากัมปนาท ผู้ส่งสารแห่งความตาย ที่นำมาซึ่งขี้เถ้า เผ่าพันธุ์ทั้งปวง........ซากศพกลับถูกเผาไหม้ จนจำหน้าตาไม่ได้ ผมและเล็บก็หลุดร่วงออกมาเครื่องดินเผาต่างๆ กลับแจกหักโดยไม่รู้สาเหตุ และนกก็เปลี่ยนเป็นสีขาว.........หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงอาหารทั้งหมดก็ เป็นพิษ เพื่อที่จะหนีออกมาจากไฟบรรลัยกัลป์นี้ ชะล้างตัวพวกเขาและเครื่องไม้เครื่องมือของพวกเขาด้วย

นี้เขาบรรยายมหาภารตะหรือบรรยายเรื่องมหาสงครามนิวเคลียร์นี้!!

และดูเหมือนว่ามหากาพย์มหาภารตะจะเป็นเรื่องจริงซะ ด้วย เพราะว่ามีการค้นพบอุโมงค์ในซากโบราณสถานในเมืองโมเฮ็นโจดาโร เมื่อศตวรรษที่แล้ว พวกเขาพบโครงกระดูกหลายศาก บางโครงนอนกุมมืดอยู่บนหน้าอกด้วยความกลัว ราวกับมีหายนะครั้งใหญ่ นอกจากนี้เขายังพบสารกัมมันตรังรังสีค้างอยู่ในตัวด้วย

เมื่ออาณาจักรแอตแลนตีสกับรามาล่มสลายด้วยอาวุธนิวเคลียร์หรืออะไร ก็เถอะ โลกก็เริ่มเข้าสู่ยุคหิน และประวัติศาสตร์สมัยใหม่ก็ดำเนินต่อไปอีกนับพันปี แต่ดูเหมือนว่าเรื่องราวของจานบินวิมานยุคโบราณจะไม่สูญหายไปไหน เพราะมันปรากฏอีกทีก็บันทึกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์บุกโจมตีอินเดียเมื่อสอง พันปีก่อน มีบันทึกไว้ว่า ครั้งหนึ่งกองทัพของพระองค์ถูกโจมตีโดยโล่บินได้ที่ทำให้รถศึกและกองทัพของ พระองค์ต้องหวั่นเกรงไปตามกัน

ว่า กันว่า สมาคมลึกลับที่เรียกตัวเองว่า ภราดรภาพ(Brotherhoods) ได้เก็บยานวิมานกับยานไวลิกซี่ไว้ในถ้ำลึกลับที่ไหนสักแห่งในทิเบตหรือเจ กลางเอเซียรวมทั้งทะเลทรายลอปนอร์(Lop Nor Desert) ที่อยู่ทางทิศตะวันตกของจีน ที่มีคนกล่าวขวัญกันมากที่สุดว่าเป็นศูนย์กลางของลึกลับ UFO


ในช่วงปี ค.ศ.1930 พรรคนาซีของฮิตเลอร์เคยส่งนักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดีไปยังอินเดียเพื่อ เก็บเรื่องราวลึกลับและวิทยาการในสมัยโบราณที่พวกเขาเชื่อว่าเคยมีอยู่จริง พวกเขาเชื่อว่าอารยธรรมในอดีตนั้นมียานบินต่างๆ และรวมไปถึงอาวุธทำลายล้างที่พวกเขาเคยใช้ในอดีต

นักโบราณคดีเยอรมันได้ถอดความสันสกฤตโบราณและอักขระโบราณเหล่านี้ ว่ามีการบรรยายถึงเหตุการณ์ที่มียานบินผ่านอยู่บนฟ้า โดยมีผู้สังเกตการณ์อยู่ในทวีปอเมริกาใต้, อาฟริกา, แถบแปซิฟิก และอื่นๆ เกือบทั่วโลก และเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ยังคงได้ศึกษาวิจัยต่อจากประเทศอเมริกาและโซเวียตให้ การสนับสนุน

นอก จากนี้ยังมีทีมงานของจีนก็เคยทำการสืบค้นอักขระภาษาสันสกฤตทั้งในทิเบตและ อินเดียเหมือนกัน และทางจีนเคยยืนยันแล้วว่าข้อมูลจากแหล่งโบราณเหล่านี้ได้ถูกนำมาใช้ใน โครงการสำรวจอวกาศของพวกเขา

ทาง ด้านอเมริกาเองก็เคยทำการสืบสวนในเรื่องนี้เมื่อปี ค.ศ.1947 เหมือนกัน แต่น่าเสียหลักฐานต่างๆถูกทำลายจนหมดสิ้น เช่นห้องสมุดอเล็กซานเดรีย(The Great Lirary of Alexandria)ที่ถูกทำลายเพราะกองทัพโรมัน และทำให้หลักฐานต่างๆ ถูกเผาทำลายจนหมด ซึ่งข้อมูลเหล่านี้อาจเป็นกุญแจไขความลับเรื่องยานบินยุคโบราณให้เราทราบได้

หลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 ใกล้สิ้นสุด เยอรมันเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ตอนนั้นสัมพันธ์มิตรเข้าค้นห้องของมือขวาคนสนิทของฮิตเลอร์นาม ไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์ เมื่อปีค.ศ.1945 พวกเขาได้พบหนังสือเกี่ยวกับศาสตร์ลึกลับเล่มหนึ่งที่รวบรวมไว้เป็นจำนวนมาก ในจำนวนนั้นมีเล่มหนึ่งชื่อ “ทฤษฎีน้ำแข็งโลก(The World Lce Theory) โดยเอิร์นสต์ เฮอร์บิเกอร์ ผู้แต่งอ้าวไว้ในหนังสือเล่มนี้ว่า เผ่าพันธุ์มนุษย์ดีเลิศนั้นมาจากอวกาศมาลงที่เกาะแอตแลนตีส และคนพวกนั้นได้สร้างอารยธรรมที่ล้ำยุคกว่าอารยธรรมอื่นขึ้นที่นั่น แต่แล้ว แผ่นน้ำแข็งที่เกิดจากอากาศหนาวเย็นได้ผลักดันให้พวกเขาต้องอพยพหนีไปอยู่ ที่อื่น และคนพวกนี้ได้เป็นผู้ถ่ายทอดอารยธรรมให้อียิปต์และกรีก
ดู เหมือนว่าฮิมม์เลอร์จะเชื่อเรื่องในหนังสือเรื่องนี้มากๆ และยังเชื่ออีกว่าชาวแอนแลนตีสที่อพยพมานั้นได้สืบเชื้อสายกลายมาเป็นชาว เยอรมันในปัจจุบัน ส่วนสายอื่นๆ กระจัดกระจายไปทั่วโลก ในสายตาของเขา”ชาวอารยัน”นั้นเป็นสายพันธุ์มนุษย์ที่เลิศกว่ามนุษย์อื่นๆ เสมือนพระเจ้าเลยทีเดียว และความคิดของฮิมม์เลอร์จึงได้สร้างสายเลือดใหม่คือหน่วยเอสเอส(SS)องค์กรที่แนน่ากลัวของนาซีเยอรมัน




และ เพื่อเป็นการพิสูจน์ทฏษฎีของเขาเป็นเรื่องจริง ฮิมม์เลอร์ได้ส่งคนออกไปสำรวจที่ไอซ์แลนด์ กรีนแลนด์ อเมริกากลาง รวมทั้งธิเบตด้วย เพื่อจะค้นหาหลักฐานทางโบราณคดีและเผ่าพันธุ์ของสายเลือดที่ล้ำมนุษย์ที่ได้ กระจัดกระจายไปจากแอตแลนตีสและอาวุธมหาประลัยของอารธรรมโบราณ นอกจากหนังสือของเฮอร์บิกอร์แล้ว ยังมีชาวออสเตรีย ชื่อ เฮอร์เบิร์ต วิลลีกุต ซึ่งฮิมม์เลอร์นับถือเป็นอาจารย์ที่ช่วยเสริมความเชื่อเรื่องเผ่าพันธุ์ที่ เหนือคนอื่นให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
คา ร์ล โวลฟ์ นายทหารคนสนิทของฮิมม์เลอร์เป็นผู้แนะนำคนผู้นี้กับฮิมม์เลอร์ โดยบอกว่า “เขาเคยเป็นนายพันเอกในกองทัพบกออสเตรียมาก่อน เขาได้รับชื่อใหม่จากเรา(หน่วยเอสเอส)ว่าไวส์ธอร์....”ธอร์”เป็นเทพเจ้ายิ่ง ใหญ่ของเยอรมัน และ “ไวส์”หมายความว่า เขามาจากครอบครัวผู้ฉลาด และเขารับผิเดชอบการปลุกสำนักในคติโบราณก่อนสมัยคริสเตียน เขาแลเห็นว่าหน้าที่ในชีวิตของเขาก็คือการถ่ายทอดวามรู้และประสบการณ์ของเขา แก่ชาวเอสเอสผู้ซึ่งในอนาคตจะเป็นผู้ถูกเลือกให้เฝ้าอาณาจักรไรซ์พันปี”
ระหว่าง ปี 1933-39 วิลลีกุต หรือไวส์ธอร์อยู่ในหน่วยเอสเอสและได้รับมอบหมายให้ทำงานค้นคว้าเรื่องราว ก่อนยุคประวัติศาสตร์ เหตุที่เขาทำหน้าที่นี้ ก็เพราะเขาอ้างว่าตนเองสืบเชื้อสายจากนักปราชญ์เยอรมันในยุคก่อนประวัติ ศาสตร์ และยังอ้างอีกด้วยว่าเขาสามารถระลึกชาติเห็นเหตุกาณณ์ในอดีตของเผ่าพันธุ์ ของเขาได้ไกลนับพันปี ดังนั้นเขาสามารถประกอบพิธีกรรมตามแบบฉบับชาวเยอรมันได้
“เขา เป็นคนที่น่าสนใจทีเดียว”โวลฟ์พูดถึงวิลลีกุต “เขาเป็นคนชี้ให้ผมดูสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชนเยอรมันที่เราไม่เคยรู้มาก่อน เลยและเขาอธิบายเรื่องเหล่านี้จนตลอดสัญลักษณ์และอักขระโบราณต่าองๆให้เรา ได้ฟัง”
มี อยู่ครั้งหนึ่งฮิมม์เลอร์ต้องการปราสาทสำหรับหน่วยเอสเอส ในปี 1933 เขาได้อาศัยความรู้ของวิลลีกุดเพื่อหาที่อยู่ จนพบปราสาทที่ถูกโฉลก โดยเขาบอกว่ามีพลังมหาศาจเพราะมันอยู่ใจกลางของเยอรมันพอดี เป็นอันว่าปราสาทแห่งนี้ก็กลายเป็นที่อยู่ของฮัศวินเอสเอสของเขาทันที



ฮิมม์เลอร์เป็นผู้สนใจโบราณคดีมาก เขาจึงได้ก่อตั้งหน่วยงานขึ้นมาใหม่ในปี 1935 เรียกว่า อานน์เบอ(Ahnerbe) หรือกรมมรดกบรรพชน ประกอบด้วยคณะทำงานที่เป็นคนของเขาทั้งสิ้น คนเหล่านี้มีหน้าที่ออกสำรวจด้านโบราณคดีทั่วโลก

ใน ปี 1934 กาบรีเลอ วิงเคลอร์ ผุ้ช่วยของวิลลีกุตที่ทำงานอยู่ในกรุงเบอร์ลิน เกิดไปพบหนังสือเล่มหนึ่งเรื่องอัศวินกับจอกศักดิ์สิทธิ์(The Crusade Against the Grail) หนังสือเล่มเขียนโดยเด็กหนุ่มอายุ 28 ปี ชื่อฮ็อตโต ราน เป้นหนังสือเล่มหนาเล่าถึงพวกนิกายคาธาร์ในยุคกลาง คนพวกนี้เป็นอัศวินเยอรมันที่ยึดถือคติความเชื่อของชนเผ่าเยอรมันสมัยโบราณ อย่างเหนียวแน่น และเป้นพวกเก็บรักษาจอกศักดิ์สิทธิ์ไว้ที่ปราสาทของพวกเขาบนภูเขาปีเรนีสทาง ตอนใต้ของฝรั่งเศสจอกนี้เป็นของศักดิ์สิทธิ์ของชาวคริสต์ เพราะเป็นจอกที่พระเยซูใช้ดื่มเหล้าองุ่นก่อนที่พระองค์จะถูกจับตรึงกางเขน

เพราะ หนังสือเล่มนั้นเอง รานจึงถูกเชิญไปเบอร์ลิน และดำเนินแผนการค้นหาจอกศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรก็ตามคณะของรานก็ไม่ได้จัดคณะค้นหาจอกนี้ แต่รานได้ออกไปสำรวจสถานที่อื่นที่ฮิมม์เลอร์คิดว่าสำคัญกว่า คือ ย่านอาร์ติก ในไอซ์แลนด์และกรีนแลนด์เพื่อค้นหาหลักฐานโบราณคดีเกี่ยวกับแอตแลนตีสและต้น กำเนิดของชาวอารยันตามทฤษฏีน้ำแข็งของพวกเขาแต่ก็ไม่พบอะไรเลย

ต่อ มาฮิมม์เลอร์ก็ได้ทราบข่าวว่าเอิร์นสต์ แชฟเฟอร์ นักไต่เขาชาวเยอรมันจะนำคณะไปธิเบตในปี ค.ศ.1938 เขารีบติดต่อแชฟเฟอร์และรับเอาเข้าพวกทันที และได้ติดต่อกับรัฐบาลอังกฤษเพื่อออกหนังสือรับรองการเดินทางเขาธิเบตทันที ซึ่ง หลังจากนั้นแชฟเฟอร์ได้เข้าร่วมกองทัพอเมริกันภายหลังสงคราม เขาบอกว่าฮิมม์เลอร์ขอร้องให้เขาช่วยตามหาร่องรอยอารยันในยุคน้ำแข็ง แต่ตัวเขาสนใจสัตว์ป่ามากกว่า
แช ฟเฟอร์กลับจากธิเบตในปี 1939 ในตอนนั้นเกิดเรื่องวุ่นๆ ในหน่วยอานแนร์เบอ เหตุเพราะวิลลีกุตสร้างความอับอายขายหน้าโดยเขาเอาแต่ดื่มสุราเมามาย และมีการสืบทราบว่าเขาเคยเป็นโรคจิต(น่าจะรู้ตั้งนานแล้วว่าบ้านะเนี้ย) ฮิมม์เลอร์ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากส่งเขาไปเก็บตัวไว้ที่ชนบทมีคนคอยดูแลใกล้ชิด วิลลีกุตอยู่นั่นได้ไม่นานก็ถึงแก่กรรม

อ็อต โต ราน ยิ่งแย่กว่านั้น เขาถูกจับได้ว่ามีพฤติกรรมร่วมลักรักเพศ ซึ่งนาซีเยอรมันถือว่าเป็นอาชญากรรมร้ายแรง รามจึงถูกส่งไปทำงานในค่ายกักกันที่ดาเซา ต่อมารานได้เขียนจดหมายถึงฮิตเลอร์เพื่อจะขอพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน แต่ฮิตเลอร์ตอบกลับว่า “ฉันไม่สามารถปกป้องเธอได้อีกแล้ว” รานจึงยิงตัวตายที่ลานหิมะเชิงภูขาแอลฟ์เมื่อฤดูหนาวปี 1939 ถือว่านี้เป็นทางออกที่มีเกียรติของหน่วยเอสเอส

เมื่อสงครามเริ่มขึ้นเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ขึ้นกับอานแนร์เบออีกครั้ง คราวนี้พวกบ้าๆ บอๆ ตำแหน่งใหญ่ๆ ถูกเบียดตกขอบ และนักโบราณคดีแท้ๆ เข้ามาแทนที่ ทั้งนี้เป็นเพราะนักโบราณคดีแท้ๆ เหล่านี้ยอมเข้าหน่วยเอสเอสก็เพื่อจะสามารถทำงานของตนต่อไปได้โดยไม่มีการ เมืองเข้ามาแทรกแซง อีกทั้งมีเหตุผลประจวบเหมาะในตอนนั้นพวกเขาได้ขุดพบเครื่องดินเผายุคก่อน ประวัติศาสตร์ที่มีลวดลายสวัสดิกะในโปแลนด์และรัสเซีย เยอรมันจึงทึกทักเอาไว้นั้นเป็นเครื่องปั้นดินเผาของชาวเยอรมันโบราณทำไส้ ซึ่งเยอรมันเคยครอบครองดินแดนแห่งนี้มาก่อน เยอรมันจึงมีสิทธิ์จะเอาดินแดนพวกเขาคืน

ความจริงแล้ว เครื่องหมายสวัสดิกะเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยโบราณทั้งฮินดูและ พุทธ มิใช้ชนชาติเยอรมันหรือนาซีมาแต่เดิม นาซีเพิ่มรับเอาใช้ในที่หลัง สวัสดิกะเป็นเครื่องหมายแห่งความโชคดี มาจากคำว่า “สุ” และ “อัสดิ”
การ ค้นหาแอตแลนตีสของนาซีประสบความล้มเหลว เพราะไม่เคยหาพบและฮิมม์เลอร์ได้ฆ่าตัวตายเมื่อเยอรมันเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ส่วนนักโบราณคดีของอานแนร์เบอทั้งตำแหน่งสูงและต่ำยังคงทำงานในสายอาชีพของ ตนต่อไป หลายคนได้กลายเป็นศาสตราจารย์ที่มีชื่อเสียงไปทั่วเยอรมัน

แต่ น่าแปลกตรงที่แม้ฮิมม์เลอร์จะตายไปนานแล้ว แต่ความคิดของเขาไม่ได้ตายไปด้วย ซ้ำยังกับกลายเป็นทฤษฏีแก่คนหลายๆ กลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นคนชอบเรื่องยูเอฟโอที่เชื่อว่าเรามาจากต่างดาว อารยธรรมอียิปต์และมายาอาจได้รับการช่วยเหลือจากโลกที่ห่างไกล, หรือแม้กระทั้งแก๊งค์นีโอนาซีและแก๊งอารยันที่ได้รับทฤษฏีว่าเราคือมนุษย์ ที่เลิศล้ำในโลกใบนี้อย่างไม่เสื่อมคลาย

บรูโน เบเกอร์(bruno beger)
นักมนุษยวิทยาที่เข้าร่วมคณะค้นหาต้นตออารยันที่ธิเบต



ขอขอบคุณ Pantip.com

วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2557

Invisibility Cloak เสื้อคุมล่องหน



มนุษย์เรานั้นใฝ่ฝันที่จะมีพลังอำนาจพิเศษเหนือผู้อื่นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว "การล่องหนหายตัวได้" ก็เป็นสิ่งหนึ่งซึ่งมนุษย์ต้องการ แต่เท่าที่เคยเห็นก็มีเพียงการแสดงมายากลที่เอาเสื้อคลุมทึบๆมาคลุมร่างแล้วก็พลันหายวับไปทั้งเสื้อทั้งคนต่อหน้าต่อตา

ทว่าในยุคไฮเทคปัจจุบันนี้ "เสื้อคลุมล่องหน" (Invisibility Cloak) ก็อาจเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ หากสนใจก็ลองติดตามอ่านดูครับ


รถถังแชลเลนเจอร์

เดือนตุลาคม 2007 ณ ฐานทัพอันโดดเดี่ยว ทางตอนใต้ของอังกฤษ บุคคลกลุ่มหนึ่งซึ่งประกอบไปด้วยนักวิทยาศาสตร์และนายทหารระดับสูง ต่างเฝ้าจับตามองไกลไปที่เส้นขอบฟ้า รถถังยานเกราะคันหนึ่งได้ปรากฏขึ้นต่อสายตาทุกคู่ และแล้วในฉับพลันทันใด ยานรบน้ำหนัก 60 ตัน
คันนี้ก็อันตรธานหายวับไป

รถถังแชลเลนเจอร์ (Challenger Tank) นั้นลำมหึมาเกือบเท่าบ้านหลังเล็กๆ ความยาวของมันร่วม 10 เมตร จากปลายลำกล้องปืนถึงบั้นท้าย แล้วมันล่องหนไปอย่างน่าอัศจรรย์ได้ยังไง?
เซียง ชาง


และถ้าสิ่งนี้เป็นจริง กองทัพที่สามารถทำให้ หน่วยทหารพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ กำบังตนได้จากสายตาข้าศึก ย่อมจะได้เปรียบในการรบอย่างมหาศาล แน่นอน

หากแต่ปฏิบัติการทดลองครั้งนี้มิได้เสกให้รถถังล่องหนหายวับได้ เพียงแต่อาศัยเทคนิคในการพรางตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบด้าน นั่นคือเริ่มต้น ด้วยการฉาบซิลิโคน (Silicone) ทั่วตัวถังยานเกราะ แชลเลนเจอร์ ทำให้มันมีสภาพเหมือนจอภาพยนตร์ที่สะท้อนแสงได้ดี ส่วนภายในก็ติดตั้งอุปกรณ์การฉายภาพซึ่งประกอบด้วยโปรเจคเตอร์ (Projector) กระจกเงา แผ่นสะท้อนแสง และที่สำคัญคือกล้องวีดิโอ (Video Camera) ซึ่งจะถ่ายภาพสิ่งแวดล้อม รอบตัวที่เป็นอยู่จริงๆในขณะนั้น แล้วฉายขึ้นบนตัวถังที่เปรียบเสมือนจอ ดังนั้น สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาของผู้สังเกตการณ์ก็คือทิวทัศน์บนตัวรถถังที่กลมกลืนไปกับสิ่งแวดล้อมนั่นเอง



เทคนิคนี้ว่าไปแล้วก็เอาไอเดียมาจากสัตว์ที่พรางตัวให้รอดพ้นจากสายตาของผู้ล่านั่นแหละ

การ "เห็น" หรือ "ไม่เห็น" นั้นขึ้นอยู่กับทฤษฎีของแสงที่ว่าทุกวินาทีนั้นตัวเราถูกระดมยิง (Bombardment) ด้วยลำแสง (beam) นานาชนิด ตั้งแต่รังสีที่แผ่จากดวงอาทิตย์ แสงจาก

หลอดไฟต่างๆ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electro-magnatic) จากสถานีวิทยุและโทรทัศน์ ซึ่งการที่เรามองเห็นได้ก็เพราะแสงเหล่านี้เดินทางไปกระทบวัตถุแล้วสะท้อนกลับมาเข้าตาเรา ดังนั้น วิธีการหนึ่งที่จะทำให้ "มองไม่เห็น" ก็คือ การทำให้แสงเบี่ยงเบนหักเหไปทางอื่น หรืออ้อมหลบจากวัตถุนั้น


ภาพขยายวงจรเมตา-แมทีเรียล

หากทว่ายังไม่เคยมีใครค้นวิธีการเช่นว่านี้ได้

ในช่วงปี 1943 ที่สงครามโลกเข้าขั้นรุนแรง เพียงแค่ห้าเดือนแรกของปีนี้ เรือสินค้าของสัมพันธ-มิตรถูกเยอรมันทำลายด้วยเรือบิน, ทุ่นระเบิด และตอร์ปิโดจากเรือดำน้ำ จมลงสู่ก้นสมุทรแอตแลนติกเหนือถึงกว่า 250 ลำ เรียกเป็นสุสานเรือสินค้าก็ว่าได้ ทางนาวีสหรัฐฯจึงคิดอ่านหาวิธีแก้ไข

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยเขียนทฤษฎีว่าด้วยการทำให้เรือ "หายตัว" รอดพ้นจากการตรวจพบของเรดาร์และตอร์ปิโด หากทว่าเขาเองไปทุ่มเทให้กับการคิดค้นระเบิดปรมาณู ทฤษฎีนี้จึงยังไม่มีการทดลองให้มีผลจริงจัง



เรือเดินสมุทรนั้นเป็นเหล็ก จึงดึงดูดทุ่นระเบิดและตอร์ปิโดที่เป็นแม่เหล็ก ดังนั้น ถ้าหากวางสายเคเบิลไฟฟ้าทั่วลำเรือ เมื่อปล่อยกระแสไฟก็จะสร้างขั้วแม่เหล็กที่ผลักดันขั้วแม่เหล็กของทุ่นระเบิดและตอร์ปิโดได้ ด้วยเหตุนี้ สหรัฐฯจึงทำการทดลองโครงการ "ฟิลาเดลเฟีย" (Philadetphia Ex-periment) โดยสร้างเรือลำเลียงยูเอสเอส เอลดริดจ์ เดอ 173 (USS Eldridge DE 173) และปล่อยลงน้ำใน วันที่ 25 กรกฎาคม 1943 โดยมีเป้าหมายใช้ขนส่งผู้คนและสิ่งของไปยังแอฟริกาเหนือ

เรือเอลดริดจ์มีความยาวไล่เลี่ยกับสนามฟุตบอล หลังจาก "ห่อหุ้ม" ทั้งลำด้วย "ขดลวดไฟฟ้า" เรียบร้อย แล้ว ก็จอดพักอยู่ที่ท่าเรือเมืองฟิลาเดลเฟีย รอการทดสอบขั้นสุดท้ายก่อนออกปฏิบัติงาน


ห้าโมงเย็นของวันที่ 28 ตุลาคม 1943 แม้จะผ่านการวางแผนอย่างรอบคอบ ทว่าก็ยังมีหลายสิ่งที่คณะผู้สร้างยังไม่อาจล่วงรู้ได้ พอเปิดสวิตช์เครื่องกำเนิดไฟฟ้า เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็บังเกิดขึ้น มีหมอกควันสีเขียวกระจายฟุ้งปกคลุมทั่วลำเรือ หลังจากหมอกควันจางหายไป เรือเอลดริดจ์ก็อันตรธานไปจากสายตาผู้สังเกตการณ์ด้วย!

ผู้ควบคุมสั่งปิดสวิตช์และเรือเอลดริดจ์ก็กลับคืนสู่สภาพเดิมท่ามกลางกลุ่มหมอกควันสีเขียวดั่งเช่นที่เกิดขึ้นในตอนสับสวิตช์ แต่ตำแหน่งของการกลับมานั้นอยู่ห่างจากที่เดิมไปนับร้อยไมล์!

สิ่งที่นาวีสหรัฐฯต้องตระหนกก็คือ ลูกเรือบางส่วนหายไป บางส่วนเกิดอาการเสียสติและวิกลจริตในที่สุด สองสามคนฝังจมอยู่ในโลหะของลำเรือ แขนข้างหนึ่งของลูกเรือคนหนึ่งฝังติดอยู่ในหัวเรือ



เสื้อคลุมล่องหน

ทางการสหรัฐฯสั่งยุติการทดลองนี้ทันที และไม่มีบันทึกรายงานผลการทดลองนี้ปรากฏออกมาให้สาธารณชนได้รู้เห็นเลย

สิ่งหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์แห่งอนาคตสนใจก็คือวัสดุที่เรียกว่า เมตา-แมทีเรียล (Meta-Material) มีคุณสมบัติในการเบี่ยงเบนแสงให้อ้อมวัตถุ เมื่อใช้วัสดุนี้หุ้มวัตถุก็เปรียบเสมือนเป็นเสื้อคลุมล่องหน ไม่มีใครมองเห็นวัตถุนั้นได้

ปี 2006 ดร.เดวิด สมิธ (David Smith) แห่งมหาลัยดุ๊ค, นอร์ทแคโรไลนา ก็ทำให้โลกตะลึงเมื่อเขาประกาศว่าสามารถสร้างวัสดุเมตา-แมทีเรียล ได้สำเร็จแล้ว!

ทั้งนี้ ดร.สมิธได้นำสารชนิดต่างๆมาประกอบเข้าด้วยกันจนมีลักษณะคล้ายแผ่นวงจรไฟฟ้า และมีคุณสมบัติต้านแม้เหล็กไฟฟ้าที่แตกต่างไปจากวัสดุอื่นที่เคยมีบนพื้นพิภพ   โดยเขาได้ใช้แผ่นไฟเบอร์กลาสเป็นฐาน จากนั้นก็นำเอาแผ่นทองแดง บางๆที่มีรูปแบบเป็นวงแหวนวงจรไฟฟ้าขนาดเล็กมาทาบทับบนไฟเบอร์กลาส  สิ่งที่ได้ก็คือแผ่นเส้นสายใยที่ไม่เคยได้เห็นกันมาก่อน  สมิธ กล่าวว่า    วัตถุใดก็ตามที่แฝงอยู่ภายในเส้นสายใยนี้จะรอดพ้นจากรังสีต่างๆ    รวมทั้งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า   หรือในการทดลองของเขาก็คือ   คลื่นไมโครเวฟ

แผ่นวงจรเมตาแมทีเรียลนี้แม้ตัวของมันเองจะไม่ล่องหน แต่เมื่อมันสามารถเบี่ยงเบนไมโครเวฟได้ มันก็จะเป็นกุญแจสำคัญที่ไขไปสู่การล่องหนหายตัวในอนาคต สมิธตั้งเป้าหมายว่า   ภายในปี   2035   อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆของกองทัพ อาทิ รถถัง เครื่องบินรบ จรวด ฯลฯ จะถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อคลุมเมตาแมทีเรียล และทำให้มันเป็นยานรบที่เรดาร์ไม่อาจจับได้ ตลอดจนแม้ดาวเทียมจารกรรมก็ไม่สามารถตรวจ ค้นหาพบเช่นกัน กระนั้นก็ยังไม่ถือว่าล่องหนโดยสมบูรณ์   เพราะหลบได้แต่เรดาร์   หากทว่าสายตามนุษย์ก็ยังมองเห็นอยู่ดี


ดร.เดวิด สมิธ


โปรเฟสเซอร์ เซียง ชาง (Xiang Zhang) 

เราลองมาดูผลงานของโปรเฟสเซอร์ เซียง ชาง (Xiang Zhang) กับคณะแห่งมหา'ลัยแคลิฟอร์เนีย ที่เบิร์คลีย์กันบ้าง เมตาแมทีเรียลของชาง มีความหนากว่าของสมิธ แต่ก็ยังบางเฉียบราวหนึ่งในสิบของแผ่นกระดาษ มีวงจรเครือข่ายคล้ายแห ซึ่งสามารถทำให้ วัตถุขนาดเล็กมาก (microscopic object) ซึ่งแฝงอยู่ภายในร่างแหนี้อันตรธานไปได้จริงๆ ทั้งนี้ ชางได้ประกอบร่างแหขึ้นโดยใช้แผ่นเงินบางๆ เป็นฐาน สลับทาบทับด้วยวงจรไฟฟ้าทำจากแมกนีเซียมฟลูออไรด์ ผลที่ได้ก็คือ สนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่จะผลักดันแสงต่างๆ ให้เบี่ยงเบนอ้อมรอบวัตถุไป ซึ่งในลักษณะนี้จะเป็นการล่องหนที่แท้จริงกว่า เพราะแม้แต่สายตามนุษย์ก็มองไม่เห็น

ครับ ถึงอย่างไรก็ตาม การจะนำเมตาแมทีเรียลนี้ไปใช้งานได้จริง สามารถพรางยานรบและอาวุธต่างๆได้ ก็คงใช้เวลาอีกนานพอควร

ท่านผู้อ่านที่สนใจอยากเห็นภาพการทดลองต่างๆในเรื่องนี้ก็ติดตามชมได้ครับจากโทรทัศน์ ทรูวิชั่นช่อง HISTORY (18) ในชื่อเรื่อง INVISIBILITY CLOAKS ตามวันและเวลาที่มีระบุอยู่ในวารสาร PREMIER ฉบับเดือนเมษายนนี้ครับผม.

ขอขอบคุณ ทีมงาน ต่วย'ตูน neutron.rmutphysics.com

วันพฤหัสบดีที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2557

ตอลิบานเผยไม่ได้จี้ MH370 แม้ฝันอยากจี้เครื่องบินสักลำ


ตอลิบานเผยไม่ได้จี้ MH370 แม้ฝันอยากจี้เครื่องบินสักลำ



            หลายชาติปฏิเสธไม่รู้เห็น ไม่พบร่องรอยของ MH370 หลังตกเป็นข้อสันนิษฐาน ด้านตอลิบานสวนกลับหนัก บอกอยากจี้เครื่องบินสักลำเหมือนกัน แต่ยังไม่ได้ทำ

            เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2557 สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า ปากีสถาน อินเดีย และเอเชียกลาง รวมถึงตอลิบาน ซึ่งตกเป็นข้อสันนิษฐานว่าอาจเป็นจุดหมายของ MH370 ได้ออกมาเปิดเผยว่า พวกเขาไม่รู้เห็น ไม่มีข้อมูลการหายไปของ MH370 แต่อย่างใด โดยเฉพาะทางด้านตอลิบานตอกกลับแรง บอกอยากจะจี้เครื่องบินใจจะขาด แต่ยังไม่ได้ทำอย่างนั้น

            รายงานระบุว่า หลังจากที่มีข้อสันนิษฐานว่า MH370 ได้เปลี่ยนเส้นทางและอาจบินไปที่ปากีสถาน อินเดีย ประเทศเอเชียกลาง หรืออาจจะเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการของกลุ่มตอลิบานก็เป็นได้ ล่าสุด ทั้งปากีสถาน อินเดีย และตอลิบานก็ได้ออกมาปฏิเสธไม่มีข้อมูล และไม่รู้เห็นว่า MH370 อยู่ที่ไหน โดยทางการอินเดียได้กล่าวว่า ข้อสันนิษฐานที่ว่า MH370 บินผ่านน่านฟ้าของอินเดียเป็นเวลาหลายชั่วโมงโดยไม่มีใครสังเกตเห็นนั้น เป็นข้อสันนิษฐานลม ๆ ที่ไม่มีพื้นฐานของความเป็นจริงเลย เพราะหากบินผ่านน่านฟ้าของอินเดียจริง เรดาร์ก็ต้องจับได้แล้ว นอกเหนือจากว่านักบินจะรู้ตำแหน่งเรดาร์และระบบเฝ้าระวังของอินเดียทั้งหมด จึงเลี่ยงการตรวจจับไปได้

            ส่วนทางการปากีสถาน ก็ได้เปิดเผยไปในทางเดียวกันว่า ปากีสถานได้ตรวจสอบข้อมูลเรดาร์ นับตั้งแต่วันที่ MH370 หายไป ก็ไม่พบร่องรอยของเครื่องบินแปลกปลอมบินผ่านน่านฟ้าของปากีสถานแต่อย่างใด 

            ขณะที่ประเทศเอเชียกลาง อย่างคาซัคสถาน และคีร์กิซสถาน ก็ได้ระบุเช่นกันว่า ไม่พบเครื่องบินแปลกปลอมบินเข้าสู่น่านฟ้าของทั้งสองประเทศเลยในวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา และว่า ถ้าหากเครื่องบินปิดระบบสื่อสารและระบบบอกพิกัด ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะบินผ่านน่านฟ้าไปอย่างเงียบ ๆ ไม่มีเรดาร์ใดจับได้เลย

            สำหรับอีกหนึ่งข้อสันนิษฐานที่ว่า การจี้เครื่องบินอาจเป็นฝีมือของทางกลุ่มตอลิบาน ในชายแดนอัฟกานิสถานนั้น ทางกลุ่มตอลิบานในอัฟกานิสถานก็ได้ออกมาเปิดเผยว่า พวกเขาไม่ได้ประโยชน์อะไรกับการจี้เครื่องบิน MH370 และอีกอย่างจากข้อมูลเรดาร์ของหลายประเทศที่มีระบบการตรวจจับที่ทันสมัย ก็ยังไม่พบร่องรอยของ MH370 เลย

            ขณะเดียวกัน ทางด้านกลุ่มตอลิบานในปากีสถาน ได้เปิดเผยกับรอยเตอร์สทางโทรศัพท์ว่า จริง ๆ แล้ว ถ้ามีโอกาส พวกเขาก็อยากจะจี้เครื่องบินสักลำเหมือนกัน แต่มันยังเป็นเพียงฝัน พวกเขายังไม่ได้ทำอะไรเลย


ขอขอบคุณภาพประกอบจาก politicalranter.wordpress.com
ขอขอบคุณ Kapook.com

ไขปริศนา มือถือของผู้โดยสารบนสายการบิน มาเลเซีย แอร์ไลน์ส MH370 ยังคงต่อติด

   เครื่องบิน MH370



ไขปริศนา มือถือของผู้โดยสารบนสายการบิน มาเลเซีย แอร์ไลน์ส MH370 ยังคงต่อติด หลังมีญาติโทรไป แต่ไม่มีคนรับสาย

             เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2557 เว็บไซต์ wonderfulengineering.com รายงานว่า ปริศนาเกี่ยวกับการหายไปของเครื่องบินของสายการบิน มาเลเซีย แอร์ไลน์ส เที่ยวบิน MH370 ยังคงสร้างความงุนงงให้กับทุกคนอย่างต่อเนื่อง แต่ล่าสุดก็มีข่าวที่ทำให้ทุกคนต้องตื่นเต้น เมื่อครอบครัวของหนึ่งในผู้โดยสารที่โดยสารเครื่องบินลำนั้น ได้มาออกโทรทัศน์ของจีน และบอกว่า เธอสามารถโทรศัพท์เข้ามือถือของพี่ชายได้ แต่ไม่มีคนรับสาย !?

             ทั้งนี้ โทรศัพท์ของพี่ชายนั้นส่งเสียงดังหลายครั้ง ก่อนที่จะถูกตัดสาย จึงทำให้สมาชิกในครอบครัวคนอื่น ๆ ลองแบบเดียวกัน โดยมีคนกลุ่มหนึ่งจาก 19 ครอบครัวที่ต่างอ้างว่า โทรศัพท์ของคนที่รักนั้นยังคงต่อติด แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับใด ๆ จากปลายสาย ซึ่งทางครอบครัวของผู้เสียหายได้ร่วมกันลงชื่อและส่งคำขอไปที่มาเลเซีย แอร์ไลน์ส เพื่อขอคำอธิบายในเรื่องนี้ 
             อย่างไรก็ตาม เสียงสัญญาณโทรศัพท์ที่ยังคงดังนั้น ไม่ได้หมายความว่าโทรศัพท์มือถือยังคงใช้งานได้ นักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญด้านอุปกรณ์ไร้สาย กล่าวว่า สัญญาณโทรศัพท์ที่ดังอยู่นั้น เป็นเล่ห์กลในทางจิตวิทยาที่จงใจจะให้ผู้โทรถือสายเอาไว้ ในขณะที่ทางเครือข่ายกำลังเชื่อมต่อสัญญาณ เสียงสัญญาณโทรศัพท์ไม่ได้หมายความว่าโทรศัพท์ที่ปลายสายจะยังคงใช้งานได้เสมอไป

             ด้านโฆษกจากองค์กรด้านการสื่อสารไร้สาย ได้ออกมายืนยันเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน โดยกล่าวว่า โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเราโทรหาใครผ่านโทรศัพท์มือถืออีกเครื่อง เครือข่ายมือถือก็จะเริ่มค้นหามือถือเป้าหมายจากสถานที่สุดท้ายที่อยู่ และถ้าหากเครือข่ายไม่สามารถหามือถือเป้าหมายได้ในจุดนั้น มันก็จะเริ่มค้นหามือถือเป้าหมายในบริเวณที่กว้างขึ้น  ซึ่งกระบวนการทั้งหมดจะใช้เวลาเพียง 2-3 วินาที และในช่วงเวลานี้ ทางเครือข่ายก็จะส่งสัญญาณริงโทนออกไปเพื่อที่ผู้โทรจะได้ไม่วางสาย อย่างไรก็ตาม เมื่อทางเครือข่ายสามารถมั่นใจได้ว่า มือถือนั้นถูกปิดไปแล้ว สัญญาณก็จะถูกตัด นั่นจึงเป็นคำอธิบายว่า เหตุใดมือถือของเหล่าผู้สูญหายจึงยังคงต่อติดและมีสัญญาณดังอยู่

ดาวเทียมจับภาพเครื่องบินปริศนา บินเหนือป่าทึบ สงสัยเป็น MH370


ดาวเทียมจับภาพเครื่องบินปริศนา บินเหนือป่าทึบ สงสัยเป็น MH370





            เผยภาพถ่ายจากดาวเทียมพบเครื่องบินปริศนาบินเหนือป่าทึบ ชาวเน็ตตั้งข้อสงสัยอาจเป็นMH370 ขณะที่ชาวบ้านมาเลเซียแจ้งเบาะแสเพิ่มเติม เห็นเครื่องบินบินต่ำกว่าปกติ มุ่งหน้าไปทางทะเลจีนใต้ ส่วนชาวเกาะที่มัลดีฟส์ เผย พบเครื่องบินมีตรามาเลเซีย แอร์ไลน์ส บินต่ำเหนือเกาะ ช่วงเช้ามืดวันที่ 8 มีนาคม 

            เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2557 เว็บไซต์เดลี่เมล รายงานว่า มีการเผยภาพถ่ายที่ได้จากดาวเทียมพบเป็นเครื่องบินสีขาวลำหนึ่งกำลังบินอยู่เหนือป่าทึบ โดยภาพดังกล่าวพบโดยนักศึกษาชาวไต้หวัน และโพสต์ลงในเว็บไซต์เรดดิท เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (16 มีนาคม) ซึ่งที่มาของภาพได้มาจากเว็บไซต์Tomnod ซึ่งเป็นเว็บไซต์แผนที่ที่เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าร่วมระดมความสามารถในการแกะรอยค้นหาเครื่องบินปริศนาของมาเลเซีย แอร์ไลน์ส อย่างไรก็ดี ยังไม่มีการยืนยันถึงความถูกต้องของภาพ รวมทั้งสถานที่ในภาพก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัด


ดาวเทียมจับภาพเครื่องบินปริศนา บินเหนือป่าทึบ สงสัยเป็น MH370

            ทั้งนี้ การเผยภาพเครื่องบินปริศนาที่ได้จากดาวเทียมนี้ ออกมาในเวลาเดียวกับการรายงานว่า ชาวบ้านมาเลเซียบางรายรายงานว่าเห็นเครื่องบินของมาเลเซีย แอร์ไลน์ส บินอยู่เหนือพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ในช่วงเวลาเดียวกับที่มีสันนิษฐานกันว่า MH370 ได้บินกลับลำ โดยชาวบ้านอย่างน้อย 9 คน ซึ่งมีทั้งชาวประมง ชาวไร่ และชาวบ้านทั่วไป จากรัฐกลันตัน ของมาเลเซีย รายงานว่าเห็นแสงสว่างจ้า และได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของเครื่องบิน 

            นอกจากนี้ ก็ยังมีรายงานจากคนบนเกาะดาลู อะตอล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะมัลดีฟส์ บอกว่าเห็นเครื่องบินที่มีสัญลักษณ์ของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส บินในระดับต่ำผิดปกติ ในช่วงเช้ามืดของวันที่ 8 มีนาคม อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ MH370 ขาดการติดต่อกับภาคพื้นดินไปแล้ว และยังตรงกับข้อสันนิษฐานที่ว่า อาจมีคนจงใจบังคับให้เครื่องบินให้บินต่ำกว่าระดับเพดานปกติ หลังจากได้ทำการเลี้ยวกลับลำเหนือบริเวณทะเลจีนใต้ แล้วมุ่งหน้าไปทางตะวันตกจากทิศทางเดิม เพื่อใช้สภาพภูมิประเทศโดยรอบเป็นเกราะป้องกันไม่ให้สัญญาณเรดาห์จับคลื่นโซนาร์จากเครื่องบินได้ 

            ขณะที่แหล่งข่าวจากเว็บไซต์นิว สเตรทส์ ไทม์ส ระบุว่า จากการสันนิษฐานแกะรอยเส้นทางการบินของ MH370 หลังขาดการติดต่อไป คาดว่าเครื่องบินบินไปตามเส้นทางที่พื้นที่ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ซึ่งตรงกับรายงานจากชาวบ้านในแถบนั้น ว่าสังเกตเห็นแสงสว่างจ้า และได้ยินเสียงเครื่องบินบินผ่าน ในคืนที่ MH370 ได้หายไป 
    
            นายอาลิฟ ฟาตี อับดุล ฮาดิ วัย 29 ปี นักธุรกิจชาวมาเลเซียจากเมืองกัมปุง กาดก ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมาเลเซีย เป็นบุคคลแรกที่ได้แจ้งว่า เขาเห็นแสงสว่างจ้าจากเครื่องบิน ซึ่งบินในระดับต่ำด้วยความเร็วสูงแล่นผ่านไป เมื่อเวลา 01.45 น. โดยทิศทางของมันมุ่งหน้าไปทางทะเลจีนใต้ ในคืนเดียวกับที่เครื่องบินของมาเลเซีย แอร์ไลน์ส หายไปอย่างเป็นปริศนา

            นายอาลิฟ กล่าวว่า เขามั่นใจว่าแสงที่เห็นเป็นแสงจ้าที่เครื่องจะเปิดใช้เพื่อนำทางในยามบินขึ้นหรือลงในเวลากลางคืน และแม้น่านฟ้าบริเวณที่เขาอยู่ จะเป็นทางบินที่เครื่องบินบินผ่านกันเป็นปกติ แต่แสงที่เขาเห็นในคืนนั้นกลับมุ่งหน้าไปในทิศทางที่ต่างจากที่เคยเห็นมา และมันหายลิบไปหลังแนวยอดต้นมะพร้าว ต่างจากปกติที่เขาจะเห็นแสงของเครื่องบินอยู่สูงลิบ ๆ ไกลตา

            นอกจากนายอาลิฟ ก็ยังมีเบาะแสจากนายอาซิด อิบราฮิม ชาวประมงวัย 55 ปี ที่บอกว่าเขาเห็นแสงจ้าจากเครื่องบินบินอยู่เหนือหัวเมื่อเวลา 1.30 นาฬิกา ของคืนวันที่ 8 มีนาคม เป็นแสงจ้าดวงใหญ่เหมือนบินอยู่ต่ำกว่าเมฆ ทั้งที่แสงจากเครื่องบินปกติจะอยู่ไกลออกไปมองคล้ายกับดวงดาวที่กำลังเคลื่อนที่ โดยแสงนั้นอยู่ห่างจากเขา 100 ไมล์ ลงไปทางใต้ 

            เมื่อวิเคราะห์ข้อมูลจากทั้งสองราย ประกอบกับหากแสงจากเครื่องบินลำนั้นเป็น MH370 จริง แสดงว่ามีการเปลี่ยนเส้นทางการบินไปทางเหนือ แทนที่จะมุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงเหนือตามเส้นทางบินปกติ 

ขอขอบคุณ Kapook.com

วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2557

mh370 มาเลเซีย แอร์ไลน์ส กับ 8 ข้อสันนิษฐาน เครื่องบินหายลึกลับ








          เครื่องบิน MH370 มาเลเซีย แอร์ไลน์ส ผู้เชี่ยวชาญเผย 8 ข้อสันนิษฐาน เที่ยวบิน MH370หายลึกลับ เผยน่าจะเป็นหายนะที่เกิดขึ้นโดยที่นักบินไม่ทันได้รู้ตัว

          เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2557 เว็บไซต์นิวซีแลนด์ เฮอรัลด์ ได้เปิดเผย 8 ข้อสันนิษฐาน ที่ทำให้เครื่องบิน มาเลเซีย แอร์ไลน์ส MH370 หายไปอย่างไร้ร่องรอยตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา ขณะบินอยู่ที่ระดับ 11 กิโลเมตรเหนือพื้นทะเลจีนใต้ โดยมีทั้งข้อสันนิษฐานที่เกี่ยวข้องกับความผิดพลาดของเครื่องยนต์ ไปจนถึงการก่อการร้าย

          รายงานระบุว่า จากการที่เครื่องบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส เที่ยวบิน MH370 ขาดการติดต่อไปอย่างไร้ร่องรอยและไม่มีการแจ้งปัญหาก่อนจะหายไปเลยแม้แต่น้อย แสดงให้เห็นว่า หายนะใด ๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินในเวลานั้น เป็นหายนะที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนนักบินก็ไม่ทันรู้ตัว จึงไม่มีการแจ้งเหตุใด ๆ ก่อนหายไป และในขณะนี้ แม้ว่ายังไม่มีใครสามารถหาคำตอบเกี่ยวกับการหายไปของเครื่องบินได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ได้ตั้งข้อสันนิษฐานถึงความเป็นไปได้ 8 ข้อด้วยกัน ดังนี้

          1. ความขัดข้องเกี่ยวกับโครงสร้างเครื่องบิน เครื่องบินส่วนใหญ่ทำด้วยอะลูมิเนียมที่ถูกกัดกร่อนได้ง่ายและเกิดการแตกได้ โดยเฉพาะการบินในบริเวณที่มีความชื้นสูง ซึ่งนั่นอาจนำมาซึ่งหายนะได้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ผู้เชี่ยวชาญเผยว่ากรณีนี้ก็เกิดขึ้นได้ยากมาก

          2. สภาพอากาศเลวร้าย โดยปกติแล้ว เครื่องบินจะถูกสร้างขึ้นมาให้แข็งแรงพอที่จะเผชิญกับสภาพอากาศเลวร้ายได้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น สภาพอากาศที่เลวร้ายก็ทำให้เครื่องบินตกมาแล้วนักต่อนัก เช่น เมื่อปี 2009 เครื่องบินจากสายการบินแอร์ฟรานซ์ ได้บินจากเมืองริโอ เดอจานีโร ของบราซิล ไปยังกรุงปารีส แต่ระหว่างที่บินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ได้เผชิญกับพายุ น้ำแข็งได้ก่อตัวขึ้นบนหน้าปัดบอกความเร็วของเครื่องบิน ทำให้นักบินไม่สามารถอ่านค่าความเร็วได้ และไม่สามารถควบคุมเครื่องได้อย่างถูกต้อง ส่งผลให้เครื่องบินตก โดยที่นักบินเองก็ยังไม่ได้แจ้งเหตุเลย

          3. นักบินควบคุมเครื่องออกนอกเส้นทางการบิน มีความเป็นไปได้ว่า นักบินไม่ได้ใช้ระบบการบินอัตโนมัติ และควบคุมเครื่องบินออกนอกเส้นทางการบิน ทำให้เครื่องบินบินหลงทางไปไกล ไม่สามารถรับสัญญาณการติดต่อจากภาคพื้นได้ อย่างไรก็ดี ตอนนี้ข้อสันนิษฐานดังกล่าวได้ตกไปแล้ว เนื่องจากเครื่องบินหายไปนานกว่า 2 วันแล้ว จึงเป็นไปได้ยากที่จะยังคงบินหลงทางอยู่ที่ไหนสักแห่งโดยไม่ติดต่อหอบังคับการบินใดเลย
               
          4. เครื่องยนต์ขัดข้อง จู่ ๆ ก็ใช้การไม่ได้กลางอากาศ โดยอาจเกี่ยวข้องกับระบบเชื้อเพลิงด้วย แต่กรณีนี้ น่าจะเป็นไปได้ยาก เพราะหากเครื่องยนต์ขัดข้องจริง ๆ นักบินจะมีเวลาหลายนาทีในการแจ้งเหตุฉุกเฉิน

          5. การระเบิดเครื่องบิน โศกนาฏกรรมนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง เช่นในปี พ.ศ. 2528 เครื่องบินจากสายการบินแอร์อินเดีย ที่เดินทางจากเมืองมอนทรีอัลของแคนาดา ไปยังกรุงลอนดอน ได้เกิดระเบิดขึ้น ต่อมา เมื่อปี พ.ศ. 2531 เครื่องบินแพนแอม เที่ยวบิน 103 ที่เดินทางจากลอนดอนไปยังนิวยอร์ก ก็ตกที่เมืองล็อกเกอร์บี้ของสกอตแลนด์ หลังมีเหตุระเบิดบนเครื่องบิน

          6. เกิดเหตุจี้เครื่องบิน การจี้เครื่องบินอาจเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในเหตุการณ์ 9/11 ที่มหานครนิวยอร์ก ผู้ก่อการร้ายอาจจะจี้นักบินและเข้าควบคุมเครื่องบินให้ดิ่งลงในมหาสมุทร แต่ข้อสันนิษฐานนี้น่าจะตกไปในเร็ว ๆ นี้ เพราะไม่มีซากชิ้นส่วนของเครื่องบินที่ดิ่งลงมหาสมุทรทั้งลำให้เห็น

          7. การฆ่าตัวตายและก่อการร้ายของนักบินเอง เหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว 2 ครั้งใหญ่ เมื่อประมาณ 20 ปีก่อน โดยเกิดขึ้นกับเหตุเครื่องบินสายการบินซิลค์แอร์ และอียิปต์แอร์ ที่พบว่าไม่มีการก่อการร้ายบนเครื่องบิน ไม่มีพายุหรือสภาพอากาศเลวร้าย และเครื่องยนต์ก็ไม่ได้ขัดข้องเลย เป็นที่เชื่อกันว่าน่าจะมาจากฝีมือนักบินที่จงใจทำเครื่องบินตกนั่นเอง

          8. การถูกโจมตีโดยขีปนาวุธโดยไม่ได้ตั้งใจ เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2531 กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้ยิงขีปนาวุธไปถูกเครื่องบินสายการบินอิหร่าน แอร์ โดยไม่ได้ตั้งใจ กลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่คร่าชีวิตผู้โดยสารและลูกเรือไปทั้งหมด 290 ชีวิต และย้อนกลับไปอีกในปี พ.ศ. 2528 เครื่องบินสายการบินโคเรียนแอร์ ก็ได้ถูกขีปนาวุธของรัสเซียยิงตกเช่นกัน

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก wptv.com

สัตว์แปลก 22 ชนิด ที่คุณอาจไม่คาดคิดว่าจะมีอยู่บนโลก






          1. พิงค์ แฟร์รี่ อาร์มาดิลโล่ (The pink fairy armadillo)

          ลักษณะทั่วไปของอาร์มาดิลโล่หรือตัวนิ่มจะมีเกราะหุ้มทั่วทั้งลำตัว แต่สำหรับพิงค์ แฟร์รี่ อาร์ดิลโล่กลับมีเกราะหุ้มเฉพาะบริเวณด้านหลัง ส่วนใต้ท้องกับลำตัวด้านข้างปกคลุมด้วยขนสีชมพู ขนาดลำตัวประมาณ 3.5-4.5 นิ้ว แถมจมูกกับหางก็ยังสวยกว่าพี่น้องในตระกูลอาร์มาดิลโล่สายพันธุ์อื่น ๆ ด้วย ปกติอาร์มาดิลโล่จะอาศัยอยู่ในโพรงใต้ดิน โผล่ออกมาให้เห็นช่วงหลังฝนตกเท่านั้น




          2. อาย อาย (Aye-aye)

          อาย อาย จัดเป็นลิงสายพันธุ์เก่าแก่ชนิดหนึ่ง ซึ่งมีหน้าตาและลำตัวแตกต่างออกไปจากลิงปกติค่อนข้างมาก เพราะนอกจากมีตากลมโตกับใบหูเหมือนกับค้างคาวแล้ว ยังมีลำตัวที่ซูบซีด ผอมแห้ง เมื่อรวมกับกรงเล็บยาว ๆ และนิ้วเท้าที่มีลักษณะผิดแปลกแล้วยิ่งทำให้น่าเกลียดน่ากลัวเข้าไปอีก นอกจากนี้ อาย อาย ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความตายของชาวมาลากาซี กลุ่มชนในประเทศมาดาร์กัสการ์ด้วย




                                                                             
          3. แมนวูฟ (The maned wolf)

          แมนวูฟ หรือหมาป่าเคราขาว หากใครได้เห็นแค่ครึ่งตัวบนคงคิดว่าเป็นสุนัขจิ้งจอกทั่วไปแน่ ๆ แต่ถ้ามองก้มต่ำลงมาอีกนิดก็จะรู้เลยว่า หมาป่าสายพันธุ์นี้ไม่ธรรมดาจริง เพราะมันมีขาสูงโปร่งราวกับนางแบบบนแคทวอร์กสวมถุงเท้ายาวสีดำซึ่งช่วงเจริญเติบโตเต็มที่ มันจะมีความสูงถึง 3 ฟุต โดยส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ตามลำพังและชอบกินสัตว์เล็กกับพืชเป็นอาหารหลัก




          4. ทัฟท์ เดียร์ (Tufted deer)


          กวางที่มาพร้อมกับเขี้ยวยาว ๆ ทั้ง 2 ข้าง ซึ่งทำให้ดวงตากลมโตคู่นั้น ดูน่ารักน่าชังน้อยลงไปทันที แต่เรื่องของนิสัยก็ไม่ได้แปลกประหลาดหรือดุร้ายอย่างที่เห็น เพราะ ทัฟท์ เดียร์ เป็นสัตว์ขี้อาย รักสันโดษ ชอบอยู่ตัวเดียวมากกว่าเกาะกันเป็นกลุ่ม แถมออกจะตกใจง่ายด้วยซ้ำ ซึ่งพบสามารถพบเห็น ทัฟท์ เดียร์ ได้บนที่ราบสูงในประเทศจีน





          5. หมึกดัมโบ (Dumbo octopus)

          หมึกชนิดนี้อาศัยอยู่ใต้ท้องทะเลลึกราว 3,000-4,000 เมตร มีขนาดลำตัวเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 20 เซนติเมตร เนื้ออ่อนนุ่มกึ่งโปร่งใส มีครีบคล้ายหูเล็ก ๆ งอกออกมาด้านบนของลูกตา นอกจากนี้ยังมีตุ่มบริเวณหนวดจำนวนมาก จึงทำให้มันสามารถผลิตแสงสว่างออกมาได้ด้วย




          6. พาตาโกเนียนมารา (Patagonian mara)

          จัดอยู่ในสัตว์ประเภทฟันแทะ มีรูปร่างคล้ายกระต่าย เนื่องจากมีแขน ขาและหูค่อนข้างยาว ลำตัวใหญ่ ซึ่งจะพบได้ในประเทศอาร์เจนตินาเท่านั้น โดยเฉพาะในเมืองพาตาโกเนีย โดยทั่วไปจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ ช่วงผสมพันธุ์ถ้าหากพาตาโกเนียได้คู่แล้ว พวกมันก็จะครองรักกันไปตลอดชีวิต




          7. ตุ่นหนูไร้ขน (Naked mole rat)

          ตุ่นหนูไร้ขน หรือตุ่นยอดนักขุด มาพร้อมกับรูปร่างและหน้าตาอันแปลกประหลาดเพราะทั้งเนื้อ ทั้งตัว มีเพียงผิวหนังสีชมพูปกคลุมอยู่เท่านั้น ส่วนบนใบหน้าก็มีฟันคู่ขนาดใหญ่ เพื่อเอาไว้แทะ และขุดคุ้ยดิน ว่ากันว่าพวกมันสามารถสร้างโพรงขนาดใหญ่ ที่มีความกว้างประมาณ 6 สนามฟุตบอลเลยทีเดียว แถมมันยังมีอายุเฉลี่ยถึง 28 ปี เรียกได้ว่าเป็นสัตว์ธรรมดาที่ไม่ธรรมดาจริง ๆ


                                                                             
          8. โลมาอิรวดี (Irrawaddy dolphin)
          แค่ได้ขึ้นชื่อว่า โลมา ก็การันตีเรื่องของความน่ารักได้อยู่แล้ว และเมื่อมีคำว่าอิรวดีเข้ามาก็ยิ่งทำให้น่าสนใจเข้าไปใหญ่ โลมาอิรวดีมีหัวกลมมนคล้ายกับมีใครปั้นแต่งมาอย่างไรอย่างนั้น อีกทั้่งดวงตากลมโตใส หากได้สบตาเป็นต้องหลงเสน่ห์กันอย่างแน่นอน ส่วนมากโลมาพันธุ์นี้จะกระจายตัวอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกมหาสมุทรอินเดีย และอ่าวไทย โดยเฉพาะบริเวณน้ำกร่อยกับน้ำจืด




          9. เจเรนุก (The gerenuk)

          ชื่อของสัตว์ประเภทนี้มาจากภาษาโซมาเลีย มีความหมายว่า คอยีราฟ เพราะถึงแม้ลำตัวและลักษณะโดยรวมจะดูคล้ายกับกวางทั่วไป แต่กลับมีคอยาวยืดคล้ายยีราฟเวลาจะกัดกินอาหารบนต้นไม้ พวกมันก็จะใช้  2 ขาหน้าเกาะกิ่งเอาไว้เหมือนท่ายืนของจิงโจ้ ซึ่งส่วนใหญ่จะพบมากทางฝั่งตะวันออกของแอฟริกา




          10. พะยูน (Dugong)

          จะเรียกว่าเป็นโลมาก็ไม่ใช่ จัดอยู่ในกลุ่มวาฬก็ไม่เชิง แถมยังสืบทอดสายพันธุ์เดียวกันกับช้างด้วย โดยลักษณะทั่วไปมีความคล้ายคลึงกับแมวน้ำ เริ่มตั้งแต่ลำตัวอ้วนกลม ไม่มีหู และครีบหลัง ปากเหมือนงาช้างใช้สำหรับต่อสู้และขุดหาอาหาร เป็นสาเหตุให้มีคนเรียกพวกมันว่า หมูน้ำ หรือหมูดูด ส่วนมากอาศัยอยู่ตามชายฝั่งและบริเวณที่มีน้ำตื้น




          11. บาบิรูซ่า (The babirusa)

          แค่ชื่อก็สะดุดหูหากได้พบกับตัวจริงยิ่งทึ่งเข้าไปใหญ่ เพราะเป็นหมูที่มีเขี้ยวงอกขึ้นมาจากแถบฟันล่างและเหนือจมูกถึง 4 ซี่ ขณะที่หมูทั่วไปไม่มี และหมูป่าก็มีแค่เขี้ยวเล็ก ๆ เท่านั้นเอง ซึ่งสามารถพบบาบิรูซ่า หรือหมูกวาง ได้ในประเทศอินโดนีเซีย โดยเฉพาะบนเกาะสุราวาสี โทเกียน ซูลา และเกาะบูรู




          12. ปลาเเลมป์เพรย์ (Lamprey)

          เพราะหน้าตาที่แปลกประหลาดและน่ากลัวมากที่สุดเท่าที่มีมา จึงทำให้ปลาชนิดนี้ตกเป็นข่าวครึกโครมอยู่ช่วงใหญ่ ๆ เลยทีเดียว ด้วยปากคล้ายท่อดูดที่เต็มไปด้วยหนามแหลมคอยเกาะดูดกินอาหารจากปลาตัวอื่น ๆ ไปทั่ว และจากโครงสร้างดังกล่าว ทำให้นักวิทยาศาสตร์ตั้งข้อสันนิษฐานว่า ปลาแลมป์เพรย์ น่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่า 300 ล้านปี แถมยังอยู่ในตระกูลเดียวกับปลาฉลามด้วย




          13. ฟอสซา (The fossa)

          แมวยักษ์ผสมพังพอนที่พบบนเกาะมาดาร์กัสการ์เท่านั้น ความแปลกประหลาดของฟอสซาไม่ได้อยู่ที่หน้าตาเพียงอย่างเดียว แต่เพราะเพศเมียที่ยังไม่ถึงวัยเจริญพันธุ์จะมีกระดูกคล้ายอวัยวะสืบพันธุ์ของเพศผู้ยื่นออกมาด้วย ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นปุ่มคลิตอริสนั่นเอง ฉะนั้นหากบังเอิญไปพบเห็นที่ไหนก็อย่าเพิ่งเข้าใจผิดคิดว่าฟอสซาเป็นสัตว์ผิดเพศกันนะ




          14. ตุ่นจมูกดาว (Star-nosed mole)
          ตุ่นจมูกดาวมักอาศัยอยู่ในเขตที่ราบลุ่มทางตะวันออกของประเทศแคนาดาหรือทางตอนเหนือของประเทศสหรัฐอเมริกา หากพบเห็นก็รู้ได้ทันที เพราะรอบ ๆ จมูกของมันจะมีหนวดสีชมพูอ่อนยื่นยาวออกมาประมาณ 11 คู่ โดยมีจุดสัมผัสอยู่ราว 1 แสนจุด ทำให้ตุ่นจมูกดาวสามารถจับเหยื่อกินได้ภายในเวลาเพียง 120 มิลลิวินาทีเท่านั้น นอกจากนี้ พวกมันยังสามารถดมกลิ่นใต้น้ำเพื่อล่าเหยื่อได้อีกด้วย




          15. บ่างหรือพุงจง (Sunda colugo)

          สัตว์ตระกูลเดียวกับลิงลม แต่หน้าตาคล้ายกับกระรอก เพราะมีโครงหน้าแหลมหูสั้น ตากกลมโต อีกทั้งยังมีพังผืดเชื่อมต่อระหว่างขาทั้ง 4 ข้าง ทำให้สามารถโผบินได้อย่างสบาย แถมเอกลักษณ์ที่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดคือ ขนสีน้ำตาลแดงที่มาพร้อมกับจุดขาวเล็ก ๆ ทั่วทั้งลำตัว โดยส่วนใหญ่มักจะออกหากินในเวลากลางคืน
เท่านั้น




          16. ดุยเกอร์ลาย (Zebra duiker)

          จัดอยู่ในประเภทสัตว์กีบมีลักษณะคล้ายกับกวาง แต่แตกต่างที่บริเวณด้านหลังของดุยเกรอ์ลายจะมีแถบเส้นสีดำพาดผ่านสลับกับขนสีแดงน้ำตาลแบบเดียวกับม้าลาย โดยเพศผู้จะมีเขางอกออกมาประมาณ 4.5 เซนติเมตร ส่วนเขาของตัวเมียจะมีความยาวเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น พวกมันชอบอาศัยอยู่ในพื้นที่ต่ำของป่าดิบชื้นและกินใบไม้กับผลไม้เป็นอาหาร




          17. ปูเยติ (Yeti crab)
          สาเหตุที่ได้ชื่อว่า ปูเยติ เพราะเปลือกด้านนอกของมันถูกปกคลุมด้วยขนสีขาวปุกปุยไปทั่วทั้งตัว คล้ายกับมนุษย์วานรแห่งยอดเขาหิมาลัยนั่นเอง ปูประเภทนี้ไม่ได้พบเห็นกันง่าย ๆ เพราะอาศัยอยู่ในน้ำลึกกว่า 1,250 เมตร ในมหาสมุทรแฟซิฟิก บริเวณเขตน่านน้ำเขตประเทศชิลีห่างออกไปทางตอนใต้จากเกาะอีสเตอร์ราว 1,500 กิโลเมตรจากฝั่ง




          18. นกปักษาสวรรค์ (Superb bird of paradise)

          นกในตระกูลเบิร์ดออฟพาราไดซ์ที่มีความสวยงามและน่าทึ่งไม่น้อย เพราะหากมองตรง ๆ แทบไม่รู้เลยว่าตรงไหนหัวตรงหาง มีเพียงดวงตาสีขาวกับขนแถบสีเขียวโผล่ออกมาจากกลุ่มขนสีดำเท่านั้น เอาไว้ใช้ดึงดูดเพศเมียในช่วงฤดูผสมพันธุ์ พบมาในป่าทึบของนิวกินี กินผลไม้และแมลงเป็นอาหารหลัก




          19. ปลาบร็อบ (Blob fish)

          ปลาหน้าบึ้งตัวหยุ่นซึ่งอาศัยอยู่ในน้ำลึกที่มีแรงดันมากกว่าปกติถึง 12 เท่า ทำให้เนื้อมีลักษณะคล้ายวุ้น มีความหนาแน่นน้อย เพื่อให้สามารถว่ายน้ำเหนือพื้นทะเลได้ ส่วนวิธีจับเหยื่อก็คือ ลอยตัวอยู่พื้นแล้วทิ้งตัวลงมาทับเห็นง่าย ๆ แบบนี้แต่ได้ผลดีมาก เพราะหากจู่โจมเข้าไปตรง ๆ มีโอกาสที่มันจะได้รับอันตรายมากกว่า




          20. ตะพาบหัวกบ (Cantor’s giant soft shelled turtle)

          ช่วงลำตัวกับขาไม่ต่างจากตะพาบทั่วไป ยกเว้นส่วนหัวที่มีลักษณะเล็กสั้น คล้ายกับกบ สำหรับขนาดใหญ่ที่สุดที่เคยมีการค้นพบ อยู่ที่ประมาณ 120 เซนติเมตร ถึงแม้จะเห็นมันดูนิ่ง ๆ แต่ที่จริงตะพาบพันธุ์นี้กลับมีนิสัยดุร้ายส่วนใหญ่จะฝังตัวอยู่ในพื้นทรายใต้น้ำ เพื่อรอเหยื่อผ่านมา




          21. หนูเจอร์บัว (Gobi jerboa)

          หนูผสมจิงโจ้อาศัยอยู่ในทะเลทรายของประเทศมองโกเลียและจีน มีความยาวตลอดลำตัวเพียงแค่ 15-16 เซนติเมตร และสามารถกระโดดได้ไกลถึง 3 เมตร ส่วนขาหน้าเอาไว้หยิบจับอาหาร กับใบหูยาว ๆ ที่มีไว้สำหรับจับคลื่นเสียง โดยเวลาปกติจะฝังตัวอยู่ชั้นใต้ดินของพื้นทราย โดยจะออกมาหากินเฉพาะเวลากลางคืนเท่านั้น




          22. ปูแมงมุมญี่ปุ่น (Japanese spider crab)

          ชื่อภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ทาคาชิกามิ เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดความกว้างถึง 4 เมตร น้ำหนักตัว 20 กิโลกรัม โดดเด่นด้วยกระดองกับเปลือกสีส้ม อาศัยอยู่ใต้ท้องน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิกที่มีความลึกประมาณ 300-400 เมตร และมีอายุยืนถึง 100 ปี โดยกินซากและสัตว์ตัวขนาดเล็ก อย่างเช่น กุ้ง ปลา หอยเป็นหลัก พบมากบริเวณนอกชายฝั่งทางทิศของเกาะฮอนชูจนถึงเกาะคิวชูบนพื้นทรายหรือโคลนเท่านั้น


          สัตว์บางชนิดแม้จะดูแปลกตาไปบ้าง แต่พวกมันก็มีความน่ารักอยู่ไม่น้อย แถมตอนนี้บางชนิดก็กลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงไปแล้วด้วย ขณะที่บางตัวก็น่ากลัวเสียจนไม่คิดว่าจะมีตัวตนอยู่จริง ๆ อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะสวยงามหรือแปลกประหลาดขนาดไหน ก็นับเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจิตใจ และมีความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ฉะนั้นควรปล่อยให้สัตว์ต่าง ๆ เหล่านี้อยู่ตามธรรมชาติ อย่าไปล่าหรือจับมาทำอาหาร และคอยชื่นชมอยู่ห่าง ๆ เพื่ออนุรักษ์เอาไว้ดีกว่า

ขอขอบคุณ Kapook.com