THE NATURAL OF REVENGE: 03/01/2012 - 04/01/2012

วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

เรื่องลับๆ ของ เกรเกอรี่ รัสปูติน thank PANTIP

    รัสปูติน   แต่ไหนแต่ใดมา ราชวงศ์โรมานอฟทุกพระองค์ที่ประทับในวังปีเตอร์สเบิร์กมีความภาคภูมิใจว่า ทรงสืบเชื้อสายมาจากสวรรค์ พวกเขาเป็นเสมือนลูกหลานของพระเจ้า

                   ทว่าซาร์นิโคลาสที่ 2 กลับไม่เห็นด้วยกับความคิดดังกล่าว เขาหวาดกลัวที่จะขึ้นครองราชย์ เมื่อเขาได้เห็นเสด็จปู่ถูกลอบสังหารเป็นชิ้นๆ ด้วยแรงระเบิด และเมื่อพระบิดาของซาร์ คือ อเล็กซานเดอร์ที่ 3 สิ้นพระชนม์ลง ซาร์ถึงกับคร่ำครวญว่า "ฉันไม่อยากเป็นKing ฉันไม่รู้เรื่องการปกครอง ฉันกลัว"

                   อย่างไรก็ตามก่อนที่ซาร์ขึ้นครองราชย์ พระองค์ก็ทรงมีผู้คอยให้กำลังใจข้างกายเสมอ เธอคือเจ้าหญิงเยอรมันทรงโฉมนาม อเล็กซานดรา เฟโดรอฟนา ทั้งสองพบกันครั้งแรกในงานฉลองสมรสกลางฤดูหนาว ณ วังปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งในขณะนั้นทั้งคู่อายุเพียง 16 ชันษา

                    ปี ค.ศ. 1896 นิโคลาส และอเล็กซานดรา ทรงราชาภิเษกขึ้นเป็นซาร์และซานินาปกครองอาณาจักรรัสเซียอันไพศาล พิธีราชาภิเษกนั้นจัดอย่างยิ่งใหญ่ดั่งเทพนิยาย เสียงกึกก้องกัมปนาทด้วยเสียงปืนใหญ่ ขบวนแห่สู่พระราชวังเคลมลินด้วยเหล่าทหารองครักษ์นับพัน มีการดื่มฉลองกันทั่วบ้านทั่วเมือง

                   แต่ก็มีเหตุนองเลือดได้สิน่า....

                   เหตุผลในวันนั้นมีการแจกเบียร์และขนมปังฟรี พอดีช่วงนั้นรัสเซียยากจนข้นแค้นขนาดหนัก ประชาชนก็เลยแย่งของแจกอย่างชุลมุน กลายเป็นจลาจล ราษฏรทั้งชายหญิงและเด็กโดนเหยียบด้วยไปกว่าพันคน!

                   ลางร้าย! นับเป็นการเริ่มต้นรัชการใหม่ที่น่าสยดสยองอย่างยิ่ง และมันยังหลอกหลอนสมาชิกราชวงศ์ทุกพระองค์นับตั้งแต่บัดนั้น

                   สิ่งปรารถนาอันยิ่งใหญ่ของซาร์คือการมีเจ้าชายรัชทายาทผู้ที่จะเป็นประมุข คนต่อไป แต่เหมือนสวรรค์ล่มเพราะองค์กลับได้แต่พระราชธิดาถึง 4 พระองค์ นับตั้งแต่ โอลก้า ทาเทียน่า มาเรีย และ อนาสตาเซีย

                   ซาร์และซาริน่ายังไม่ได้ละความพยายาม ทั้งสองร่วมกันสวดอ้อนวอนขอพรจากพระเจ้าเพื่อขอให้ได้ลูกชาย  จนกระทั้ง ในวันที่ 5 สิงหาคม 1904 พระองค์ก็ได้เจ้าชายรัชทายาทนาม อเล็กไซ นิโคลาวิช โรมานอฟ อย่างสมพระทัย

                   แต่ดั่งสรรค์ล่มอีกครั้ง เมื่อพบว่าเจ้าชายน้อย ทรงมีพลานามัยไม่สมบูรณ์ ประชวรด้วยโรคร้าย ฮีโมฟีเลีย ถ้าเป็นแผล โลหิตจะไหลไม่หยุด จนอาจซ็อกสิ้นพระชนม์ได้ และโรคนี้ยังไม่มีทางรักษา!

                   ซาร์และอเล็กซานดราต้องทุกข์ระทมอีกครั้ง!


                   เรื่องนี้ซาร์ทรงปิดเป็นความลับ ห้ามไม่ให้คนในวังล่วงรู้เด็ดขาด ยกเว้นคนสนิทเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

                   ระหว่างนั้น พระองค์และพระราชินีได้ทรงเสาะแสวงหาหมอฝีมือดีมารักษารัชทายาท ด้วยเหตุนี้ทั้งสองเริ่มฝักใฝ่ในศาสนาตลอดจนมนต์ วิชาต่างๆ

                   และการเสาะแสวงหานึ้ ได้นำมาซึ่งหายนะในเวลาต่อมา
     
     


 
 




        ไม่รู้ว่าบุคคลลึกลับผู้นี้มาจากจากไหน จู่ๆ ก็เขามาในวังในขณะที่อเล็กซานดราทรงเชื้อเชิญให้เข้าไปรักษาในปี  พ.ศ. 2448 เจ้าชายน้อยที่กำลังบรรทมเจ็บปวดรวดร้าวจากอาการเลือดตกจนใกล้สิ้นพระชนม์

                       จากหลักฐานประวัติของรัสปูตินพบว่า.........................

                       กริกอริ  รัสปูติน  เกิดเมื่อ  พ.ศ. 2374 ( สมัยรัชกาลที่ 3 ของไทย )  เกิดในครอบครัวเกษตรกรบ้านนอกของไซบีเรีย  โดยเป็นบุตรคนที่สามของอีฟิม  อากอฟเลวิช  และแอนนา  อีกอรอฟน่า  ซึ่งอาศัยในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของเมืองโปดรอฟสโกยี  ( สันนิษฐานว่า  ครอบครัวนี้อาจเป็นพวกมองโกลจากเมืองโตบอลสก์ )  ในตอนเป็นหนุ่ม  รัสปูตินมีความกระหายที่จะเป็นแบบเกษตรกรผู้ที่ทำงาน  ดื่มเหล้าหนัก  และเสเพลเรื่องผู้หญิง  ขนาดอวัยวะเพศอันผิดมนุษย์มนาของเขาเป็นที่ชื่นชอบขอเด็กสาวๆ ในหมู่บ้าน  ซึ่งมาดูเขาเปลือยกายว่ายน้ำในสระเช่นเดียวกับพวกเธอ ( บางตำราที่กล่าวถึงรัสปูติน  อ้างว่า  รัสปูตินมีอวัยวะเพศยาวถึง 13 นิ้ว !!! )  วันหนึ่ง ไอริน่า  แดนิลอฟว่า  คูบาชอฟว่าภรรยาสาวสวยของนายพลรัสเซียร่วมกับสาวใช้  6  คน  ร่วมกันล่อลวงเด็กหนุ่มรัสปูตินอายุ  16  ปีไปเสียตัว  หลังจากเหตุการณ์ครานั้นแล้ว  รัสปูตินจึงเริ่มเที่ยวโสเภณีในหมู่บ้านเกิดของเขา

                       เมื่อถึงอายุ 20 ปี   รัสปูตินแต่งงานกับเด็กสาวในท้องถิ่นเดียวกัน ชื่อ   ปราสโกเวีย   เฟโอ  โดรอฟน่า    ดูโบรวิน่า และเป็นพ่อของเด็กสี่คน สามคนมีชีวิตอยู่จนเป็นผู้ใหญ่ แม้ว่าจะแต่งงานแล้ว เขาก็ยังเที่ยวโสเภณีอยู่

                       จากการได้ร่วมสนุกทางกามารมณ์กับเด็กสาวนาไซบีเรียสามคน ซึ่งเขามีโอกาสพบขณะไปว่ายน้ำเล่นที่ทะเลสาบนั้นเอง   ได้ชักจูงให้รัสปูตินรู้ถึงความหลายหลากในศาสนา   ในราว  พ.ศ. 2443   เขาก็ได้ร่วมกับนิกายนอกรีตนอกรอยที่เรียกว่า   นิกายคลิสติ   กลุ่มศาสนิกชนผู้ยึดถือในนิกายนี้เชื่อว่ามนุษย์มีบาปมาแต่เริ่มแรก   จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องไถ่บาปในเวลาต่อมา   ดังนั้น   พวกเขาจึงประกอบพิธีอันพิลึกพิลั่นหลายอย่างเกี่ยวกับความวิตถารในทาง กามารมณ์และการบูชายัญ   ผู้คนในหมู่บ้านบ้านเกิดของรัสปูตินไม่เห็นด้วยและรังเกียจพฤติกรรมเหล่านี้ ของเขา จึงขับไล่รัสปูตินออกจากหมู่บ้าน ทำให้เขาต้องเร่ร่อนไปทั่วชนบทของรัสเซียมานานหลายปี  แต่ยังไม่วายยังคงทำประกอบการเยียวยารักษาโรคโดยวิธีพลังจิต   และชักชวนผู้หญิงในแดนเถื่อนให้เข้าร่วมพิธีกรรมอันวิตถารพิธีกรรมเหล่านี้ ประกอบด้วยการดื่มเหล้า  การร้องเพลง  การเต้นรำอย่างบ้าคลั่ง  และก็ทำกิจกรรมอย่างว่าเป็นหมู่คณะ ( สวิงกิ้งนั่นเอง )  ในทุกๆ แห่งที่สะดวกไม่ว่าจะเป็นป่า ( โปรดนึกภาพตามว่าสภาพจะเป็นอย่างไร ) ยุ้งข้าว  หรือกระท่อมของสาวกคนใดคนหนึ่ง   หลักนิยมของรัสปูตินในการไถ่บาปผ่านการปลดปล่อยทางกามารมณ์นั้น   ทำให้สตรีมากมายที่ศรัทธาในนิกายนี้ต้องบำเรอความสุขให้เขาเสียก่อนเป็นขั้น แรก แม้ว่ารูปโฉมของ  " นักบุญจอมราคะ "  แสนจะสกปรกเลอะเทอะ   โรเบิร์ต   แมสซี่ นักเขียนอัตชีวประวัติจึงบันทึกไว้ว่า

        " การร่วมเพศกับคนบ้านนอกที่ไม่ได้อาบน้ำ หนวดเคราและมือสกปรก ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกเสียวซ่านอย่างใหม่ขึ้น "
         
         


       
       



        ไม่รู้ว่ารัสปูติน ใช้วิธีอะไร จู่ๆ อาการเลือดตกของเจ้าชายน้อยก็หายจนปลิดทิ้ง!

                       หลายคนเชื่อว่า เขาใช้พลังจิตในการรักษาอาการป่วย

                       หลายคนแย้งว่านี้อาจเป็นเหตุบังเอิญ

                       แม้จะจะด้วยเหตุผลใดก็ตามการรักษาเยียวยานั้นมันได้ผลตลอดมาถึง 12 ปี เรียกว่าถ้าเจ้าชายน้อยมีแผลเมื่อใดต้องขอรัสปูตินช่วยทุกครั้ง

                       พระราชินีทรงเชื่อมั่นว่ารัสปูตินได้รับพลังอำนาจจากพระเจ้า พระนางจึงทรงเชิญให้เขาเข้ามาพำนักอยู่ในราชฐานชั้นใน พื่อดูแลรักษาเจ้าชายน้อยอย่างใกล้ชิด

                       ที่นี้เองที่ทำให้รัสปูตินได้มีโอกาสคลุกคลีกับสาวกำนัลในราชวัง จนกลายเป็นข่าวอื้อฉาวว่าเขามีสัมพันธ์สวาทต่อนางข้าหลวง ตลอดจนเจ้าหญิง หรือแม้กระทั้งพระราชินีอเล็กซานดราก็ไม่เว้น!

                       ยิ่งไปกว่านั้น รัสเซียเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่  1 ใน ค.ศ.1914 พระเจ้าซาร์เห็นความสำคัญต่อการศึกในครั้งนี้ จึงทรงร่วมในการบัญชาการการรบด้วยตัวพระองค์เอง จึงเป็นเหตุให้รัสปูตินกระทำการบัดสีต่างๆ ได้ตามอำเภอใจหนักขึ้นเพราะเขาเป็นที่โปรดปรานของพระราชินี

                       คนที่เต็มใจเป็นคู่ขาในทางกามารมณ์ของรัสปูตินมีอยู่หลายคน  แต่มักจะไม่ปรากฏนามอย่างเปิดเผย  ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นสูงหรือผู้มีชื่อเสียง  เช่น  นักแสดงหญิง  ภรรยาทหาร  และเมื่อไม่มีใครอื่นที่จะใช้ระงับตัณหาราคะอันมหาศาลของเขาได้แล้วละก็  สาวใช้ในโรงแรมหรือโสเภณีก็ได้   สุภาพสตรีที่มีชื่อเสียงที่สุดของรัสปูติน  คือ  องค์ซารีน่า  นั่นเอง   สำหรับองค์ซารีน่าแม้จะไม่ถึงกับตกเป็นทาสสวาท  แต่ก็มีลายพระหัตถ์อันเพราะพริ้งถึงรัสปูตินให้คำมั่นว่าจะ  "...จูบมือของพระคุณเจ้าและแนบศีรษะของลูกกับไหล่อันศักดิ์สิทธิ์ของพระคุณ เจ้า..."  ผู้หญิงซึ่งรัสปูตินผู้อดทนมากที่สุดคือ  ภรรยาของเขาเอง  ปราสโกเวีย  ซึ่งต้องทนทุกข์ทรมานกับการนอกใจของเขามาชั่วชีวิตโดยไม่ปริปากบ่น  หล่อนเพียงแต่ยักไหล่และพูดอย่างใจกว้างว่า
        " เขามีเพียงพอสำหรับคนทั้งหมด "

               

                      ภาพ :  ขนาดความยาว 28 เซ็นติเมตร (11 นิ้ว) ในโหลแก้ว ซึ่งถูกจัดแสดงอยู่ที่คลินิคแห่งหนึ่งในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
         
         


       
       



        ประวัติศาสตร์ได้บันทึกว่า

                       "พระราชินีทรงคิดว่า พระเจ้าได้สื่อสารกับพระราชวงศ์โดยการผ่านทางรัสปูติน เมื่อเขาพูดสิ่งใด พระนางก็ทรงปฏิบัติตามโดยไม่รอช้า ดังนั้นเมื่อรัสปูตินแนะนำใครมาดำรงตำแหน่งที่สูงๆ หรือขับไล่ใครคนใดคนหนึ่งออกจากวัง พระนางก็ทรงทำตามดังนั้น"

                       ความเหิมเกริมของรัสปูตินทำให้เชื่อพระวงศ์และข้าราชบริพารกลุ่มหนึ่งทนไม่ ไหวกับการกระทำของเขา โดยเฉพาะเจ้าชายยูสโซบอฟ ซึ่งเป็นเชื่อพระวงศ์ผู้มั่งคั่งที่สุดองค์หนึ่ง เจ้าชายจึงทรงวางแผนกับผู้ใกล้ชิด ลวงรัสปูตินไปยังห้องใต้ดิน จากนั้นก็ให้ดื่มไวน์ชั้นเยี่ยมและกินแป้งราดครีมอันโอชะ ขนาดฆ่าคนธรรมดาได้ถึงสิบคนสบายๆ

                       แต่รัสปูตินไม่ใช่คนธรรมดา ทั้งที่ดื่มทั้งกินสารพิษเข้าไปแล้วก็ยังมีท่าทีปกติ ยูสโซปอฟแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ด้วยความโกรธและตกใจ เจ้าชายชักปืนรัเวอลเวอร์ออกมากระหน่ำยิงรัสปูตินจนล้มคว่ำ สิ้นเสียงปืน ยูสโซบอฟเข้าไปก้มดูร่างที่นอนนิ่งอยู่ หากทว่าร่างนั้นกลับลืมตาจ้องถมิงทึงพลางคำราน "แก ไอ้บัดซบ"

                       ยูสโซปอฟตระหนกสุดขีด แล้ววิ่งขึ้นบันไดร้องลั่น "มันไม่ตาย! มันยังมีชีวิต!"

                       ไม่เพียงแต่จะพยุงร่างตนเองขึ้นได้ แต่รัสปูตินยังสามารถเดินโซซัดโซเซออกไปสนามหน้าวัง โดยมีกลุ่มผู้วางแผนฯวิ่งระดมยิงตามหลังอย่างบ้าคลั่ง แต่กระสุนไม่สามารถปลิดชีพนักบวชพลังจิตได้ สุดท้ายกลุ่มผู้วางแผนฯไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงจำเป็นต้องจับร่างของรัสปูตินมัดและโยนลงในน้ำเนวาที่ไหลผ่านนครเซนต์ปี เตอร์สเบริร์กอากาศที่หนาวจัดทำให้น้ำบางส่วนกลายเป็นน้ำแข็ง

                       ภายหลังมีการพบศพของรัสปูติน เขาสามารถแก้มัดด้วยตนเอง ยาพิษและกระสุนปืนไม่ระคายเคืองแก่รัสปูติน เขาตายเพราะจมน้ำ

                       มีเรื่องตลก หลังจากการเสียชีวิตของรัสปูติน แพทย์ทำการชันสูตรได้ตัดเจ้าโลกออกและขวางทิ้ง(ไม่รู้ว่าทำไมถึงแค้นนักหนา)

                       สำหรับอวัยวะเพศของรัสปูตินที่ถูกโยนไปนั้น  มีเรื่องเล่ากันว่า  มีคนรับใช้ผู้ชายได้เก็บ " สิ่งที่ถูกเหวี่ยงทิ้ง "  ไปให้แก่สาวใช้คนหนึ่ง  และปรากฏว่าได้พบตัวสาวใช้ผู้นั้นที่ปารีสในปี พ.ศ. 2511  หล่อนยังเก็บรักษา " สิ่งที่ดูคล้ายกล้วยหอมซึ่งงอมจัดจนดำไปหมด "  ไว้ในกล่องไม้ขัดมัน

        ปัจจุบัน เจ้าโลกของรัสปูตินถูกจัดแสดงอยู่ที่คลินิคแห่งหนึ่งในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก คุณหมออีกอร์ เคนียจิน ผู้จัดแสดงยืนยันว่าอวัยวะชิ้นนี้เป็นของ กรีกอรี รัสปูติน นักบวชผู้ทรงอิทธิพลในราชสำนักสมัยราชวงศ์โรมานอฟ และอ้างว่าเขาได้รับอวัยวะดังกล่าวมาจากนักสะสมของโบราณชาวฝรั่งเศส
       
       



       



        ข่าวความตายของรัสปูตินแพร่กระจายไปทั่วอาณาจักรสร้าง ความโศกแก่อเล็กซานดรายิ่งนัก ไม่ใช้เพราะเสียคนสนิท แต่เนื่องจากก่อนหน้าที่รัสปูตินจะตายไม่นาน เขาได้บันทึกสั้นๆ ถึงพระองค์ว่า

                       "ขอได้ทรงรับรู้ว่า หากคนที่ฆ่าหม่อมชั้นตายเป็นคนสามัญธรรมดา ราชวงศ์โรมานอฟก็จะยั่งยืนต่อไป แต่ถ้าหากเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ทำให้หม่อมชั้นตาย พระองค์และครอบครัวจะต้องสิ้นพระชนม์ในสองปี จากฝีมือของประชาชนในรัสเซีย" เกรกอรี รัสปูติน

                       มีนาคม 1917 ไม่ถึง 3 เดือน หลังการตายของรัสปูติน กระแสการปฏิวัติเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่นครหลวงของรัสเซีย ขบวนชาวนาและคนงานอุตสาหกรรมแห่กันมาถวายฏีกาให้ปรับปรุงระบบการบริหาร ประเทศ แต่องค์รักษ์วังหลวงกลับต่อต้านด้วยอาวุธปืน ความจลาจลวุ่นวายเกิดขึ้น และผลสุดท้ายซาร์จำใจต้องสละราชบัลลังก์ พระองค์และเชื้อพระวงศ์ถูกควบคุมตัว และไปกักขังไว้ ณ ไซบีเรียอันห่างไกลและทุรกันดาล

                       นี้เป็นชะตาที่พลิกผันชีวิตอันสูงสุดมาต่ำสุดที่น่าสมเพชอย่างยิ่ง แก้ไข เมื่อ 07 พ.ย. 51 18:09:47
         
         


       
       



        บันทึกจากป้าโอลก้า

                       บันทึกนี้ตัดตอนจากบันทึกความทรงจำของป้าโอลก้า ผู้ซึ่งหลบหนีไปจากประเทศรัสเซียไปอยู่แคนาดาในช่วงสงครามเมืองเกิดขึ้น

                       อนาสตาเซียมีอายุย่างเข้าสิบเจ็ดปี เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ.1918 แต่บรรยากาศภายในบ้านกลับตรงกันข้าม ทุกคนหมดความกระตือรือร้นที่จะจัดงานวันเกิดให้ หน้าต่างทุกบานถูกปิดเงียบ อาหารที่ทานก็มี ขนมปัง ชา และของอื่นๆ ที่พอมีเหลือ

                       พวกเราได้รับอนุญาตให้ออกมาข้างนอกวันละหนึ่งครั้งเท่านั้น เมื่อเดินออกไปที่สวนก็เห็นพระเจ้าซาร์อุ้มอเล็กอยู่ เพราะยังไม่ฟื้นไข้ดีจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในเมืองโทโบลส์ ทหารยามคอยควบคุมสังเกตการณ์พวกเราตลอดเวลา ประตูทุกบานในทุกห้องนอนแม้กระทั้งห้องน้ำถูกถอดออก ผนังห้องน้ำถูกปกคลุมด้วยผ้าผืนใหญ่ อนาสตาเซียและครอบครัวของเธอเริ่มหมดความหวังและเบื่อหน่ายต่อสถานที่ จนบางครั้งอยากจะหนีไปเสียให้พ้นทุกสิ่งทุกอย่าง พระเจ้าซาร์ทราบดีว่าพวกบอลเซวิคกำลังต่อสู้อย่างในสงครามกลางเมืองกับทหาร ที่จงรักภักดีต่อพระองค์คือกองทัพฝ่ายขาว ถ้าพวกฝ่ายขาวชนะและยึดเมืองเอ็กคาเทอรินเบิร์กได้ครอบครัวของท่านก็ปลอดภัย

                       ราวเที่ยงคืน 16 กรกฎาคม 1918 ครอบครัวของพระเจ้าซาร์ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นกลางดึก มีคนมาแจ้งข่าวว่าเกิดการต่อสู้อย่างหนักในสงครามกลางเมือง เพื่อความปลอดภัยของแต่ละคน ทุกคนจะต้องปลอมแปลงตัวและหลบอยู่ในบ้านตรงจุดที่หาพบได้ยาก พระเจ้าซาร์อุ้มอเล็กลงไปชั้นล่างตามด้วยอเล็กซานดรพร้อมกับบุตรสาวอีก 4 คน และหมอประจำตัวของพระเจ้าซาร์ คนรับใช้อีก 3 คน อนาสตาเซียอุ้มจิ่มมี่น้อยตามมาด้วย จิมมี่หัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยเป็นผู้นำทางให้พวกพระเจ้าซาร์ให้ไปหลบ ซ่อนในห้องเล็กๆ ในห้องนั้นไม่มีเก้าอี่เลย ทุกคนต้องนั่งบนพื้น จิมมี่หัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยก็ออกไปจากบ้าน สักครู่ต่อมาเขากลับมาพร้อมทหารอีกจำนวนหนึ่ง จิมมี่หยิบกระดาษแผ่นเล็กขึ้นมาอ่าน ด้วยน้ำเสียงที่แข็งขัน

                       "ครอบครัวของท่านทุกคนต้องถูกประหารชีวิต"

                       "นี่! อะไรกันจิมมี่?" พระเจ้าซาร์ร้องถามขึ้นอย่างตระหนก

                       จิมมี่ไม่ตอบ กลับดึงปืนมาจากซองแล้วยิงที่เศียรของพระเจ้าซาร์ชนิดเผาขน เสียงปืนระเบิดดังกึกก้องในห้องนั้น ทุกคนไม่มีโอกาสแม้แต่วิงวอนขอร้องชีวิตกับพวกทหาร ลูกกระสุนของทหารต่างปลิวว่อนภายในห้อง อนาสตาเซียกับแมรี่ก้มหัวลงหลบกระสุนและซุกตัวอยู่ข้างผนัง พวกทหารยังระดมยิง จนกระทั้งเสียงหวีดร้องเงียบลง

                       ยูรอฟสกี้ ผู้ควบคุมประหารชีวิตก้าวเดินสำรวจ พบว่าเจ้าชายอเล็กยังไม่สิ้นพระชนม์ ยูรอฟสกี้ยกปืนพกขึ้นยิงหัวอีก 2-3 นัดเป็นอันเสร็จพิธี

                       และเป็นจุดสิ้นสุดราชวงศ์โรมานอฟที่ปกครองราชวงศ์รัสเซียอันยาวนานด้วย

                       ศพทุกศพถูกห่อด้วยผ้าและจับโยนราวกับขยะไม่ปานขึ้นไปยังรถบรรทุกที่จอดรถรอ อยู่ข้างนอก และขับหายไปในความมือ

                       อีก 8 วันต่อมา กองทัพขาวของพระเจ้าซาร์ก็สามารถยึดเมืองเอ็กคาเทอรินเบิร์กไว้ได้ พวกทหารขาวได้เข้าไปสำรวจห้องที่มีการสังหารหมู่ครอบครัวของพระเจ้าซาร์ เห็นรอยเลือดและรอยกระสุนปืนมากมายตามฝาผนังบ้าน นอกจากนี้ยังพบแหวนไข่มุกของอเล็กซานดรา เข็มขัดหนังของพระเจ้าซาร์ หมวกของอเล็ก

                       แต่ไม่รู้ว่าร่างของพวกเขาไปอยู่ที่ไหน
         
         


       
       



        หลายปีต่อมา จู่ๆ ก็มีสตรีนางหนึ่งปรากฏตัวในยุโรป เธออ้างว่าเป็นเจ้าหญิงอนาสตาเซีย ธิดาคนสุดท้องของะเจ้าซาร์ เธออ้าวว่าเธอรอดชีวิตจากการสังหารหมู่ในบ้านมรณะนั้น เมื่อเธอรอดชีวิตมาได้เธอเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น แอนนา แอนเดอร์สัน

                       คำอ้างของเธอนั้น เป็นจริงมากน้อยเพียงใด

                       จากหลักฐานเอกสารทางรัสเซีย มีประกาศแค่ว่าพระเจ้าซาร์และเจ้าชายอเล็กถูกประหารพระชนม์ชีพ

                       แต่ไม่ได้เอ่ยถึงเซริน่าและเจ้าหญิงทั้งหลายเลย

                       เป็นไปได้ไหมที่ว่า ทหารทำหน้าที่ประหารได้ช่วยอนาสตาเซียเอาไว้

                       มีหลักฐานบางชนิดพบว่าระหว่างการควบคุมตัวอันยาวนานนั้น ได้ก่อความสัมพันธ์ระหว่างทหารหนุ่มกับเจ้าหญิงผู้ทรงโฉม และเขาคนนั้นอาจช่วยเธอไว้จากการสังหารหมู่ในคืนมรณะนั้น

                       แต่ที่แน่ๆ การพิสจูน์ข้ออ้างของแอนนา ไม่เป็นผล จนกระทั้งเธอเสียชีวิตในปี 1984 ที่สหรัฐ  โดยเธอยังยืนยัน นอนยังมาตลอดว่า เธอคือเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์โรมานอฟ

                       แต่อีก 7 ปีต่อมา ในเดือนกรกฎาคม  มีหลักฐานที่เชื่อถือได้เมื่อรัฐบาลรัสเซียได้ขุดค้นพบโครงกระดูก 8ร่าง ในป่าลึกไซบีเรีย ทั้งหมดฝังอยู่ในหลุมตื้นๆ

                       จาการทดสอบดีเอ็นเอ สามารถยืนยันได้แน่นอนว่าเป็นโครงกระดูกของตระกูลโรมานอฟ และจากรอยกระสุนบ่บอกว่าเกิดจากการสังหารหมู่ใน ค.ศ. 1818 แต่มี 2 คนที่ไม่ระบุตรงไหนและหนึ่งในนั้นคือเจ้าหญิงอนาสตาเซียที่ไม่รู้หายไปไหน และสองคือเจ้าชายอเล็ก

                       แต่เรื่องนี้ยูรอฟสกี้ ผู้ควบคุมการประหารบอกวา สองคนนั้นเขาเผาทิ้งทำลายไปแล้ว แต่ก็ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่มายืนยันได้

                       ท้ายสุด หลักการมรณกรรมของแอนนา แอนเดอร์สันได้มีการตรวจ DNA ของเธอไปตรวจสอบกับ DNA ของราชวงศ์โรมานอฟ ในปี ค.ศ. 1992

                       เธอไม่ใช้สมาชิกราชวงศ์โรมานอฟ เธอไม่ใช้อนาสตาเซีย

                       สมบัติของราชวงศ์โรมานอฟหลายชิ้นสูญหายไปในระหว่างทางในระหว่างการปฏิวัติ ค.ศ. 1917 บางชั้นที่หาค่ามิได้ ถูกเก็บไว้ในพระราชวังเครมลินที่มอสโคว์  เป็นตัวแทนที่ยังเหลืออยู่ของราชวงศ์ที่สูญสิ้นไม่หวนคืนมา

                       ส่วนรัสปูตินนั้นเขาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ความชั่วร้าย เป็นคนเลวที่โลกไม่มีวันลืม ในฐานะมีส่วนให้ราชวงศ์โรมานอฟล้มสลาย

                       ตลอดกาล



        ที่มา : นิตยสารต่วยตูน ฉบับที่ 355
        ประ จําเดือนกันยายน 2547
              ขอบคุณ pantip.com

        ภาพ : chart ราชวงศ์โรมานอฟขอ
         
         

อาหารมื้อสุดท้าย

พระกระยาหารมื้อสุดท้าย

การที่จะเป็นที่จดจำและระลึกถึง ในยามล่วงลับไปแล้วในมวลหมู่มนุษย์เป็น เรื่องที่ยากเย็น แต่กระนั้นก็ดี มนุษย์บางคนก็มีความสามารถที่จะก้าวขึ้นมามีอิทธิพลและมีชื่อเสียงเป็นที่ จดจำในระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นในด้านที่ดีหรือด้านที่ชั่วร้ายก็ตาม ด้วยเอกลักษณ์และวิถีชีวิตของคนเหล่านี้ ทำให้แม้พวกเขาลาลับดับสิ้นไปแล้วก็ยังมีคนสนอกสนใจศึกษาวิธีคิด ปรัชญาในการดำเนินชีวิต และแม้แต่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆของชีวิตพวกเขา อย่างเช่น มื้อสุดท้ายพวกเขากินอะไรก่อนสิ้นชีพ?

แอนดรูว์ แคดเวล นักประวัติศาสตร์และพ่อครัว ได้สนใจทำการศึกษารายละเอียดของอาหารมื้อสุดท้ายของเหล่าผู้มีชื่อเสียงและ ผู้ทรงอิทธิพลของโลก โดยเขียนไว้ในหนังสือชื่อ “Their Last Suppers : Legends of History and Their Final Meals” คอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียล  ทีมงานนิตยสารต่วย’ตูนพิเศษ จึงขอนำบางส่วนของเนื้อหาที่น่าสนใจมาเสนอกันในสัปดาห์นี้

ไมเคิล แจ๊คสัน กับเจ้าหญิงไดอาน่า
ไมเคิล แจ๊คสัน กับเจ้าหญิงไดอาน่า

เจ้า หญิงไดอาน่า
อดีตเจ้าหญิงแห่งเวลล์ผู้โด่งดัง พระมารดาของเจ้าชายวิลเลี่ยมที่เพิ่งอภิเษกสมรสไปหมาดๆกับดัชเชสแห่งเคม บริดจ์ หรือเคท มิดเดิลตัน

เจ้า หญิงได้เสวยกระยาหารมื้อสุดท้ายที่โรงแรมริทซ์ คาร์ตัน ก่อนที่พระองค์และพระสหายสนิทจะถูกไล่ตามจากพวกปาปาราซซี่ จนกระทั่งพระองค์ประสบอุบัติเหตุ มื้อสุดท้ายของเจ้าหญิงได– อาน่าประกอบด้วย ออมเลตเห็ดและหน่อไม้ฝรั่งเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย โดยมีเมนูหลักเป็นปลาตาเดียวและผักทอดเทมปุระ

ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคเนดี้
ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคเนดี้

ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคเนดี้
เจ้าของ วลีอมตะอย่าง “จงอย่าถามว่าประเทศชาติจะให้อะไรแก่ท่าน แต่จงถามตัวท่านเองว่าท่านจะทำอะไรให้ประเทศชาติ” ก่อนที่จะถูกลอบสังหาร มื้อสุดท้ายของท่านคือมื้อเช้าในโรงแรมเท็กซัสที่ประกอบไปด้วยไข่ลวก 2 ฟอง เบคอน ขนมปัง แยมมาร์มาเลด น้ำส้ม และกาแฟอีกแก้ว

ประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น
ประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น

ประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น
ท่าน กินอาหารค่ำมื้อสุดท้ายในทำเนียบขาวก่อนที่จะไปดูละครในโรงละครฟอร์ดและถูก สังหารที่นั่น อาหารมื้อนั้นประกอบด้วย เป็ดย่างยัดไส้ด้วยเชสนัท, มันอบ, ดอกกะหล่ำราดด้วยซอสชีส และซุป Mock Turtle soup หรือซุปเลียนแบบเนื้อเต่า ซึ่งวัตถุดิบตามสูตรต้นตำรับของซุปนี้จะทำจากหัวลูกวัว แต่ส่วนเท้าก็ใช้แทนได้เช่นกัน และยังมีการใช้ปลาทะเลและหอยนางรมเพื่อเลียนแบบรสคาวเค็มของเนื้อเต่าทะเล ด้วย

มหาตมะ คานธี
มหาตมะ คานธี

มหาตมะ คานธี
มื้อสุดท้ายนั้นมหาตมะ คานธี รับประทานอาหารตามปกติของท่าน ซึ่งประกอบไปด้วย นมแพะ ผักปรุงสุก ส้ม อาหารที่ปรุงด้วยขิง น้ำเลมอน กี (เนยเหลวชนิดหนึ่ง) และน้ำจากว่านหางจระเข้ ก่อนที่จะออกมาที่สนามหญ้าหน้าบ้านพักเพื่อทักทายกับผู้คนและสวดมนต์ ซึ่งหนึ่งในฝูงชนที่ห้อมล้อมท่านในวันนั้นคือ นาถูราม โคทเส ชาวฮินดูผู้คลั่งศาสนา เขายิงปืนใส่คานธีไป 3 นัด จบชีวิตของนักต่อสู้ด้วยสันติวิธีและผู้นำทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ โลกไปตลอดกาล

เกรกอรี เยฟี-โมวิช รัสปูติน

เกรกอรี รัสปูติน นักบวชที่เชื่อกันว่าเขามีพลังอำนาจพิเศษ ทำให้เขาก้าวขึ้นมาสู่อำนาจทางการเมืองในราชวงศ์โรมานอฟอย่างรวดเร็ว จนกลุ่มชนชั้นสูงทั้งราชวงศ์และรัฐสภาหวาดกลัวและตัดสินใจกำจัดเขา

หุ่นจำลองมื้อสุดท้ายของรัสปูติน
หุ่นจำลองมื้อสุดท้ายของรัสปูติน

มื้อสุด ท้ายของรัสปูตินที่เจ้าชาย เฟลิกซ์ ยูสซูปอฟ และชนชั้นสูงได้ลวงเขามากิน คือ เค้กน้ำผึ้ง ไวน์ Zakuski หรือค็อกเทลแบบรัสเซีย และขนมปังดำ แน่ล่ะ อาหารเหล่านั้นมียาพิษไซยาไนด์ผสมไว้ด้วย แต่ร่างกายของรัสปูตินกลับต้านทานพิษได้ เจ้าชายจึงชักปืนยิงใส่ แล้วนำร่างรัสปูตินไปถ่วงน้ำ หลังจากการตายของเขาเพียง 2 ปี ราชวงศ์โรมานอฟก็ถูกโค่น ล้ม ซึ่งตรงตามคำทำนายของรัสปูตินทุกประการ

ซัดดัม ฮุสเซน
ซัด ดัม ฮุสเซน

ซัดดัม ฮุสเซน

อดีต จอมเผด็จการแห่งอิรักที่ถูกอเมริกาใช้กำลังทหารเข้าโค่นล้ม  เขาถูกนำตัวขึ้นศาลพิเศษอิรักที่จัดตั้งขึ้นโดยรัฐบาลชั่วคราวและถูกตัดสิน ประหารชีวิตด้วยการแขวนคอในวันที่ 30 ธันวาคม ปี พ.ศ.2549 เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่นักโทษจะร้องขอรับประทานอาหารที่ตัวเองชอบก่อนตาย ซัดดัมเองก็เช่นกัน มื้อสุดท้ายของเขา คือ ไก่ต้มกับข้าวและเหล้าร้อนผสมน้ำผึ้ง

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์
จอม โหดผู้เกลียดยิวเข้าไส้อย่างฮิตเลอร์นั้น เป็นมังสวิรัติ และคนปรุงอาหารให้เขานั้นเป็นชาวยิว  ฮิตเลอร์เริ่มเป็นมังสวิรัติในช่วงเดือนกันยายนปี 1931 เนื่องจากการอัตวินิบาตกรรมของหลานสาว เกลี่ เรบัล (Geli  Raubal)  แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะแอบกินเนื้อ อย่างไรก็ดี มื้อสุดท้ายในชีวิตของฮิตเลอร์เป็นอาหารมังสวิรัติ คือซุปผักและมันบด แต่นักประวัติศาสตร์บางคนก็สันนิษฐานว่ามันอาจเป็นสปาเกตตีหรือลาซานญ่า

เอลวิส เพรสลีย์
เอลวิส เพรสลีย์

เอลวิส เพรสลีย์

เขา ตื่นขึ้นมาในช่วงกลางดึก รู้สึกกระสับ กระส่ายนอนไม่หลับและตัดสินใจไปหาหมอฟัน หลังจากนั้นเขากลับมาที่บ้านที่เกรซแลนด์ และเล่นแร็กเกตบอลกับเพื่อน พร้อมพูดถึงแผนการแต่งงานของเขากับคู่หมั้นสาววัยยี่สิบปี จินเจอร์ อัลเดน เล่นเปียโนกันอีกนิดหน่อย ก่อนที่ตะวันจะขึ้น จินเจอร์ก็ขอตัวไปเข้านอน ขณะที่เอลวิสหาของหวานกินเป็นครั้งสุดท้ายก่อนไปนอน นั่นคือ ไอศกรีม 4 ลูกพูน และคุกกี้ช็อกโกแลตชิพอีก 6 ชิ้น สองสาม ชั่วโมงต่อมาเขาตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำที่ซึ่งเขาเกิดอาการโรคหัวใจเฉียบพลัน จนเสียชีวิต

ไมเคิล แจ๊คสัน

ไมเคิล แจ๊คสัน เสียชีวิตในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ. 2009 แม้จะยังมีการโต้เถียงต่างๆนานา ว่าด้วยสาเหตุการตายของไมเคิลว่าเป็นการตายเพราะรับยาเกินขนาด หรือฆาตกรรมกันแน่? แต่อย่างน้อยเราพอจะรู้ว่าราชาเพลงป๊อปเจ้าของวิถีชีวิตสุดแปลกเป็นหนึ่ง ไม่มีสองผู้นี้รับประทานอะไรเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งมื้อสุดท้ายของไมเคิลมีเพียงสลัดผักโขมกับเนื้ออกไก่เท่านั้นเอง

เรือไททานิคอับปาง
เรือไททานิคอับปาง

ผู้โดยสารชั้นเฟิร์สคลา สของเรือไทนานิค

มื้อ ค่ำมื้อสุดท้ายสุดอลังการที่เสิร์ฟให้กับผู้โดยสารชั้นเฟิร์สคลาสของไททานิค คือ ซุปคอนซูเม่ออก้า ส่วนประกอบที่สำคัญของซุปนี้คือไขกระดูกอบแห้งของปลาสเตอเจี้ยน ซึ่งนำไปตุ๋นจนเป็นวุ้น, ปลาแซลมอนตุ๋นกับซอสมูส, เนื้อแกะกับซอสมิ้นต์, เป็ดอบราดซอสแอปเปิ้ล, เนื้อเซอลอยด์ (สัน นอก) กับมันฝรั่ง, ผลน้ำเต้ายัดไส้, แครอท, ถั่ว, ตับห่าน, เอแคลร์ช็อกโกแลตกับวานิลลา, เยลลี่ลูกพีช, ไอศกรีม และวอลดอร์ฟพุดดิ้ง พุดดิ้งจานนี้มีส่วนประกอบสำคัญคือลูกเกด แอปเปิ้ล วอลนัทเรื่องนี้คงไม่อาจปิดท้ายไปได้ หากไม่กล่าวถึงมหาบุรุษผู้หนึ่งซึ่งมื้อสุดท้ายในชีวิตของท่านเรียกได้ว่า เป็นมื้อสุดท้ายที่โด่งดังที่สุดในโลก นั่นคือ  จีซัส  ไคร์ส หรือพระเยซูคริสต์นั่นเอง

ตามพระคัมภีร์บทได้บันทึกว่า นอกจากขนมปังและไวน์ซึ่งพระองค์ได้เสวยพร้อมกับเปรียบเทียบมันดุจเนื้อและ เลือดของพระองค์แล้ว ในพระธรรมบทลูกายังได้อธิบายด้วยว่า พระองค์ยังเสวยปลาย่างชิ้นหนึ่งและน้ำผึ้งด้วย

ดร.ดอน โคลเบิร์ต ได้ทำการศึกษาและพบว่า พระเยซูมีวิถีการเสวยที่เรียบง่ายและดีต่อสุขภาพมากกว่าคนยุคปัจจุบัน คือ รับประทานแต่อาหารที่ปรุงง่ายและเป็นธรรมชาติ เช่น ผัก ถั่ว ผลไม้ ขนมปัง ดื่มน้ำจำนวนมาก และมีไวน์องุ่นอีกนิดหน่อย พระองค์ยังไม่นิยมเสวยเนื้อ (ยกเว้นในโอกาสสำคัญทางศาสนา) เนื่องจากมันมีมลทินต่อจิตวิญญาณ

ความ ตายเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดและไม่แน่นอน  ผู้มีชื่อเสียงหรือคนดังในประวัติศาสตร์หลายคนตายกะทันหัน และไม่ได้ตั้งตัว ซึ่งจริงๆแล้วคนธรรมดาหลายคนก็เป็นเช่นนั้น  เพียงแต่พวกเขาไม่ได้มีชื่อเสียงจนเราสนใจศึกษาชีวิตระยะสุดท้ายของเขา  เราจึงควรขอบคุณที่ได้มีโอกาสเรียนรู้เสี้ยวชีวิตก่อนตายของบุคคลดังๆข้าง ต้น เพื่อนำไปครุ่นคิดต่อว่าเราควรใช้ชีวิตที่ไม่แน่นอนนี้ต่อไปอย่างไร และอาจคิดเล่นๆว่า มื้อสุดท้ายของเราในโลกนี้ควรจะเป็นอะไรดี?

Mies van Rohe’s 126th Birthday ผู้บุกเบิกแห่งวงการสถาปัตยกรรมสมัยใหม่

Mies van Rohe’s 126th Birthday ผู้บุกเบิกแห่งวงการสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ 
 Mies van Rohe (ลุดวิก มีส ฟาน เดอร์ โรห์) ผู้บุกเบิกแห่งวงการสถาปัตยกรรมสมัยใหม่

ลุดวิก มีส ฟาน เดอร์ โรห์ (เยอรมัน: Ludwig Mies van der Rohe) (27 มีนาคม ค.ศ. 1886 - 17 สิงหาคม ค.ศ. 1969) เป็นสถาปนิกชาวเยอรมัน เขามักรู้จักในชื่อ มีส ฟาน เดอร์ โรห์ ซึ่งเป็นนามสกุลของเขา โดยนักศึกษาอเมริกันและอื่น ๆ

ลุ ดวิก มีส ฟาน เดอร์ โรห์ รวมถึงวอลเตอร์ โกรเปียส และเลอกอร์บูซีเย ได้รับการนับถืออย่างกว้างขวางว่าเป็นผู้บุกเบิกแห่งวงการสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ มีสก็เป็นคนหนึ่งในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่สนใจที่เสาะแสวงหารูปแบบทางสถาปัตยกรรมแบบใหม่ ๆ ที่สามารถสื่อถึงยุคใหม่ เฉกเช่นที่ในยุคคลาสสิคหรือยุคกอธิค ที่มีมาก่อน เขาสร้างสรรค์รูปแบบสถาปัตยกรรมในศตวรรษที่ 20 ที่เห็นชัดถึงความโปร่งและความเรียบง่าย อาคารออกแบบของเขาจะใช้วัสดุสมัยใหม่ อย่างเช่น เหล็ก แผ่นกระจก เพื่อแสดงขอบเขตสถาปัตยกรรมภายใน เขามุ่งมั่นในการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมที่ใช้โครงสร้างน้อยชิ้นในการจัด ระเบียบโครงสร้างอย่างสมดุล ต่อพื้นที่เปิดโล่งอิสระ เขาเรียกอาคารของเขาว่า สถาปัตยกรรม 'ผิวหนังและกระดูก' เขายังเสาะหาเหตุผล ในการออกแบบที่เป็นแนวทางกับขั้นตอนการออกแบบทางสถาปัตยกรรม ที่เป็นที่รู้จักในวิธีที่เรียกว่า 'น้อยดีกว่ามาก' (less is more) และ God is in the details



ชื่อ           : ลุดวิก มีส ฟาน เดอร์ โรห์
สัญชาติ      : เยอรมัน 1886-1938/อเมริกัน 1938-1969
วันเกิด       : 27 มีนาคม ค.ศ. 1886
สถานที่เกิด  : อาเคิน, รัฐนอร์ดไรน์-เวสต์ฟาเลน, เยอรมนี
วันเสียชีวิต   : 17 สิงหาคม ค.ศ. 1969 (83 ปี)
สถานที่เสียชีวิต  : ชิคาโก, รัฐอิลลินอยส์, สหรัฐอเมริกา

การทำงาน

อาคารเด่น     - Barcelona Pavilion
- Tugendhat House
- Crown Hall
- Farnsworth House
- 860-880 Lake Shore Drive
- Seagram Building
- New National Gallery

รางวัลและเกียรติยศ    
- Order Pour le Mérite (1959)
- Royal Gold Medal (1959)
- AIA Gold Medal (1960)
- Presidential Medal of Freedom (1963)
Ludwig Mies van der Rohe 126th Birthday Google Doodle
Ludwig Mies van der Rohe: Farnsworth House
Ludwig Mies van der Rohe: Farnsworth House
Ludwig Mies van der Rohe: Farnsworth House
Ludwig Mies van der Rohe: Farnsworth House
Ludwig Mies van der Rohe: Farnsworth House
Ludwig Mies van der Rohe: Farnsworth House
Ludwig Mies van der Rohe
Ludwig Mies van der Rohe
Ludwig Mies van der Rohe

ขอขอบคุณที่ มาจาก http://variety.horoworld.com/9822_ludwig-mies-van-der-rohe-%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88-logo-goog

วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555

พลังจิต (Gsychergy) (Repost)


พลังจิต (Gsychergy)PDFพิมพ์อีเมล
พลังจิต (Gsychergy)
         พลังจิต (Gsychergy) หมายถึง คลื่นความถี่ของพลังงานความคิด (Pranic Energy) ซึ่งเป็นพลังงานไฟฟ้าบวก (Proton) ไฟฟ้าลบ (Electron) ที่เกิดจากต่อมไพเนียล (Pineal Gland) ที่สมองตอนบน เมื่อบุคคลคิดต่อมนี้ จะสร้างคลื่นความถี่ของความคิดขึ้น คลื่นนี้อาจจะมีมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับ ขบวนการ ทางความคิด (Thinking Process) นั้น คลื่นนี้จะลอยอยู่รอบๆ ตัวผู้คิด เมื่อคิดถึงใคร คลื่นนั้นจะพุ่งตรงไปยัง ต่อมสร้างความคิดของผู้รับนั้น ถ้าผู้รับรับคลื่นความคิดนั้นได้ จะเกิดความคิดเช่นนั้นทันที เรียกว่า เกิดการรับรู้ความคิดของผู้อื่นได้
บุคคลที่มีพลังจิตสูง
         บุคคลที่มี พลังจิต สูงคือ บุคคลที่มีสมาธิดี เช่น มีสมาธิอยู่ในขั้นกลางที่เรียกว่า อุปจารสมาธิ และสมาธิขั้นสูงที่เรียกว่า อัปปนาสมาธิ
การทำงานของ พลังจิต
         จิตจะทำงานได้ จิตต้องมีเครื่องมือคือ ร่างกายที่เป็นอยู่ของจิต จิตจึงแสดงผลออกมาให้เห็นได้ ส่วนของมันสมอง มีหน้าที่รับคำสั่ง ของจิตคือ ต่อมใพเนียล (Pinial Gland) ซึ่งเป็นต่อมเล็กๆสีแดงอมเทา รูปกรวย เป็นส่วนประกอบของปลายประสาท ต่อมนี้ อยู่ใน ส่วนกลางตอนบนของมันสมอง เมื่อ ต่อมไพเนียล รับคำสั่งของจิตต่อมนี้ จะสร้างเป็นคลื่นความถี่ออกมา คลื่นความถี่ จะมาก หรือน้อย ขึ้นอยู่กับความคิดนั้น และจะลอยอยู่รอบๆตัวผู้คิด และคลื่นความถี่นี้ จะวิ่งไปตามประสาทต่างๆ ทั่วร่างกาย
         เพื่อควบคุมการทำงานของอวัยวะนั้นๆ พลังงานไฟฟ้าที่ควบคุมอวัยวะต่างๆ จะมีกระแสความถี่ต่างกัน ตามหน้าที่ของอวัยวะ และคนนั้นๆ อีกด้วย เช่น Electron และ Protron ที่ควบคุมการทำงานของ เซลล์เนื้อเยื่อของอวัยวะ ต่างๆ ทำให้มีการสร้าง และการทำลายของเซลล์ได้ตามปกติ เช่น ทำลายไป 10 เซลล์ก็จะสร้างขึ้นมาทดแทนเช่นเดิม อวัยวะนั้นจะทำหน้าที่ได้ตามปกติ สร้างภูมิต้านทานของร่างกาย ให้สูงเป็นปกติ ร่างกายจะแข็งแรงสมบูรณ์
การศึกษา พลังจิต
         ได้มีการค้นคว้าทาง พลังจิต ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ประเทศไทยเรียกพลังนี้ว่า พลังอำนาจทิพย์ ในต่างประเทศ เช่น ชาวจีนโบราณเรียกว่า พลังแห่งชีวิต (Life Force Energy) ชาวยุโรป เช่น เยอรมันเรียกว่า พลังงานแม่เหล็กสัตว์ (Animal Magnetism) ชาวรัสเซียเรียกว่า พลังงานชีวภาพ (Bioplasmic Energy) นักวิทยาศาสตร์ในกลุ่มประเทศตะวันตกเรียกว่า พลังชีวภาพ (Bio Energy) หรือ พลังแม่เหล็กไฟฟ้า (Electo Magnetic Force)
         บุคคลที่มีร่างกายแข็งแรงคือ ผู้ที่มีพลังจิตสมบูรณ์ควบคุม อยู่ทั่วทุกส่วนของร่างกาย ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น แจ่มใสกระฉับ กระเฉง พลังจิตจะเปล่งเป็นรัศมี ออกโดยรอบ ร่างกาย ตรงกันข้ามคนป่วย จะมี พลังจิต ควบคุมอยู่ เพียงเล็กน้อย ภูมิต้านทาน ในร่างกาย จะลดต่ำลง ร่างกายจะอ่อนแอ และจะมีร่างกายที่ปกติ เหมือนเดิมได้ เมื่อได้รับ พลังจิต นั้นๆเพิ่มขึ้น ดังนั้น พลังจิต จึงเป็นพลังงาน ที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย เช่น การหมุนเวียนของโลหิต การเจริญเติบโตของเซลล์ หากร่างกายส่วนใด ขาด พลังจิต ร่างกายส่วนนั้น จะไม่สามารถทำหน้าที่ใดๆ ได้ตามปกติ หรือร่างกายไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ พลังจิต ที่ใช้กันทั่วไปมี 3 ลักษณะคือ
1. Telepathy คือ พลังงานแห่งเมตตา พลังนี้ติดต่อกันได้โดยทางจิต เป็นพลังงานที่ใช้เพื่อการสร้างสรรค์
2. Telkynesys คือ พลังงานที่ใช้บังคับวัตถุให้เคลื่อนที่ หรือใช้เพื่อทำลายวัตถุต่างๆ เป็นพลังงานที่ใช้ เพื่อการบังคับ หรือเพื่อการทำลาย
3. Teleportation คือ พลังงานที่ใช้เพื่อการล่องหนหายตัว เมื่อใช้พลังงานนี้แล้ว สามารถเดินบนน้ำบนอากาศ หรือเพื่อผ่าน เครื่องกีดขวางได้
พลังจิต ผิดปกติทำให้เจ็บป่วย
         จิตมีอำนาจเหนือร่างกาย ที่เรียกว่า จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน สำเร็จแล้วด้วยจิต เมื่อจิตมีอำนาจของกรรมครอบงำอยู่ จิตนั้นจะสั่งกาย ซึ่งเป็นเครื่องมือของจิตตามอำนาจ ของกรรมนั้น เช่น จิตมีอำนาจของอกุศลกรรมมาก พลังงานไฟฟ้าที่ออกมา จะไม่มีความสมดุลย์ทางธรรมชาติ เช่น ทำให้พลังงานไฟฟ้าบวกสูงมาก พลังงานไฟฟ้าลบสูงมากบ้าง จะมีผลทำให้ระบบการสร้าง การทำลายของร่างกายไม่คงที่ ดังนี้
         พลังงานไฟฟ้าบวกสูงมาก จะทำให้การสร้างเซลล์มากกว่าการทำลายหรือเท่าเดิม แต่รูปร่างโตกว่าเดิม จะเป็นสาเหตุของโรคบวม เนื้องอก เช่น โรคหัวใจ โรคมดลูก เนื้องอกธรรมดา เนื้องอกมะเร็ง เป็นต้น นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โรคมะเร็ง ได้กล่าวถึง ทฤษฏีเกี่ยวกับมะเร็ง ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดว่า เซลล์มะเร็ง เกิดขึ้น ในตัวคนเราตลอดเวลา แต่ถูกทำลายโดย เซลล์เม็ดเลือดขาว ก่อนที่มันจะโตจนก่อพิษภัยแก่ร่างกาย โรคมะเร็ง เกิดขึ้นต่อเมื่อ ระบบภูมิคุ้มกัน ถูกกดดันการทำงานไว้ ทำให้ไม่สามารถขจัด เซลล์มะเร็ง ที่ก่อตัวขึ้น ดังนั้นถ้ามีอะไรก็ตามส่งผลกระทบ ต่อการทำงานของสมอง ที่จะควบคุม ระบบภูมิคุ้มกัน มะเร็งย่อมเกิดขึ้นได้
         พลังงานไฟฟ้าลบสูงมาก จะทำให้การสร้างเซลล์น้อยกว่าการทำลายหรือเท่าเดิม แต่รูปร่างเล็กกว่าเดิม จะเป็นสาเหตุของ โรคลีบตีบต่างๆ เช่น หลอดเลือดตีบ ลิ้นหัวใจตีบ กล้ามเนื้อตาย มันสมองฝ่อ ภูมิต้านทานบกพร่อง ตับวาย ไตวาย กล้ามเนื้อหัวใจ ไม่ทำงาน เรียกว่า โรคไหลตาย เด็กเกิดมามี ร่างกาย ไม่สมบูรณ์เป็นต้น พลังงานไฟฟ้าภายในร่างกาย ของแต่ละบุคคลอาจไม่ เท่ากัน ก็เป็นได้ ผมเคยพบว่า การเพิ่มเลือด เกล็ดเลือดให้คนไข้ สภาพร่างกายคนไข้ไม่ยอมรับเลือด หรือเกล็ดเลือดนั้น เพราะเลือดใหม่ และเลือดเก่าไ ม่สามารถเข้ากันได้ แม้ทางการแพทย์จะวิเคราะห์แล้วว่า เป็นเลือดกรุ๊ปเดียวกัน
         เมื่อพิจารณา ในสมาธิพบว่า พลังงานไฟฟ้าที่ควบคุมเม็ดเลือดนั้นไม่เท่ากัน แสดงว่า พลังงานควบคุม เม็ดเลือด ของแต่ละคนจะเท่ากัน หรือไม่เท่ากันก็ได้ และพบอยู่มาก กับกลุ่มผู้หลงผิด ที่ไปรับเอา พลังงานอื่น มากดทับ พลังจิต ของตนเอง ทำให้การทำงานของ พลังจิต ของตนผิดไป จิตนั้นจึงสั่งมาที่ สมองของตนผิด การแสดงออกของร่างกายจิตผิดไปด้วย เช่น กลุ่มของคนทรงเจ้าเข้าผี กลุ่มของคน เหล่านี้จะไปรับเอาเวทย์มนต์คาถา ของอิทธิฤทธิ์ ของอาถรรพ์ดวงวิญญาณเข้ามาสิง เช่น ดวงวิญญาณกุมารทอง นางกวัก ปลัดขิก เจ้าพ่อ เจ้าแม่ น้ำมันพราย หรือองค์เทพต่างๆ มาอยู่กับตน ที่เรียกว่า เดรัจฉานวิชา ไม่เป็นจิตดั้งเดิม ของตนเอง อาการป่วยของบุคคลเหล่านี้ ทางการแพทย์จะตรวจหา สาเหตุไม่พบ
การเพิ่มพลังจิตและการรับพลังจิต
         บุคคลที่มีสมาธิดีจะมีคลื่นความถี่ และความรุนแรงของพลังงานความคิดสูง สามารถที่จะส่งพลังงานนั้น ไปยังบุคคลที่ตั้งเป้าหมาย ไว้ได้แน่ชัดทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ตัวผู้รับได้ตามความปราถนานั้น เรียกว่า การเพิ่มและการรับพลังจิต การเพิ่มแต่ละครั้ง แต่ละคนไม่เหมือนกัน เพิ่มพลังจิตแต่ละครั้งนาน เท่าใด ผู้เพิ่มพลังจิตจะทราบได้ในสมาธิจิตนั้น หากผู้รับยังรับได้ ก็เพิ่มให้ต่อไป หากเห็นว่า พลังจิต ที่ส่งไปนั้นหยุดลง ก็หยุดเพิ่มพลังจิตในครั้งนั้น และต้องเพิ่มพลังจิตกี่ครั้งจึงจะได้ผล สิ่งนี้ไม่มีกำหนด แน่นอนขึ้นอยู่กับผู้รับ หากผู้รับสามารถรับพลังจิตได้มาก และเห็นว่าอวัยวะที่ผิดปกตินั้น เปลี่ยนเป็น ปกติเร็ว พลังจิตที่ส่งไปจะหยุดลง ควรหยุดเพิ่มพลังจิตให้ผู้ป่วยกลับไปทำสมาธิภาวนาด้วยตนเอง ผู้ป่วยจะสร้างพลังจิตที่ดีขึ้นมาได้ พลังจิตนั้นๆ จะบำบัดทุกข์ให้กับผู้ป่วยได้ในที่สุด
การเพิ่มพลังจิตกระทำได้ 3 ทาง คือ
1. เพิ่มที่อวัยวะนั้นโดยตรง
2. เพิ่มที่จุดกำเนิดของพลังจิต คือที่ต่อมไพเนียล
3. เพิ่มพลังจิตให้ครอบคลุมทั้งตัวผู้รับ จะเพิ่มให้ใครที่อวัยวะใดนั้นจะทราบและเห็นได้ในสมาธินั้นๆ
ผู้เพิ่มพลังจิตที่ดี
         ผู้เพิ่มพลังจิตที่ดีควรมีคุณสมบัติดังนี้คือ เป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา และเมื่อเพิ่มพลังจิตให้กับใครก็ตามต้องรู้ทุกข์ รู้สาเหตุแห่งทุกข์ รู้หนทางดับทุกข์ และรู้วิธีการดับทุกข์นั้นๆโดยชัดแจ้งพร้อมตั้งตนอยู่ในพรหมวิหารธรรม และหิริโอตัปปธรรม
ผู้รับพลังจิตที่ดี คือ เป็นผู้ที่มี
1. ศรัทธา ผู้รับต้องมีศรัทธาที่จะรับพลังจิต
2. สมาธิ ผู้รับต้องมีความตั้งมั่นแห่งจิตอยู่กับกายและจิตของตน
3. สติ ผู้รับต้องมีความระลึกได้ว่าตนกำลังรับพลังจิตอยู่
4. ปัญญา ผู้รับต้องรู้จักการปล่อยวางความทุกข์ออกจากจิตใจในขณะนั้น
5. ความขยันหมั่นเพียร การรับพลังจิตนั้นต้องรับสม่ำเสมอและให้ตั้งอยู่ในคำสอนของพุทธองค์เป็นหลัก ดังกล่าวแล้ว
การเพิ่มพลังจิตผ่านบุคคลอื่นวัตถุอื่น
         บางกรณีที่จำเป็น คือ ผู้ป่วยไม่สามารถขอรับพลังจิตด้วยตนเองได้ เช่นอยู่ในห้องผู้ป่วยหนัก อยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช อยู่ต่างประเทศ ผมได้ทดลองเพิ่มพลังจิตผ่านกระแสจิตของผู้ใกล้ชิด เช่น พ่อ แม่ บุตร สามี ภรรยา ผู้ดูแล หรือผ่านลงไปในน้ำดื่ม ก็สามารถช่วยผู้ป่วยได้บ้างเป็นบางส่วนเท่านั้น
 

วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2555

ปรัชญาชีวิต

 ๑.
ศิลปะแห่งการบริหารจัดการ คือ อะไร ก็ไม่รู้

ที่รู้ๆ คือว่า ความเหนื่อยข้างใน
มันอยู่ที่ มีปัจจัยหลายอย่างที่เราควบคุมไม่ได้
เช่น...
ความพร้อม หรือศักยภาพของคนแต่ละคน
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่เราควรกังวล
เรายังมีความเชื่อที่ว่า
คนเรา ต้องมีข้อผิดพลาด และบกพร่อง
มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะเพียบพร้อม
คน เรา เกิดมา เพื่อที่จะตัวเล็ก
สิ่งที่อยู่ในตัว และในใจต่างหากจะทำให้คนเติบโต
ไม่ใช่ตำแหน่ง
ไม่ใช่ฐานะ
ไม่ใช่ อำนาจ
ไม่ใช่การบริหารจัดการสิ่งใหญ่โต
ไม่ใช่การมีลูกน้อง
ไม่ใช่ การยกระดับตัวเอง

ถ้ายิ่งใหญ่ แต่ใจแคบ
คุณค่าต่อสังคม ไม่มี
คิดถึงแต่ตัวเอง
ก็ไม่ควรจะภูมิใจอะไรเลย...

----------------------------------------------
๒.
ถ้าชีวิตช่วงนี้เป็น เหมือนน้ำในแก้ว

มันก็อยากจะอยู่นิ่งๆ แล้วมีเวลาให้ตกตะกอนบ้าง
แต่เปล่า...
ดูเหมือนมันจะเป็นน้ำในแก้ว 
ที่ วางอยู่บนอะไรที่เคลื่อนไหวตลอดเวลา
ตะกอนที่ถูกแกว่ง มันก็ขลุ้งอยู่อย่างนั้น

รู้สึกตัวเองแปรปรวน-ขัดแย้ง
ยิ่งอยาก จะอยู่ให้นิ่ง...
แต่ก็เหมือนมีอะไรกระโดดโลดเต้นอยู่ในที
ตัวเอง จริงๆ ...คิด-รู้สึก อะไร แยกไม่ค่อยออก
เหมือนจะพอไหว
หรือจริงๆ แล้ว ไม่ไหว
เหมือนจะมี
แต่จริงๆ แล้วไม่มี
เหมือนเป็นของเรา
แต่ จริงๆ ไม่ใช่ของเรา
เหมือนมั่นคง
แต่จริงๆ ไม่เคยมั่นใจ

เหมือนเด็กที่พาตัวเองไปขึ้นเครื่องเล่น สูงๆ
สนุกสนานอยู่บนนั้นได้ไม่นาน
อยากลง...
แต่ไม่กล้ากระโดดลง
...

ความเงียบ...แม้ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น
แต่ ก็คงไม่ทำให้อะไรเลวร้ายขึ้น
ความรัก...ไม่มีใครรู้ดีเท่าตัวเราเอง
ความ เหงา...ไม่มีจริง...ถ้าไม่พูดออกมา

----------------------------------------------
๓.
ตอนบ่ายๆ ของวันนึง

รับ สายจากเสียงริงโทนที่ไม่มีโอกาสได้ดังมานานหลายเดือน
ใครคนนึง* โทร.มาบอกข่าวดีเกี่ยวกับตัวเค้า
นอกจากจะดีใจกับข่าวดีนั้น
เรายัง ดีใจ ที่ดูเหมือนกำแพงที่กั้นกันไว้ ค่อยๆ ลดระดับลงแล้ว
และจะดีใจ มาก...
ถ้าวันนึง เราจะยืนอยู่นระนาบเดียวกันได้โดยไม่มีกำแพงใดๆ

แต่ความจริง คือ
ความรู้สึกคนเรา เมื่อเปลี่ยนไปแล้ว
มันจะไม่มีทางเหมือนเดิมได้อีกเลย

...
ค้นพบวิธีการบางอย่าง
ที่จะพิสูจน์ตัว เองว่า มีความสามารถในการรักคนอื่น มากแค่ไหน
ดังนี้...

ถ้าอยากรู้ว่าตัวเอง รักแบบไม่หวังความรักตอบ หรือเปล่า
ให้ลองไปหลงรักเกย์ซักคน
และ...
ถ้า อยากรู้ว่าตัวเอง รักแบบต้องการครอบครองหรือไม่
ให้ลองไปรัก คนที่เค้ามีเจ้าของ

----------------------------------------------
๔.
จุดสิ้นสุดของความ คลุมเครือ
แล้วเราก็เดินออกมาอย่างคนที่เข้าใจทุกอย่าง
กระจ่าง และชัดเจน
เรารู้...เราเข้าใจอะไรมากกว่าที่ใครบางคนควรเข้าใจซะอีก

----------------------------------------------
๕.
ไม่ใช่ลืมได้

แต่ ไอ้เรื่องที่จำได้...มันทำร้ายเราเท่าเดิมไม่ได้
ก็แค่นั้น

----------------------------------------------
๖.
ความสุขสบาย ทำให้เรามักคิดว่าตัวเองลอยตัวอยู่เหนือปัญหา

ยิ่งเรามองไม่ เห็นหัวใคร
ไม่รับรู้ความทุกข์ร้อนของใคร
ยิ่งพยายามทำตัวสูงส่งมาก เท่าไหร่
สิ่งที่ได้ ยิ่งจะเป็นความต่ำต้อยในจิตใจมากเท่านั้น

----------------------------------------------
๗.
เวลาที่เรา อยากไปไหนก็ไป

เหนื่อย ก็กลับบ้านนอน
หิว ก็เดินออกไปหาอะไรกิน
เบื่อ ก็ไม่รับโทรศัพท์
คิดอะไรไม่ออก ก็หิ้วคอม.ออกมานั่งทำงานคนเดียว
ออนไลน์ แต่ไม่ทักใคร
บางที ก็ไม่มีใครทัก

ทำแบบนี้ เป็นคนที่มีอิสระ
หรือเป็นคน ที่ไม่มีใคร?

----------------------------------------------
๘.
ในวันที่เทคโนโลยี เติบโต

นักออกแบบต้องไม่ลืมว่า เทคโนโลยีต่างๆ
เป็นเพียง อุปกรณ์ และเครื่องทุ่นแรง
ไม่ใช่ปัจจัยในการออกแบบ หรือการสร้างงานศิลปะ

ต่อให้ไม่มีอุปกรณ์เช่น คอมพิวเตอร์ สแกนเนอร์ ปริ๊นเตอร์
นักออกแบบ ต้องใช้มือวาดรูป และใช้หัวใจดีไชน์

----------------------------------------------
๙.
เวลาที่พบว่าโลกนี้ ยังมีหนังดีๆ ให้ดู

มีเพลงเพราะๆ ให้ฟัง, มีหนังสือดีๆ ให้งาน
มี งานศิลปะให้คนได้เสพ
รู้สึกตัวเองโชคดีจริงๆ ที่ยังได้รับรู้ถึงสิ่งเหล่านี้

เมื่อไหร่ที่โลก ไม่มีเรื่องแบบนี้ให้สัมผัส
คนเราจะดำรงชีวิตแบบไหน???

----------------------------------------------
๑๐.
หนึ่งในความยากของ การเป็นผู้ใหญ่ (ขึ้น)
ก็คือ เราต้องรู้วิธีใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เราไม่ชอบหน้า
ความจริงที่ต้องระวัง ก็คือ
เมื่อไหร่ที่เราเกลียดใคร
พฤติกรรมของเรา ก็จะแย่ลงเรื่อยๆ
จิต ใจก็ตกต่ำ
เห็นเค้าทำอะไร ก็ขัดหูขัดตา
คนที่จะเป็นบ้า ก็คือ ตัวเอง

----------------------------------------------
๑๑.
อาจจะเพราะโตขึ้น

คน เรา ก็เลยด้านชากับอะไรมากขึ้น
เหมือนผู้ใหญ่ ที่ไม่ร้องไห้เวลาลูกโป่งลอยหลุดมือไป
ไม่ลนลาน เวลาทำจานแตก


ดี หรือไม่ดีก็ไม่รู้...
ถ้าคนเรา ไม่มีห้วใจ
มันอาจทำให้เจ็บน้อยลง...
แต่ก็มีความสุขยากขึ้น

รึเปล่านะ????
----------------------------------------------
๑๒.
จริงๆ แล้ว สิ่งที่น่ากลัว คือ การไม่แคร์

ค น ที่ เ ก ลี ย ด กั น
บาง ทีอาจทำร้ายกันได้ไม่มากเท่าการไม่แคร์

เราไม่เคยโดนใครตั้งใจทำร้าย เพราะเกลียดชัง
(หรือเคย แต่ไม่รู้วะ???)
แต่เรามักรู้สึกว่าถูกทำ ร้าย ก็ตรงที่เค้าไม่แคร์
เวลาที่รู้สึกว่ามีคนไม่แคร์
มันช่างเบา โหวง ตัวลีบเล็ก น่ารันทดเป็นที่สุด 

----------------------------------------------
๑๓.
เมื่อคืน นอนอ่านหนังสือของ "หนุ่มเมืองจันท์"

พูดถึง เจอรี่ ซักเกอร์ ผู้กำกับหนังเรื่อง Ghost (ที่แม่ชอบมาก)
เจอรี่ บอกว่า...
ให้ จินตนาการ
โลกใบนี้ ก็เหมือนน้ำในแก้ว
ที่มีเกลือปนอยู่เล็กน้อย
น้ำ จึงมีรสเค็ม...(แน่นอน ว่าคนคงไม่ชอบ)
วิธีแก้รสเค็ม มีอยู่สองทาง
๑. ค่อยๆ หยิบเกลือออกทีละเม็ด
หรือ ๒. เติมน้ำลงไปเยอะๆ จนความเค็มเจือจาง

แล้วถ้าเราเอามาเปรียบเป็นชีวิตล่ะ
เรื่อง แย่ๆ ในชีวิต ก็เหมือนเกลือ ที่อยู่ในน้ำนั่น
ถ้าเราไม่สามารถหยิบเกลือ ออกไปจากชีวิตของเราได้หมด
เราก็เปลี่ยนเป็นมาเติมน้ำ เติมกำลังใจ ให้ตัวเองดีกว่า
.
.
.
เดี๋ยวทุกข์ มันก็เจือจาง

----------------------------------------------
๑๔.
รู้สึกเหมือนตัวเอง เป็น Windows ที่เครื่องรวนๆ

อืด เนือย และเหนื่อย
มัวแต่ไป Run process อะไรที่ไม่ได้สำคัญต่อจิตใจเท่าไหร่

สุภาษิตจีนบอกไว้ว่า
"ถ้ามีเงิน 2 ตำลึง
1 ตำลึง ให้ซื้อข้าว อีก 1 ตำลึง ให้ซื้อดอกไม้"

ความอิ่มทำให้มีพลัง ความงาม ทำให้อยากมีชีวิต

ตอนนี้เริ่มซึ้ง
คนหมดแรง ไม่น่ากลัวเท่าคนหมดกำลังใจ
นอกจากจะซื้อดอกไม้...
เห็นทีต้องเอาเวลา มาปลูกดอกไม้เอง...ก็คงดี

----------------------------------------------
๑๕.
ถ้าเรารักมากพอ

เรา จะไม่กลัว ที่จะปล่อยให้เค้าเป็นอิสระ
เราจะอยากให้เค้ามีความสุข
.
.
.
ไม่ ว่าในความสุขนั้น จะมีเราอยู่ด้วยหรือไม่ก็ตาม

...

ไม่ธรรมชาติเท่าไหร่หรอก
แต่ก็พอทำ ได้...



ขอขอบคุณ http://sites.google.com/site/tjaruneethongaram

วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555

วันสตรีสากล



วันสตรีสากล 2012 Google Doodle วันนี้
วันสตรีสากล


วันสตรีสากล 2012

      วันสตรีสากล ตรงกับวันที่ 8 มีนาคม ของทุกปีถือเป็นวันที่มีการประท้วงของแรงงานหญิง ที่ เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา โดยมี คลาร่า เซทกิ้น (CLARA ZETKIN) เป็นผู้ให้กำเนิดวันสตรีสากล คลาร่า เซทกิ้น (CLARA ZETKIN) ยังได้รับการขนานนามว่า มารดาแห่งการเคลื่อนไหวสตรีสากล อีกด้วย


คลาร่า เซทกิ้น ผู้ให้กำเนิดวันสตรีสากล

     กรรมกรสตรีในนักการเมืองหญิงสายมาร์คซิสต์ ชาวเยอรมัน เป็นผู้ริเริ่มวันสตรีสากล ชื่อเดิมชื่อ คลาร่า ไอนส์เนอร์เกิดที่เมืองไวเดอรูว์ แคว้นแซกโซนี่ เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม  จบการศึกษาจากวิทยาลัยครูเมืองไลป์ซิก และพบรักกับเพื่อนนักศึกษาชาวรัสเซียนามว่า ออพซิป เซทกิ้น ต่อมา มีบุตร 2 คน และเป็นหม้ายในปี ค.ศ.1889 


     ในปี ค.ศ.1884 ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตย (Social Democratic party) ต่อมาพรรคโดนยุบ และคลาร่าได้ถูกเนรเทศไปอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์

     ค.ศ.1907 คลาร่าได้กลับสู่เยอรมันดินแดนมาตุภูมิ พร้อมกับการก่อตั้ง กลุ่มนักสังคมนิยมหญิง และได้ริเริ่มในการเสนอให้กําหนดวันที่ 8 มีนาคม ของทุกปีให้เป็นวันสตรีสากล

     ค.ศ.1914 ในขณะที่ประเทศเยอรมันกําลังทําสงครามโลกครั้งที่ 1 คลาร่า ได้ร่วมมือกับ โรซ่า ลัมเซมเบอรค์ ร่วมกันรณรงค์ต่อต้านสงครามโลกครั้งที่ 1 ในนามกลุ่ม สปาร์ตาซิสต์  ( *กลุ่มสปาร์ตาซิสต์ (spatarcist) เป็นกลุ่มกรรมกรในเยอรมันที่ประท้วงรัฐบาลเยอรมันสมัยนั้น ในการทําสงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วยความคิดที่ว่า ทหารที่ส่งไปรบก็คือ ประชาชน  สงครามเป็นการกระทําที่สนองตัณหาของรัฐบาล  แต่ประชาชนมีแต่ต้องสูญเสีย)

     ค.ศ.1918 ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกคนหนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์เยอรมัน และได้เป็นผู้แทนในสภาไรซ์สตัก (สภาผู้แทนของเยอรมันยุคนั้น)

     ค.ศ.1920-1932 สุนทรพจน์ครั้งสุดท้ายของคลาร่าในสภาเยอรมัน คลาร่าได้กล่าวโจมตี อดอฟ ฮิตเลอร์อย่างรุนแรง และเรียกร้องหาแนวร่วมที่จะช่วยกันต่อต้านพรรคนาซีเยอรมัน ซึ่งกําลังมีบทบาทอย่างสูงในการเมืองเยอรมัน

     ค.ศ.1933 พรรคนาซีเยอรมันได้ ประสบความสําเร็จในการยึดอํานาจทางการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จ และให้อํานาจทุกอย่างขึ้นอยู่กับท่านฟูเร่อร์ (ผู้นํา) คลาร่าจึงเป็นหนึ่งในนักการเมืองสายความคิดสังคมนิยม ที่ถูกกวาดล้าง จนต้อง
ลี้ภัยการเมืองไปใช้ชีวิตที่รัสเซีย และถึงแก่กรรมในปีเดียวกันนี้

     วันสตรีสากล มิเพียงแค่การเฉลิมฉลองเหมือนงานประเพณีที่มักทำติดต่อกันทุกปี หากจะเป็นการตระหนักร่วมและให้คุณค่าทางประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ของผู้ใช้ แรงงานหญิง และสืบทอดเจตนารมย์ที่ต้องการให้ผู้หญิงได้รับการปกป้องคุ้มครองให้ปลอดภัย จากความรุนแรง และยกระดับคุณภาพชีวิตในด้านต่างๆ ผู้ใช้แรงงานต้องได้รับการดูแลในด้านสวัสดิการ สุขภาพความปลอดภัยในการทำงาน รวมทั้งผู้หญิงต้องได้รับการปฏิบัติอย่างให้กียรติและเท่าเทียมในฐานะที่ ผู้หญิงก็เป็นสมาชิกหนึ่งในสังคมเช่นกัน

Google Doodle วันสตรีสากล 2012