THE NATURAL OF REVENGE: ปรัชญาชีวิต

วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2555

ปรัชญาชีวิต

 ๑.
ศิลปะแห่งการบริหารจัดการ คือ อะไร ก็ไม่รู้

ที่รู้ๆ คือว่า ความเหนื่อยข้างใน
มันอยู่ที่ มีปัจจัยหลายอย่างที่เราควบคุมไม่ได้
เช่น...
ความพร้อม หรือศักยภาพของคนแต่ละคน
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่เราควรกังวล
เรายังมีความเชื่อที่ว่า
คนเรา ต้องมีข้อผิดพลาด และบกพร่อง
มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะเพียบพร้อม
คน เรา เกิดมา เพื่อที่จะตัวเล็ก
สิ่งที่อยู่ในตัว และในใจต่างหากจะทำให้คนเติบโต
ไม่ใช่ตำแหน่ง
ไม่ใช่ฐานะ
ไม่ใช่ อำนาจ
ไม่ใช่การบริหารจัดการสิ่งใหญ่โต
ไม่ใช่การมีลูกน้อง
ไม่ใช่ การยกระดับตัวเอง

ถ้ายิ่งใหญ่ แต่ใจแคบ
คุณค่าต่อสังคม ไม่มี
คิดถึงแต่ตัวเอง
ก็ไม่ควรจะภูมิใจอะไรเลย...

----------------------------------------------
๒.
ถ้าชีวิตช่วงนี้เป็น เหมือนน้ำในแก้ว

มันก็อยากจะอยู่นิ่งๆ แล้วมีเวลาให้ตกตะกอนบ้าง
แต่เปล่า...
ดูเหมือนมันจะเป็นน้ำในแก้ว 
ที่ วางอยู่บนอะไรที่เคลื่อนไหวตลอดเวลา
ตะกอนที่ถูกแกว่ง มันก็ขลุ้งอยู่อย่างนั้น

รู้สึกตัวเองแปรปรวน-ขัดแย้ง
ยิ่งอยาก จะอยู่ให้นิ่ง...
แต่ก็เหมือนมีอะไรกระโดดโลดเต้นอยู่ในที
ตัวเอง จริงๆ ...คิด-รู้สึก อะไร แยกไม่ค่อยออก
เหมือนจะพอไหว
หรือจริงๆ แล้ว ไม่ไหว
เหมือนจะมี
แต่จริงๆ แล้วไม่มี
เหมือนเป็นของเรา
แต่ จริงๆ ไม่ใช่ของเรา
เหมือนมั่นคง
แต่จริงๆ ไม่เคยมั่นใจ

เหมือนเด็กที่พาตัวเองไปขึ้นเครื่องเล่น สูงๆ
สนุกสนานอยู่บนนั้นได้ไม่นาน
อยากลง...
แต่ไม่กล้ากระโดดลง
...

ความเงียบ...แม้ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น
แต่ ก็คงไม่ทำให้อะไรเลวร้ายขึ้น
ความรัก...ไม่มีใครรู้ดีเท่าตัวเราเอง
ความ เหงา...ไม่มีจริง...ถ้าไม่พูดออกมา

----------------------------------------------
๓.
ตอนบ่ายๆ ของวันนึง

รับ สายจากเสียงริงโทนที่ไม่มีโอกาสได้ดังมานานหลายเดือน
ใครคนนึง* โทร.มาบอกข่าวดีเกี่ยวกับตัวเค้า
นอกจากจะดีใจกับข่าวดีนั้น
เรายัง ดีใจ ที่ดูเหมือนกำแพงที่กั้นกันไว้ ค่อยๆ ลดระดับลงแล้ว
และจะดีใจ มาก...
ถ้าวันนึง เราจะยืนอยู่นระนาบเดียวกันได้โดยไม่มีกำแพงใดๆ

แต่ความจริง คือ
ความรู้สึกคนเรา เมื่อเปลี่ยนไปแล้ว
มันจะไม่มีทางเหมือนเดิมได้อีกเลย

...
ค้นพบวิธีการบางอย่าง
ที่จะพิสูจน์ตัว เองว่า มีความสามารถในการรักคนอื่น มากแค่ไหน
ดังนี้...

ถ้าอยากรู้ว่าตัวเอง รักแบบไม่หวังความรักตอบ หรือเปล่า
ให้ลองไปหลงรักเกย์ซักคน
และ...
ถ้า อยากรู้ว่าตัวเอง รักแบบต้องการครอบครองหรือไม่
ให้ลองไปรัก คนที่เค้ามีเจ้าของ

----------------------------------------------
๔.
จุดสิ้นสุดของความ คลุมเครือ
แล้วเราก็เดินออกมาอย่างคนที่เข้าใจทุกอย่าง
กระจ่าง และชัดเจน
เรารู้...เราเข้าใจอะไรมากกว่าที่ใครบางคนควรเข้าใจซะอีก

----------------------------------------------
๕.
ไม่ใช่ลืมได้

แต่ ไอ้เรื่องที่จำได้...มันทำร้ายเราเท่าเดิมไม่ได้
ก็แค่นั้น

----------------------------------------------
๖.
ความสุขสบาย ทำให้เรามักคิดว่าตัวเองลอยตัวอยู่เหนือปัญหา

ยิ่งเรามองไม่ เห็นหัวใคร
ไม่รับรู้ความทุกข์ร้อนของใคร
ยิ่งพยายามทำตัวสูงส่งมาก เท่าไหร่
สิ่งที่ได้ ยิ่งจะเป็นความต่ำต้อยในจิตใจมากเท่านั้น

----------------------------------------------
๗.
เวลาที่เรา อยากไปไหนก็ไป

เหนื่อย ก็กลับบ้านนอน
หิว ก็เดินออกไปหาอะไรกิน
เบื่อ ก็ไม่รับโทรศัพท์
คิดอะไรไม่ออก ก็หิ้วคอม.ออกมานั่งทำงานคนเดียว
ออนไลน์ แต่ไม่ทักใคร
บางที ก็ไม่มีใครทัก

ทำแบบนี้ เป็นคนที่มีอิสระ
หรือเป็นคน ที่ไม่มีใคร?

----------------------------------------------
๘.
ในวันที่เทคโนโลยี เติบโต

นักออกแบบต้องไม่ลืมว่า เทคโนโลยีต่างๆ
เป็นเพียง อุปกรณ์ และเครื่องทุ่นแรง
ไม่ใช่ปัจจัยในการออกแบบ หรือการสร้างงานศิลปะ

ต่อให้ไม่มีอุปกรณ์เช่น คอมพิวเตอร์ สแกนเนอร์ ปริ๊นเตอร์
นักออกแบบ ต้องใช้มือวาดรูป และใช้หัวใจดีไชน์

----------------------------------------------
๙.
เวลาที่พบว่าโลกนี้ ยังมีหนังดีๆ ให้ดู

มีเพลงเพราะๆ ให้ฟัง, มีหนังสือดีๆ ให้งาน
มี งานศิลปะให้คนได้เสพ
รู้สึกตัวเองโชคดีจริงๆ ที่ยังได้รับรู้ถึงสิ่งเหล่านี้

เมื่อไหร่ที่โลก ไม่มีเรื่องแบบนี้ให้สัมผัส
คนเราจะดำรงชีวิตแบบไหน???

----------------------------------------------
๑๐.
หนึ่งในความยากของ การเป็นผู้ใหญ่ (ขึ้น)
ก็คือ เราต้องรู้วิธีใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เราไม่ชอบหน้า
ความจริงที่ต้องระวัง ก็คือ
เมื่อไหร่ที่เราเกลียดใคร
พฤติกรรมของเรา ก็จะแย่ลงเรื่อยๆ
จิต ใจก็ตกต่ำ
เห็นเค้าทำอะไร ก็ขัดหูขัดตา
คนที่จะเป็นบ้า ก็คือ ตัวเอง

----------------------------------------------
๑๑.
อาจจะเพราะโตขึ้น

คน เรา ก็เลยด้านชากับอะไรมากขึ้น
เหมือนผู้ใหญ่ ที่ไม่ร้องไห้เวลาลูกโป่งลอยหลุดมือไป
ไม่ลนลาน เวลาทำจานแตก


ดี หรือไม่ดีก็ไม่รู้...
ถ้าคนเรา ไม่มีห้วใจ
มันอาจทำให้เจ็บน้อยลง...
แต่ก็มีความสุขยากขึ้น

รึเปล่านะ????
----------------------------------------------
๑๒.
จริงๆ แล้ว สิ่งที่น่ากลัว คือ การไม่แคร์

ค น ที่ เ ก ลี ย ด กั น
บาง ทีอาจทำร้ายกันได้ไม่มากเท่าการไม่แคร์

เราไม่เคยโดนใครตั้งใจทำร้าย เพราะเกลียดชัง
(หรือเคย แต่ไม่รู้วะ???)
แต่เรามักรู้สึกว่าถูกทำ ร้าย ก็ตรงที่เค้าไม่แคร์
เวลาที่รู้สึกว่ามีคนไม่แคร์
มันช่างเบา โหวง ตัวลีบเล็ก น่ารันทดเป็นที่สุด 

----------------------------------------------
๑๓.
เมื่อคืน นอนอ่านหนังสือของ "หนุ่มเมืองจันท์"

พูดถึง เจอรี่ ซักเกอร์ ผู้กำกับหนังเรื่อง Ghost (ที่แม่ชอบมาก)
เจอรี่ บอกว่า...
ให้ จินตนาการ
โลกใบนี้ ก็เหมือนน้ำในแก้ว
ที่มีเกลือปนอยู่เล็กน้อย
น้ำ จึงมีรสเค็ม...(แน่นอน ว่าคนคงไม่ชอบ)
วิธีแก้รสเค็ม มีอยู่สองทาง
๑. ค่อยๆ หยิบเกลือออกทีละเม็ด
หรือ ๒. เติมน้ำลงไปเยอะๆ จนความเค็มเจือจาง

แล้วถ้าเราเอามาเปรียบเป็นชีวิตล่ะ
เรื่อง แย่ๆ ในชีวิต ก็เหมือนเกลือ ที่อยู่ในน้ำนั่น
ถ้าเราไม่สามารถหยิบเกลือ ออกไปจากชีวิตของเราได้หมด
เราก็เปลี่ยนเป็นมาเติมน้ำ เติมกำลังใจ ให้ตัวเองดีกว่า
.
.
.
เดี๋ยวทุกข์ มันก็เจือจาง

----------------------------------------------
๑๔.
รู้สึกเหมือนตัวเอง เป็น Windows ที่เครื่องรวนๆ

อืด เนือย และเหนื่อย
มัวแต่ไป Run process อะไรที่ไม่ได้สำคัญต่อจิตใจเท่าไหร่

สุภาษิตจีนบอกไว้ว่า
"ถ้ามีเงิน 2 ตำลึง
1 ตำลึง ให้ซื้อข้าว อีก 1 ตำลึง ให้ซื้อดอกไม้"

ความอิ่มทำให้มีพลัง ความงาม ทำให้อยากมีชีวิต

ตอนนี้เริ่มซึ้ง
คนหมดแรง ไม่น่ากลัวเท่าคนหมดกำลังใจ
นอกจากจะซื้อดอกไม้...
เห็นทีต้องเอาเวลา มาปลูกดอกไม้เอง...ก็คงดี

----------------------------------------------
๑๕.
ถ้าเรารักมากพอ

เรา จะไม่กลัว ที่จะปล่อยให้เค้าเป็นอิสระ
เราจะอยากให้เค้ามีความสุข
.
.
.
ไม่ ว่าในความสุขนั้น จะมีเราอยู่ด้วยหรือไม่ก็ตาม

...

ไม่ธรรมชาติเท่าไหร่หรอก
แต่ก็พอทำ ได้...



ขอขอบคุณ http://sites.google.com/site/tjaruneethongaram

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น