THE NATURAL OF REVENGE: เรื่องประหลาดๆของชาวสุเมเรียน

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

เรื่องประหลาดๆของชาวสุเมเรียน

ดาวเคราะห์ดวงที่ 12 บางเวปเรียกว่า ดาวเคราะห์ดวงที่ 10 หรือเรียกว่า Planet X แต่ ชาวสุเมเรียน เรียกว่า Nibiru และชาวบาบิโลเนียน เรียกว่า Marduk โลกของเราเป็นหนึ่งในสมาชิกของระบบสุริยจักรวาล หรือ Solar System และพวกเราก็เรียนมาตั้งแต่หัวเท่ากะปอม(ภาษาอิสาน แปลว่ากิ้งก่าครับ J ) แล้วว่าระบบสุริยะมีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และมีบริวารเป็นดาวเคราะห์ทั้งสิ้น 9 ดวง แต่มีอยู่สองดวงคือเนปจูนและพลูโตที่มีอาการแปลกๆ นักดาราศาสตร์ใหญ่ทั้งหลายต่างก็กังขากันใหญ่ว่ามันจะมาจากอิทธิพลของดาว เคราะห์ดวงที่สิบหรือไม่?ก่อนจะว่ากันถึงดาวเคราะห์ดวงที่สิบ เรามาดูกันดีกว่าว่าอะไรเป็นจุดดลใจให้นักดาราศาสตร์เค้าเชื่อกันว่าระบบ สุริยะยังมีสมาชิกที่ค้นไม่พบอีกหนึ่งดวง เมื่อก่อนเค้าเชื่อกันว่าดาวเคราะห์ในระบบสุริยะมีกันแค่เจ็ดดวง(นับดวง จันทร์ด้วย) จนกระทั่งมีการค้นพบดาวยูเรนัสนั่นแหละครับ กระบวนการล่าดาวบริวารของดวงอาทิตย์จึงเกิดขึ้น เรามาดูรายละเอียดเล็กๆน้อยของมันดีกว่าในปี 1841 John Couch Adams เริ่มตะหงิดๆใจกับการโคจรแบบแปลกๆของดาวยูเรนัสคล้ายๆกับมีปฏิกิริยากับแรง ดึงดูดอะไรซักอย่าง จากการค้นพบของ Adams ทำให้หลายๆคนเริ่มค้นคว้าเรื่องนี้กันมากขึ้น ในปี 1845 เลอ วาริเยร์ (Urbain Le Verrier ) ได้เริ่มค้นหามันด้วยเช่นกันเพราะอาการของดาวยูเรนัสนี้ต้องเป็นผลมาจากแรง ดึงดูดของดาวเคราห์อีกซักดวงเป็นแน่ นั่นคือการนำมาของการค้นพบดาวเคราะห์ดวงที่แปด เนปจูนเดือนกันยายนปี 1846 เพียงหนึ่งสัปดาห์หลังมีการค้นพบดาวเนปจูน Le Verrier ยังคงสงสัยว่าน่าจะมีดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่มีอิทธิพลกับดางยูเรนัสแน่นอน ล่วงมาถึงเดือนตุลาคมปีเดียวกัน มีการค้นพบดวงจันทร์ขนาดยักษ์ที่เป็นดาวบริวารของดาวเคราะห์เนปจูน หลายคนคิดว่าตัวเองได้คำตอบเรื่องแรงดึงดูดกับดาวยูเรนัสแล้ว แต่มันจะไม่ง่ายไปหน่อยเร้อ?ในปี 1879 นักดาราศาสตร์ชื่อ Camille Flammarion ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า มันต้องมีดาวเคราะห์อีกซักดวงที่อยู่ถัดจากดาวเนปจูออกไปแน่ๆ โดยอาศัยการคำนวณเรื่องวงโคจรของดาวหางและอุกาบาตเป็นหลักเปอร์ซิวาล โลเวล เจ้าของงานเขียนเรื่องคลองบนดาวอังคารอันลือลั่น ได้เริ่มศึกษาและค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่ยังไม่มีการค้นพบอย่างเงียบๆในรัฐอริ โซนา โลเวลเรียกการค้นคว้าของเขาในครั้งนี้ว่า การค้นหา Planet X โลเวลพยายามหลายๆต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ด้วยความบังเอิญครับ เปอร์ซิวาล โลเวลของเราจับตำแหน่งดาวเคราะห์ที่ยังไม่มีใครรู้จักได้หลายครั้ง แต่นั่นเป็นเวลาก่อนที่จะค้นพบดาวพลูโต ใครๆเลยคิดกันว่าดาวที่โลเวลพบเป็นดาวพลูโตไปซะฉิบ (ดาวพลูโตถูกค้นพบในปี 1930)ปัจจุบัน ดร.โทมัส ซี แวน แฟลนเดิร์น แห่งราชนาวีสหรัฐ ได้ยืนยันถึงการศึกษาของทางราชนาวี และให้สมมุติฐานว่าน่าจะมีดาวเคราห์อีกดวงที่อยู่ถัดไปจากดาวพลูโตครับ เป็นดาวขนาดค่อนข้างใหญ่เสียด้วย นับเป็นเวลาร่วมสองร้อยปีแล้วหลังจากมีการค้นพบดาวพลูโต แม้ว่าปัจจุบันความรู้ทางดาราศาสตร์และการคำนวณของมนุษย์จะก้าวหน้าขึ้นมาก ก็ตาม แต่การค้นหาดาวเคราะห์บริวารที่เหลือก็ยังเป็นไปด้วยความยากลำบากเนื่อง จากระยะทางนั่นเอง บรรดานักดาราศาสตร์ต่างก็เรียกดาวดวงนี้ว่า Planet X ครับ มีมหกรรมการค้นหากันอย่างมโหฬาร แม้แต่องค์การใหญ่อย่างนาสาก็ยังตั้งกล้องดูดาวขนาดยักษ์ร่วมสังฆกรรมกับเขาน่าหัวเราะอะไรเช่นนี้ นักดาราศาสตร์ปัจจุบันค้นหาดาวเคราะห์ดวงที่สิบกันแทบตายแต่ชาวสุเมเรี่ยนสิ ครับ พวกเขารู้เรื่องนี้และได้บันทึกมันเอาไว้อย่างละเอียดละออในแผ่นจารึกดิน เหนียวเมื่อกว่าหกพันปีกว่าโน้นแน่ะ ดาวเคราะห์ดวงนั้นพวกเขาเรียกมันว่า Nibiru ครับ เป็นที่ๆพระเจ้าของชาวสุเมเรียนเคยอาศัยอยู่มาก่อน ตามจารึกของชาวสุเมเรียนบอกไว้ว่าสรวงสวรรค์ของพระเจ้าหรือ Nibiru นั้นโดนมังกรยักษ์ที่ชื่อ Tiamat รุกราน ไอ้เจ้าตำนานนี้แหละครับตัวดีนัก เมื่อนักวิทยาศาสตร์พากันวิเคราะห์มันอย่างละเอียดแล้วต่างก็พากันหนาวๆไป ตามๆกัน เพราะมันใช่ตำนานที่ไหนกันล่ะครับ มันเป็นบันทึกปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่ว่าด้วยการชนกันของดาวเคราะห์ต่าง หากหลังจากสุมหัวตีความกันพักใหญ่ก็ได้ผลสรุปออกมาว่า จารึกนี้กล่าวถึงดาวเคราะห์ขนาดยักษ์ที่ชื่อ Nibiru ด้วยเคราะห์กรรมหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ ดาว Nibiru ถูกพุ่งชนด้วยดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่ง ผลที่เกิดขึ้นคงรุนแรงมากจนทำให้ดาวเคราะห์อีกดวงนั้นป่นเป็นเศษเล็กเศษน้อย บางส่วนแพ้แรงดึงดูดของดวงอาทิตย์และกลายเป็นดาวเคราะห์น้อยโคจรรอบระบบ สุริยะ ซึ่งก็ตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันเป๊ะครับ กลุ่มของดาวเคราะห์น้อยที่อยู่หลังดาวพลูโตออกไป ชาวสุเมเรียนทราบได้อย่างไรกันว่ามีการชนกันของดวงดาวเกิดขึ้นครั้งล่าสุดที่มีการบักทึกไว้อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับ Planet X คงจะเป็นปี 1982 ครับ เมื่อเจ้าหน้าที่ขององค์การนาสาประกาศว่าค้นพบ "วัตถุลึกลับซึ่งคาดว่าจะเป็นดาวเคราะห์ในแถบบริเวณของดาวเคราะห์วงนอก" หนึ่งปีต่อมาหลังจากการยิงดาวเทียม IRAS (Infrared Astronomical Satellite) ขึ้นสู่วงโคจร เจ้าดาวเทียมนี้จับภาพวัตถุคล้ายดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ได้เล่นเอาฮือฮาไปตามๆ กันGerry Neugebauer หัวหน้าหน่วยวิจัย IRAS ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ว่า "เจ้าวัตถุที่ว่ามีขนาดใหญ่ยักษ์ยังกะดาวพฤหัส มันอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของดาวบริวารในระบบสุริยะ เราพบมันในทิศทางเดียวกับกลุ่มดาวนายพราน บอกได้อย่างเดียวครับว่าเราไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นอะไรกันแน่"แต่ชาวสุเมเรียนเค้าบอกได้ตั้งแต่หกพันที่แล้วมาแล้วล่ะครับว่า มันก็คือดาวเคราะห์ Nibiru ไงเล่าเกลอแก้วเอ๋ย จากภาพก็เค้านับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์รวมไปด้วยไงครับถึงได้ 12 ดวงจารึกทางดาราศาสตร์ของชาวสุเมเรียนโบราณ ได้พรรณาถึงดวงดาวในระบบสุริยะไว้อย่างละเอียด รวมไปถึงดาวเคราะห์อีกดวงหนึ่งที่ชื่อ Nibiru ด้วย ( Nibiru แปลว่า Planet of the crossing ครับ) จารึกนี้ตรงกับข้อเท็จจริงทางดาราศาสตร์ปัจจุบันเรื่อง Planet X เด๊ะเลยครับ โดยเฉพาะการค้นพบดาวขนาดยักษ์ในห้วงลึกของระบบสุริยะยิ่งยืนยันความสามารถ ของชาวสุเมเรียนโบราณถ้าดาวเคราะห์ดวงนี้มีจริงแล้วทำไมป่านนี้เรายังไม่ค้นพบกัน?ถ้าดาวเคราะห์ดวงที่สิบมีจริงแล้วทำไมป่านนี้เรายังไม่ค้นพบกัน? หลายท่านอาจจะถามผมแบบนี้ ทฤษฎีที่เป็นคำตอบมันมีอยู่ครับ แถมตรงกันทั้งในจารึกสุเมเรียนและหลักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เสียด้วย เพราะวงโคจรไงครับ จึงทำให้เราจับเจ้าดาวเคราะห์ดวงนี้ไม่ได้ซักที ก็มันดันโคจรเป็นวงรีนี่เองจึงทำให้ระยะระหว่าง Planet X จากดาวเคราะห์ดวงอื่นมันเลยห่างกันจนสุดกู่คิดดูนะครับ เราค้นพบดาวพลูโตเมื่อปี 1930 พร้อมกับข้อสงสัยเรื่องแรงกระทำระหว่างแรงดึงดูดของดาวเคราะห์วงนอก รวมทั้งเรื่องของที่มาดาวเคราะห์น้อย ในวงโคจรถัดจากดาวอังคาร แต่ชาวสุเมเรียนเค้ารู้กันมานมนานแล้ว ส่วนที่ว่าทำไมชาวสุเมเรียนจึงบอกว่าระบบสุริยะมีดาวอยู่สิบสองดวงนั้นผมจะ ค่อยๆอธิบายให้ฟังเดี๋ยวนี้แหละ อีกทฤษฎีหนึ่งซึ่งหลายคนอาจจะอ้าปากค้างเพราะความเป็นไปไม่ได้ของมัน แต่มันก็เป็นไปแล้วและยืนยันความสารถของบรรพชนเราก็คือการชนกันของดาว เคราะห์นี่แหละครับ ไม่ใช่ดาวอื่นไกลเลย เป็นโลกนี่แหละที่ชนกับ Planet X (หรือ Nibiru นั่นเอง) ก่อนคุยเรื่องนี้ขอทบทวนอะไรหน่อยละกัน ทุกคนที่เคยเรียนภูมิศาสตร์กันมาน่าจะเคยเรียนทฤษฎีที่ว่า ในสมัยที่โลกยังอายุเยาว์อยู่ แผ่นดินบนโลกนี้เคยติดกันอยู่เป็นทวีปเดียว ทฤษฎีนี้เพิ่งมาศึกษากันเมื่อร้อยกว่าปีมานี้แต่ชาวสุเมเรียนรู้ล่วงหน้าพวก เราถึงหกพันปี แถมมีแผนที่จารึกอยู่บนแผ่นดินเหนียวเสียด้วยการที่โลกแบ่งออกเป็นทวีปๆก็เพราะ Continental Drift หรือการเคลื่อนตัวของแผ่นดินนั่นเอง มันเป็นไปอย่าง ช้-า-ม-า-ก และค่อยเป็นค่อยไป จนกลายเป็นแผ่นดินที่พวกเราอาศัยอยู่ในปัจจุบัน หากดูแผนที่ดีๆเราจะสามารถเอาทวีปต่างๆมาต่อกันเป็นชิ้นเดียวได้เหมือนจิ๊ก ซอเลย ถึงั้นก็เถอะครับแผนที่ที่ต่อกันมันจะยังดูแหม่งๆคล้ายกับขาดอะไรไป นักภูมิศาสตร์ที่รู้สึกถึงเจ้าความแหม่งที่ว่าเลยพากันศึกษากันใหญ่และได้ ข้อสรุปที่น่าตกใจออกมาโลกเป็นเพียงดาวเคราะห์ที่มีครึ่งดวงครับ!!!! จริงเปล่าวะ....ครึ่งดวงจริงๆครับ เหมือนลูกบอลดินเผาที่โดนชนกระจุยหายไปส่วนหนึ่ง นักภูมิศาสตร์บางท่านบอกว่าหากสูบน้ำออกจากมหาสมุทรต่างๆได้หมด เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า โลกได้หลุดหายไปกระบิหนึ่ง และไอ้ส่วนที่เคยเป็นกระบิที่หายไปนั่นแหละคือมหาสุทรต่างๆในปัจจุบันแล้วเพราะอะไรล่ะโลกจึงหายไปกระบินึง? บางท่านอาจถามขึ้นมาอีก ภาพจำลองเหตุการในตอนที่ Planet X ปะทะกับโลกครับ ขอให้ดูภาพ The Meaning Of 12th Planet ประกอบด้วยชาวสุเมเรียนเค้าตอบให้ได้เสร็จสรรพเลยครับว่าทำไมจึงเป็นแบบนี้ พวกเค้าบันทึกเอาไว้ว่าโลกโดนดาว Nibiru เฉี่ยวเอาครับ ไม่มีบันทึกแน่ชัดว่านานเท่าไหร่แล้ว แต่ผลจากการกระทบไหล่ของดาวเคราะห์ทั้งสองน ี้ทำให้โลกของเราแหว่งไปส่วนหนึ่ง เศษชิ้นส่วนของดาวเคราะห์ทั้งสองกระจัดกระจายกลายเป็นวงแหวนดาวเคราะห์น้อย โคจรอยู่รอบดวงอาทิตย์(ดูแผนภาพประกอบ)Planet X และพระผู้สร้างเหตุที่ Planet X ผลุบๆโผล่ๆนั้นก็เพราะว่าวิถีโคจรของมันเหมือนดาวหางครับ เป็นวงรีแล้วก็กินเวลาค่อนข้างมากกว่าจะโคจรครบหนึ่งรอบ ในบันทึกของชาวเมโสโปเตเมียและคัมภีร์พันธสัญญาเก่าก็มีระบุไว้ครับถึงวง โคจรของดาวเคราะห์ดวงนี้ วงโคจรรอบหนึ่งของ Planet X (Nibiru) กินเวลาตั้ง 3600 ปีแน่ะกว่าจะครบรอบ รอบของวงโคจรนี้ชาวสุเมเรียนเรียกมันว่า Shar ครับAnunnaki พระเจ้าจาก Nibiru ผู้สร้างมนุษย์ตามพระคัมภีร์ไบเบิล มนุษย์คนแรกของโลกคืออาดัมครับ และมนุษย์คนที่สองถูกสร้างจากชิ้นส่วนของอาดัมอีกที เชื่อกันหรือไม่ว่าในบันทึกของชาวสุเมเรียนโบราณก็บันทึกเรื่องนี้เอาไว้ เหมือนกัน และที่น่าทึ่งกว่านั้นก็คือมีการกล่าวถึง DNA และการทำโคลนนิ่งด้วยปัจจุบัน เรื่องของการทำโคลนนิ่งและผสมเทียมเป็นเรื่องที่มนุษย์ทำได้และกำลังพัฒนา อยู่ แต่เชื่อกันหรือไม่ว่าชาวสุเมเรียนโบราณมีความรู้ในเรื่องนี้ล่วงหน้าพวกเรา ถึงหกพันกว่าปี ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆของขั้นตอนการผสมเทียมนะครับ คงพอจะทราบกันเลาๆว่ากรรมวิธีคือเอาสเปิร์มของเพศชายเข้าไปผสมกับไข่ จากนั้นก็เพาะเลี้ยงไว้ในหลอดแก้ว ปัญหาก็คือหากลักษณะของทารกที่ผสมออกมามีปัญหา นักวิทยาศาสตร์ก็จะทำการแก้ไขปัญหานั้นโดยอาจ Replanning ไข่ที่ผสมแล้วเสียใหม่ หรือไม่ก็ปรับปรุงโครงสร้างบางอย่าง(ซึ่งอาจจะรวมถึง DNA ด้วย) ในจากรึกแห่งชาวสุเมเรียนมีภาพอยู่ภาพหนึ่งซึ่งดูเผินๆเหมือนภาพการประกอบ พิธีทางศาสนา แต่นักวิชาการหลายท่านบอกว่า นี่แหละครับคือภาพของการผสมเทียมและการโคลนนิ่งมันจะเป็นปายด้ายยางง๊าย? โม้หรือเปล่าหลายท่านอาจจะว่าอย่างนี้ งั้นลองมองดูรูปด้านล่างนะฮะ มีสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของชาวสุเมเรียนที่เรียกว่า Enki มีลักษณะคล้ายงูสองตัวพันกระหวัดกันอยู่ และบางภาพที่เป็นรูปอะไรซักอย่างคล้ายริบบิ้นพันอยู่รอบงูสองตัว เป็นไงครับ นึกอะไรออกบ้างหรือยัง?ใช่แล้วครับ ภาพโบราณเมื่อหลายพันปีก่อนภาพนี้ ปัจจุบันเราใช้เป็นสัญญลักษณ์ทางการแพทย์ สัญญลักษณ์นี้แสดงถึงความรู้อันเป็นความลับการสร้างมนุษย์โดย Anununaki พระเจ้าจาก Nibiru อันไกลโพ้นเจ้ารูปงูเกี่ยวกระหวัดกันเนี่ยดูยังไงมันก็ภาพจำลองของครงสร้าง ไมโตคอนเดรียและ DNA ชัดๆ หรือใครมีความคิดเห็นเป็นอย่างอื่น? จาก http://www.dmc.tv/forum/index.php?showtopic=18940  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น