THE NATURAL OF REVENGE: จานบินยุคสงครามโลกครั้งที่ 2(ลองอ่านประกอบกับโพสต์ที่เเล้วดู)

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554

จานบินยุคสงครามโลกครั้งที่ 2(ลองอ่านประกอบกับโพสต์ที่เเล้วดู)

ลองอ่านเรื่องนี้ประกอบกับอาวุธของเยอรมันที่โพสต์ไว้ก่อนหน้านี่ดู
       ไม่กี่สัปดาห์หลังจากโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐที่เพิร์ล ฮาเบอร์ เรือดำน้ำญี่ปุ่นก็โผล่ขึ้นเหนือน้ำนอกชายฝั่งลอสแองเจลิสและใช้ปืนประจำ เรือระดมยิงบ่อน้ำมันแอลวูดซึ่งอยู่ห่างจากซานตา บาร์บารา ทางตะวันตกเฉียงเหนือ 12 ไมล์ นี่คือสัญญาณที่ทำให้ลอสแองเจลิสในช่วงเวลานั้นต้องตกอยู่ในภาวะเตรียมพร้อมรับมือการโจมตีจากเรือดำน้ำและเครื่องบินจากกองทัพอากาศญี่ปุ่น ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ แล้วในคืนวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1942 เวลา 02.25 น. หรือย่ำรุ่งของวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 1942 ลอสแองเจลิสก็อยู่ในความมืดมิด เสียงไซเรนดังกึกก้องนานถึง 38 นาที ปลุกชาวเมืองลอสแองเจลิสราว 3 ล้านคนให้ตื่นขึ้นมา ลอสแองเจลิสกำลังจะถูกโจมตีทางอากาศ สปอตไลท์หลายดวงจากกองพลปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 37 สาดส่องหาเป้าหมายอากาศยานที่บุกรุกได้เหนือภูเขาซานตา โมนิกา พลันปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานทุกกระบอกก็ระดมยิงทันที ทว่าไม่มีการยิงโต้ตอบหรือทิ้งระเบิดจากอากาศยานดังกล่าวเลย ที่สำคัญกระสุนปืนใหญ่จำนวน 1,430 นัดไม่สามารถทำอันตรายใดๆ แก่ยานผู้บุกรุกได้ สะเก็ดของกระสุนปืนได้ตกลงบนพื้นดินกิน บริเวณกว้างหลายไมล์และทำลายบ้านเรือนเสียหายหลายหลังและ มีผู้เสียชีวิต 6 คน จากสะเก็ดกระสุนปืนใหญ่ 3 คน และหัวใจวาย 3 คน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ภาพจาก www.realufos.net





ผู้เห็นเหตุการณ์จำนวนมากรายงานว่า ภาพอากาศยานที่สปอตไลท์จับไว้ได้นั้นไม่ใช่เครื่องบิน แต่มีรูปทรงกลม และเรืองแสงซึ่งไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อน ที่น่าฉงนใจก็คือกระสุนปืนใหญ่ที่พุ่งเข้าใส่อากาศยานผู้บุกรุกราวกับห่าฝน กลับทำอะไรมันไม่ได้


แรกทีเดียวบางคนคิดว่ามันเป็นเครื่องบินญี่ปุ่นที่มาทิ้งแฟล์เพื่อเป็นเป้าให้ฝูงบินทิ้งระเบิด แต่ต้องล้มเลิกความคิดนี้ไปเมื่อไม่มีฝูงบินทิ้งระเบิดตามมา

ตอนสายวันเดียวกันหน่วยบัญชาการกองทัพด้านตะวันตกได้ออกมาแถลงยืนยันทันทีว่า ปฏิบัติการระดมยิงเมื่อเวลาย่ำรุ่งเกิดจากการพบวัตถุบินที่ไม่ทราบว่าเป็นอะไรเหนือชายฝั่ง และศูนย์บัญชาการทหารในซานฟรานซิสโกก็ยืนยันเช่นกันว่ามีอากาศยานที่ไม่ทราบว่าเป็นอะไรบินอยู่ทางใต้ แต่กองทัพเรือที่วอชิงตันแถลงว่าเป็นการเตือนการโจมตีทางอากาศที่ผิดพลาดและก่อให้เกิดการตื่นตระหนก อย่างไรก็ตามได้แนะนำว่าควรย้ายโรงงานอุตสาหกรรมทางทหารบริเวณแนวชายฝั่งเข้าอยู่ด้านในเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีจากเรือดำน้ำญี่ปุ่นและเครื่องบิน ทิ้งระเบิด

หนังสือพิมพ์ แอล.เอ.ไทม์ พาดเป็นหัวข่าวใหญ่ของวัน
อะไร เกิดขึ้นกันแน่ ขณะที่หน่วยทหารในพื้นที่ยืนยันว่ามีอากาศยานผู้บุกรุกจริง แต่ทำไมกองทัพเรือที่วอชิงตันจึงปฏิเสธทั้งที่มีพยานหลักฐานทั้งพยานบุคคลใน สมัยนั้นเป็นจำนวนมาก และทั้งหลักฐานภาพถ่ายที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ลอสแองเจลิส ไทม์ ฉบับวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 1942 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสปอตไลท์จำนวน 8 ดวงจับภาพของอากาศยานรูปทรงกลมไว้ได้ และยังเห็นกระสุนปืนใหญ่จำนวนมากกำลังระเบิดบริเวณรอบๆยานด้วย

นี่คือเหตุการณ์หนึ่งในยุคของ "คลื่นยูเอฟโอยุคใหม่" ซึ่งเริ่มในทศวรรษที่ 1940 และกำลังถูกสืบสาวราวเรื่องเพื่อหาความจริง 

ภาพจาก www.ufoevidence.org
นักวิจัยได้ทำการสืบค้นเรื่องราวจากพยานบุคคลในช่วงเวลาดังกล่าวและพบ บุคคลที่น่าเชื่อถือสองคน พยานทั้งสองได้บอกเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ในคืนวันนั้น

คนแรกคือ แคธี สุภาพสตรีนักตบแต่งภายในและอาร์ติสต์ซึ่งทำงานร่วมกับฮอลลีวูดมานาน เธอเล่าว่าขณะยังเด็กเธออาศัยอยู่ทางตะวันตกของลอสแองเจลิส ไม่ไกลจาก ซานตา โมนิกา นัก ขณะนั้นเธอเป็นอาสาสมัครป้องกันภัยทางอากาศเหมือนคนอื่นๆ รุ่งสางของวันที่ 25 มกราคม 1942 เธอได้รับโทรศัพท์จากผู้บังคับหน่วยป้องกันภัยทางอากาศประจำพื้นที่ถามว่า เห็นวัตถุบินใกล้ๆ บ้านหรือไม่ แคธีรีบเดินไปที่หน้าต่างและมองออกไป

สิ่งที่เธอเห็นคืออากาศยานขนาดใหญ่สีเหลืองอ่อนซึ่งเธอไม่เคยเห็นมาก่อน แคธีเล่าต่อไปว่า ต่อจากนั้นหน่วยป้องกันภัยทางอากาศได้ฉายสปอตไลท์ค้นหามันและส่งเครื่องบินหลายลำออกทำการโจมตี (ซึ่งกองทัพอากาศปฏิเสธว่าไม่เคยส่งเครื่องบินออก ปฏิบัติการ) เครื่องบินได้ทำการระดมยิงอากาศยานลำนั้นนานถึงครึ่งชั่วโมงแต่ทว่าไม่สามารถทำความเสียหายแก่ยานได้และในที่สุดมันก็ได้บินหายลับไป

คนที่สองคือโปรเฟสเซอร์ สก๊อตต์ ลิตเติลตัน เขาเขียนบันทึกเหตุการณ์ไว้ว่า เขาเป็นพยานที่เห็นเหตุการณ์ที่ไม่มีวันลืมเลือน ขณะที่เขาอายุ 8 ขวบ ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่บริเวณหาดเฮอร์โมซา เมื่อเสียงไซเรนดังขึ้น พ่อของเขาก็ออกไปทำหน้าที่ร่วมกับทางการ ส่วนเขาและแม่อยู่กับบ้านและได้เห็นวัตถุเรืองแสงซึ่งสปอตแอล.. เอ๊ย สปอตไลท์ของหน่วยปืน ใหญ่ต่อสู้อากาศยานจับมันไว้ได้ วัตถุดังกล่าวบินอย่างช้าๆ เหนือทะเลจากตะวันตกเฉียงเหนือไปยังตะวันออกเฉียงใต้ และมุ่งหน้าเข้ามายังแผ่นดิน
หนือหาดรีดันโด หลังจากนั้นก็หายลับที่บริเวณภูเขาพาลอส เวอร์เดส

ภาพเนกาทีฟ ช่วยให้เห็นรูปร่างของวัตถุบินลึกลับได้อย่างชัดเจน
ลิตเติลตันเล่าต่อไปว่า เขาไม่แน่ใจว่าจะบอกลักษณะยานได้ถูกต้องนัก ยานที่เห็นมีขนาดเล็ก เรืองแสง รูปทรงของยานคล้ายกับขนมเปียกปูน มีแสงไฟดวงหนึ่ง และมีเพียงลำเดียว ไม่เหมือนกับรายงานของคนอื่นที่บอกว่ามีหลายลำ ที่สำคัญเขามั่นใจว่ามันคือยูเอฟโอ

นอกจากพยานบุคลแล้ว ได้มีการค้นพบเอกสารสำคัญสองฉบับซึ่งทำให้เหตุการณ์การรบทางอากาศเหนือลอสแองเจลิสน่าสนใจขึ้นมาไม่แพ้เหตุการณ์ เคเนธ อาร์โนล เห็นวัตถุบินลึกลับที่เขาเรียกว่า "จานบิน" และเหตุการณ์จานบินตกที่รอสเวลล์อันโด่งดังซึ่งเกิดขึ้น ในปี 1947

เอกสารฉบับแรกเป็นของประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดี รูสเวลต์

ประธานาธิบดี รูสเวลต์ได้มีหนังสือลับสุดยอดถึงประธานเสนาธิการทหาร นายพล จอร์จ ซี มาร์แชล หลังจากเหตุการณ์การรบทางอากาศที่ลอสแองเจลลิสเพียงสองวัน คือในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 1942 มีใจความว่า เขาได้พิจารณากำหนดให้กองทัพได้ครอบครองวัตถุที่มีความสำคัญมากต่อการพัฒนา อาวุธพิเศษและตกลงใจที่จะไม่แบ่งปันข้อมูลให้กับพันธมิตรคือสหภาพโซเวียต หลังจากได้ปรึกษากับ ดร.บุช และนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ เรื่องการหาหนทางใช้ "ความลับอะตอมมิค" ในทางปฎิบัติ โดยศึกษาจาก "เครื่องประดิษฐ์จากท้องฟ้า" แล้วเขาได้สั่งให้ ดร.บุช ดำเนินโครงการโดยเร็ว รูสเวลต์ย้ำว่าข้อมูลนี้มีความสำคัญสุดยอดต่อความเหนือกว่าของชาติและต้อง เป็นความลับของชาติด้วย

เอกสารฉบับที่สอง เป็นของนายพล จอร์จ ซี มาร์แชล นายพลมาร์แชลได้มีหนังสือลับสุดยอดถึงประธานาธิบดีรูสเวลต์ในวันที่ 5 มีนาคม 1942 โดยหัวหนังสือมีข้อความว่า "หน่วยปรากฏการณ์ระหว่างดวงดาว" ใจความของหนังสือฉบับนี้ระบุว่า กองทัพอากาศได้พบวัตถุบินที่คล้ายกันที่ ภูเขาซาน เบอร์นาร์ดิโน ทางตะวันออกของลอสแองเจลิสด้วย และอากาศยานลึกลับนี้ไม่ใช่เป็นของโลกเรา เป็นไปได้ว่ามันมาจากระหว่างดวงดาว

ภาพขยายให้เห็นขนาดของวัตถุบินลึกลับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น