THE NATURAL OF REVENGE: พระวิหารหลังที่ 1 (Solomon Temple)

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

พระวิหารหลังที่ 1 (Solomon Temple)


พระวิหารหลังที่ 1 (Solomon Temple) 

ในครั้งที่ผ่านได้นำเรื่อง “ใครคือ Anti-Christ” มานำเสนอซึ่งเป็นแนวคิด
และเหตุผลที่เป็นตามที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ 
ครั้งนี้จะขอนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับ “การสร้างพระวิหาร” ซึ่งเรื่องนี้เนื้อหา
นั้นจะสอดคล้องต่อจากเรื่อง “ใครคือ Anti-Christ” เพราะถ้า ดาน 
หรือ พงศ์พันธ์ของ เผ่าดาน เป็น Anti Christ ในการสร้างพระวิหารครั้งที่ 
นั้นเกี่ยวข้องกับคนของเผ่าดานโดยตรงอย่างเลี่ยงไม่ได้ พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่าง ชัดเจนว่า กษัตริย์เมืองไทระได้ส่งช่างฝีมือคนหนึ่งมาให้โซโลมอน
เพื่อทำการสร้างพระวิหารช่างฝีมือคนหนึ่ง กอปรด้วยความเข้าใจ คือหุราม
ที่ปรึกษาอาวุโส บุตรชายของหญิงคนเผ่าดาน บิดาของเขาเป็น
ชาวเมืองไทระ เขาชำนาญงานช่างทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์ เหล็ก 
หินและไม้ และทำงานช่างผ้าสีม่วง สีฟ้า ผ้าป่าน และผ้าสีแดงเข้ม 
และทำการแกะสลักทุกชนิดและสร้างตามแบบลวดลายใดๆ 
ที่จะกำหนดให้แก่เขา (พงศาวดาร 2:13-14) 
*หมายเหตุหุรามหรือฮีรามคนนี้ไม่ใช่คนเดียวกับหุรามหรือ
ฮีรามที่เป็นกษัตริย์เมืองไทระ แต่เป็นที่ปรึกษาอาวุโสของคนเผ่าดาน
ที่มีความชำนาญเรื่องงานช่าง...
King Solomon

ประมาณ 960 ปี ก่อนคริสตกาล พระวิหารหลังแรกถูกสร้างขึ้น 
โดยกษัตริย์ซาโลมอน
โดยก่อนที่จะสร้างพระวิหารหลังที่ นั้น ซาโลมอนได้มีการตกลง
ทำพันธสัญญาร่วมกันกับกษัตริย์เมืองไทระ คือ “ฮีราม” หรือ “หุราม” นั้นเอง
โดยทั้งสองได้มีการตกลงทำพันธสัญญาในลักษณะของ “สัญญาสันติภาพ”ระหว่างอิสราเอลและเมืองไทระ พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ว่า ฮีรามจึงได้จัดส่งไม้สนสีดาร์
 
และไม้สนสามใบให้แก่ซาโลมอน
 ตามที่พระองค์มีพระประสงค์ .. 
มีสันติภาพระหว่าง
 “ฮีราม” และ “ซาโลมอน” 

ทั้งสองก็ทรงกระทำสนธิสัญญากัน
 (1 พงศ์กษัตริย์ 5:11-12)
และพระเยโฮวาห์พระราชทานสติปัญญาแก่ซาโลมอน ดังที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ 
และมี
สันติภาพระหว่างฮีรามและซา
โลมอน และทั้งสองก็ทรงกระทำ
สนธิสัญญากัน
 (2 พงศาวดาร. 2:13


การสร้างพระวิหารหลังแรกนี้ถูกสร้างขึ้นบน “ภูเขาโมริยาห์” 
ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกับที่อับบราฮัมได้ถวายอิสอัคต่อพระเจ้า พระองค์ตรัสว่า 
"จงพาบุตรชายของเจ้าคืออิสอัค บุตรชายคนเดียวของเจ้าผู้ที่เจ้ารัก
ไปยังแผ่นดินโมริยาห์ และถวายเขาที่นั่นเป็นเครื่องเผาบูชา 
บนภูเขาลูกหนึ่งซึ่งเราจะบอกแก่เจ้า" (ปฐมกาล 22:2)

รูปนี้เป็นภาพของสถานที่สร้างพระวิหารหลังที่ โดยจะสังเกตว่า
เนินเขาลูกนี้จะลักษณะเหมือนอักษรหนึ่งในภาษาฮีบูร คือ  (Shin)
หรือ เชม แปลความหมาย คือ “นามของเราจะอยู่ที่นั้น”

ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสถานที่หนึ่งที่สำคัญของประเทศอิสราเอลนั้นคือ 
Dome of the Rock และเหตุผลที่สำคัญที่น่าสนใจเกี่ยวกับการสร้าง
พระวิหารบนภูเขาลูกนี้ ในพระคัมภีร์ได้บันทึกเกี่ยวกับคำอธิษฐานของโซโลมอน
ไว้ว่า “เพื่อว่าพระเนตรของพระองค์จะทรงลืมอยู่เหนือพระนิเวศนี้ ทั้งกลางคืน
และกลางวัน คือสถานที่ซึ่งพระองค์ได้ตรัสว่า `นามของเราจะอยู่ที่นั่น' 
เพื่อว่าพระองค์จะทรงสดับคำอธิษฐาน ซึ่งผู้รับใช้ของพระองค์จะได้อธิษฐาน
ตรงต่อสถานที่นี้ (1 พงศ์กษัตริย์ 1:29) จากคำอธิษฐานของโซโลมอน
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีความจำเป็นที่พระวิหารจะต้องถูกสร้างบนภูเขาแห่งนี้
เพื่อ “นามของเรา (พระเจ้า) จะอยู่ที่นั้น” 

*หมายเหตุพระวิหารหลังที่สองที่ถูกสร้างขึ้นโดย “กษัตริย์เฮโรด” 
ก็ยังถูกสร้างอยู่บนภูเขาแห่งนี้ และยังคงสืบเนื่องต่อไปในการสร้างพระวิหาร
หลังที่ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตด้วยเช่นกันก็ยังคงอยู่บนภูเขาโมริยาห์
แห่งนี้ต่อไป

สรุป การสร้างพระวิหารครั้งที่ นี้จึงไม่ได้ถูกสร้างโดยชนชาติอิสราเอล
อย่างแท้จริง แต่ถูกสร้างโดยคนต่างชาติ นั้นก็คือ     ฮีรามหรือหุราม 
(คนเผ่าดาน) ที่ชำนาญเรื่องการช่าง โดยมีโซโลมอนเป็นกษัตริย์
ผู้ควบคุมดูแลอีกต่อหนึ่งจนพระวิหารหลังแรกถูกสร้างสำเร็จในที่สุด

ต่อมาอาณาจักรถูกแบ่งเป็นสองส่วน หลังจากซาโลมอนสิ้นพระชนม์

"พระเยโฮวาห์ทรงกริ้วต่อซาโลมอน เพราะพระทัยของท่านได้หันไปเสียจาก
พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ได้ทรงปรากฏแก่ท่านสองครั้งแล้ว 10
และได้ทรงบัญชาท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่าท่านไม่ควรไปติดตามพระอื่น 
แต่ท่านมิได้รักษาพระบัญชาของพระเยโฮวาห์ 11เพราะฉะนั้นพระเยโฮวาห์ตรัส
กับซาโลมอนว่า "เนื่องด้วยเจ้าได้กระทำเช่นนี้ และเจ้ามิได้รักษาพันธสัญญา
ของเรา และกฎเกณฑ์ของเรา ซึ่งเราได้บัญชาเจ้าไว้ เราจะฉีกอาณาจักร
เสียจากเจ้าเป็นแน่และให้แก่ข้าราชการของเจ้า 12กระนั้นก็ดี
เพราะเห็นแก่ดาวิดบิดาของเจ้าเราจะไม่กระทำในวันเวลาของเจ้า 
แต่เราจะฉีกออกจากมือบุตรชายของเจ้า  13อย่างไรก็ดี เราจะไม่ฉีกเสียหมดอาณาจักร แต่เราจะให้ตระกูลหนึ่งแก่บุตรชายของเจ้า เพื่อเห็นแก่ดาวิด
ผู้รับใช้ของเรา และเพื่อเห็นแก่เยรูซาเล็มซึ่งเราได้เลือกไว้" 
(1 พงศ์กษัตริย์ 11:9-13)

ประมาณ 722-720 ปี ก่อนคริสตกาล อิสราเอล (10 เผ่า) ถูกโจมตี
และอัสซีเรียกวาดต้อนไปเป็นเชลย 

“ในรัชกาลของเปคาห์พระราชาแห่งอิสราเอล ทิกลัทปิเลเสอร์พระราชาแห่ง
อัสซีเรียได้ยกมา และยึดเมืองอิโยน เอเบล-เบธมาอาคาห์ ยาโนอาห์ คาเดช 
ฮาโซร์ กิเลอาด กาลิลี แผ่นดินนัฟทาลีทั้งหมด และกวาดต้อนประชาชน
เป็นเชลยไปยังอัสซีเรีย”  (2 พงศ์กษัตริย์ 15:29)

586 ปี ก่อนคริสตกาล อาณาจักรยูดาห์ ถูกโจมตีโดยบาบิโลน 
และพระวิหารหลังแรกถูกทำลาย 

“อยู่มาเนบูคัดเนสซาร์พระราชาแห่งบาบิโลน ได้ยกมาพร้อมกับกองทัพทั้งสิ้น
ของพระองค์เข้าสู้รบ กรุงเยรูซาเล็ม และล้อมกรุงนั้นไว้ และเขาทั้งหลาย
ได้สร้างเครื่องล้อมไว้รอบ.. ท่านได้เผาพระนิเวศของพระเจ้าเสีย 
และเผาพระราชวัง และเผาบ้านเรือนทั้งหมดของเยรูซาเล็ม 
ท่านเผาบ้านใหญ่ทุกหลังลงหมด ..ได้ทลายกำแพงรอบเยรูซาเล็มลง” 
(2 พงศ์กษัตริย์ 25:1)(9-10) 

538-515 ปี ก่อนคริสตกาล - “กษัตริย์ไซรัส” ออกพระราชกฤษฎีกา
อนุญาตให้ชาวยิว 50,000 คนกลับอิสราเอลได้ ซึ่งนำโดย 
“เศรุบบาเบล” และครั้งที่สอง นำโดย “เอสรา”

แล้วดาริอัสทรงออกกฤษฎีกา และทรงให้ค้นดูในบาบิโลน ในหอเก็บหนังสือ
ที่คลังราชทรัพย์ และในเอกบาทานาเมืองป้อมซึ่งอยู่ในมณฑลมีเดีย 
ได้พบหนังสือม้วนหนึ่งซึ่งมีข้อความเขียนอยู่ต่อไปนี้ บันทึกในปีต้นแห่ง
รัชกาลไซรัสพระราชาทรงออกกฤษฎีกาว่า เรื่องพระนิเวศของพระเจ้า
ที่เยรูซาเล็ม ให้สร้างพระนิเวศนั้นขึ้นใหม่” (เอสรา 6:1-3)

166-160 ปี ก่อนคริสตกาล - อิสราเอลถูกปกครองด้วยชาวกรีก 
และได้ทำให้ พระวิหารเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน

ในสมัยของอันทิโอกัส เอพิฟาเนส (ปี 167 ก่อน ค.ศ.) ท่านได้สร้างแท่นกราบไหว้บูชาพระซูสแห่งภูเขาโอลิมปัส ที่พระวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม และใช้หมูเป็นเครื่องบูชา (ดาเนียล.9:2711:3112:11) ทั้งพระซูสและหมูเป็นสิ่งสะอิดสะเอียน
ในสายพระเนตรพระเจ้า
เหตุการณ์ในทำนองเดียวกันนี้ได้เกิดขึ้นอีกเมื่อพวกโรมันได้นำเอารูปปั้นของ
จักรพรรดิคาลิกูล่า
เข้าไปในพระวิหารในปี ค.ศ.38 

หลังจากนั้นไม่นาน ก็เกิดการปฏิวัติโดย 
ยูดาส แมคคาบีน” และเกิดราชวงศ์
“ฮัชโมเนียน
 และพระวิหารได้รับการชำระ

(โปรดติดตามตอนต่อไป ในการสร้างพระวิหารที่ 2) 

ปล. ข้อมูลทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการสัมมนายุคสุดท้ายในกลุ่ม endtime 
ซึ่งผมได้มีโอกาสไปฟัง และรวบรวมข้อมูลเบื้องต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ขอขอบคุณ คุณอภิรักษ์ สอนพรินทร์ ผู้บรรยาย ที่ได้เอื้อเฟื้อข้อมูล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น