THE NATURAL OF REVENGE: เอาวิทยาศาสตร์มาอธิบายเรื่องผี

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เอาวิทยาศาสตร์มาอธิบายเรื่องผี


เอาวิทยาศาสตร์มาอธิบายเรื่องผี 












ปรากฏการณ์ทางวิญญาณ หรือที่เรียกกันว่า ผี นั้น ใช่ว่าจะเป็นเรื่องงมงายหรือไสยศาสตร์ แต่มันเป็นเรื่องที่วิทยาศาสตร์สามารถเขียนเป็นรายงานได้ และในที่สุดมันก็ออกมาเป็นผลงานของ ดร.โดนัลล์ จี.คาร์เพนเตอร์ นักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งสนใจเรื่อง ผีๆ


นับว่าเป็นเรื่องที่โง่เง่าที่สุด หากเราจะกล่าวว่า ผี กับ วิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องที่เข้ากันไม่ได้


ดร.คาร์เพนเตอร์ ได้ทำการวิเคราะห์มลภาวะทางฟิสิกส์ มีรายงานไปทั่วโลกและผลสรุปออกมาได้ว่า ถ้าผีจะมีตัวตน มันจะมีลักษณะเป็นไปตามกฎธรรมชาติ นั่นคือ ถ้าปรากฏตัวจะกินเนื้อที่ประมาณ 0.07 ลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นปริมาตรเฉลี่ยตามคนธรรมดา ที่มีน้ำหนักประมาณ 70 กิโลกรัม ซึ่งจะมีลักษณะมาตรฐาน ดังนี้


1. ปรากฏตัวในเวลากลางคืน ซึ่งการปรากฏตัวแต่ละครั้งกินเวลายาวนานประมาณ 2 วินาทีถึง 10 นาที แล้วก็จะหายตัวไป แต่สามารถปรากฏตัวขึ้นมาได้อีก


2. ผีสามารถปล่อยแสงสว่าง เรืองแสงในตัวเองได้ โดยมีความเข้มของแสงประมาณ 1-20 แรงเทียน (มันเท่าไหร่กันล่ะ?) จึงจะทำให้มนุษย์มองเห็นได้ ดร.แกบอกว่าผีจะเปล่งแสงออกมาเป็นแสงเรืองๆ (อย่างเช่นตอนมองเข้าไปในตึกร้างมืดๆ แต่สามารถเห็นใครได้อย่างชัดเจน อย่างที่ไม่น่าเป็นไปได้ในสถานการณ์ปกติ)


3. การปรากฏตัวของผีต้องมีเครื่องนุ่มห่มด้วย (จำไว้ ผีไม่ชอบเปลือยกายหรอก) และมักปรากฏเป็นภาพรางๆ โปร่งแสง (มองทะลุได้บ้าง) มีขนาดเล็กกว่าคนธรรมดาทั่วไป (ผีร่างเล็ก)


4. ผีจะปรากฏในสภาพที่หันหน้าให้กับคนที่พบเห็นเสมอ


5. ผีจะปรากฏตัวในสภาพของมนุษย์ ประมาณ 90% มีน้อยมากที่จะปรากฏในร่างของสัตว์


6. การปรากฏตัวของผีจะทำให้บรรยากาศโดยรอบมีอุณหภูมิลดลงโดยเฉียบพลัน เนื่องจากต้องดึงเอาพลังงานความร้อน ในบรรยากาศอย่างน้อย 60 จูลล์ เข้าไปสะสม ทำให้ตัวเองเปล่งแสงออกมาได้


7. มักจะมีเสียงหรือกลิ่นเกิดขึ้นพร้อมกันการปรากฏตัว (มักจะมากับกลิ่นธูปหรือกลิ่นเหม็นเน่า)


เพราะ ดร.คาร์เพนเตอร์ไม่เป็นที่รู้จักของคนโดยทั่วไป ทำให้จำเป็นต้องนำคำกล่าวของบุคคลผู้หนึ่งมาเอ่ยถึง เพื่อเพิ่มความมีน้ำหนักของ ปรากฏการณ์ผีๆ ซึ่งคนนั้นคือ นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะ หรือที่มีชื่อว่า อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ บุคคลที่น้อยคนนักจะไม่รู้จัก


ไอน์สไตน์เคยกล่าวว่า ผีก็แค่พลังงาน จะกลัวไปทำไม


ไอน์สไตน์เป็นผู้ที่ประกาศว่า สสารและพลังงานเป็นสิ่งที่ไม่สามารถสร้างขึ้นหรือทำลายลงได้ มันทำได้เพียงแต่เปลี่ยนสภาพจากแบบหนึ่งไปอีกแบบหนึ่งเท่านั้น


ร่างกายมนุษย์มีทั้งพลังงานไฟฟ้าและพลังงานเคมี สมองและประสาทของเราเต็มไปด้วยพลังงานไฟฟ้า ดังนั้นเมื่อมีใครสักคนเสียชีวิตลง ร่างกายค่อยๆเสื่อมสลาย จะเกิดอะไรขึ้นกับพลังงานไฟฟ้าของสมองและพลังงานเคมีของอวัยวะต่างๆ ที่เคยเผาไหม้และขับเคลื่อน ?


ตามกฎของไอน์สไตน์ พลังงานทุกอย่างไม่สามารถสูญสลายหายวับไปเฉยๆ พลังงานจะเปลี่ยนสภาพและยังคงอยู่ที่ใดที่หนึ่ง พลังงานจากร่างกายที่ดับสลายจะเปลี่ยนเป็นอะไรก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละบุคคล (เป็นผี เป็นดวงจิต เป็นวิญญาณหรือเป็นเพียงก๊าซ)


และมีนักวิทยาศาสตร์อีกคนหนึ่งที่เชื่อเรื่องวิญญาณอย่างจริงจัง คนๆนั้นชื่อ โทมัส อัลวา เอดิสัน ป๋าแห่งหลอดไฟนั่นเอง


ในบั้นปลายชีวิตเขามีการประดิษฐ์ชิ้นหนึ่งที่เป็นโครงการลับ (ว่าแต่ลับแล้วไปรู้มาได้ไงล่ะ) ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาทุ่มเทกับมันมาก หากแต่เวลาที่เขามีมันไม่พอที่จะทำให้มันสำเร็จ นั่นหมายความว่าเขาตายจากไปก่อน ซึ่งมันคือเครื่องที่ทำให้คนที่มีชีวิตติดต่อสื่อการและมองเห็นวิญญาณคนตายได้


เอดิสันเชื่อว่าวิญญาณถูกสร้างขึ้นมาด้วยอนุภาคที่เล็กจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ที่เขาเรียกว่า หน่วยชีวิต หน่วยชีวิตสามารถประกอบขึ้นใหม่ในรูปแบบใดก็ได้ และจะยังมีความทรงจำอันเดิม บุคลิกภาพแบบเดิม และไม่สามารถทำลายลงได้ ซึ่งเครื่องมือของเขาจะสามารถตรวจจับหน่วยชีวิตในสิ่งแวดล้อม และทำให้คนเป็นติดต่อกับคนตายได้ แต่อย่างที่บอก มันไม่สำเร็จเพราะเขามีเวลาน้อยจนเกินไป


และเพราะเหตุนี้ คนจำนวนมากถึงเห็นว่าเขาเป็นคนสติเฟื่อง ในขณะที่บางคนคิดว่าเขากำลังขับเคี่ยวกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าหลอดไฟ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น