THE NATURAL OF REVENGE

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2554


กลิ่นดอกไม้จากวิญญาณ กลางสนามรบ


เรื่องนี้เท้าความ ไปถึงการศึกษาสงคราม ระหว่างทหารอังกฤษ กับชาวซูลูในดินแดนกาฬทวีป ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ.1879 ในการรบครั้งนั้น ทหารอังกฤษมีน้อยกว่า นักรบเผ่าซูลูผู้ห้าวหาญไม่กลัวตาย ทางอังกฤษจึงต้องขอกำลังเพิ่มเติม และก็ได้รับมาสมใจ 
ทว่า ในจำนวนทหารอังกฤษที่ได้รับมาเสริมกำลังนั้น มีเจ้าชายอิมพีเรียลผู้เป็นราชโอรสของสมเด็จพระเจ้านโปเลียนที่สามแห่งฝรั่งเศส ซึ่งถูกเนรเทศตกบัลลังก์ไปแล้ว ร่วมขบวนมาด้วย พระมารดาของเจ้าชาย คือ อดีตพระจักรพรรดินียูเจนี ทรงแสนจะเป็นห่วงใยพระโอรสยิ่งนัก แต่ขัดพระทัยเจ้าชายซึ่งยังหนุ่มแน่นเต็มไปด้วยสายเลือดรักการผจญภัยโลดโผนไม่ได้ ต้องยอมปล่อยให้เจ้าชายเสด็จมารบในกองทัพอังกฤษด้วย

 
ความรักผจญภัยโลดโผนของเจ้าชายนั้น เห็นได้ชัดจากการที่ทรงออกหน้านำทหาร บุกเข้าใส่นักรบซูลู อันที่จริงในฐานะอย่างพระองค์ จะประทับอยู่ในส่วนที่ปลอดภัยที่สุดของกองทัพก็ได้ทุก ประการ แต่กลับขออนุญาตแม่ทัพอังกฤษเสด็จไปนำอยู่กองหน้า ครั้นได้รับอนุญาตก็เสด็จขึ้นหลังอาชาคู่พระทัยที่ชื่อ

"ชะตากรรม" (Fate) ออกนำหน้าทหารไปทันที...แล้วเจ้าม้าตัวนั้น ก็นำพระองค์ไปสู่ชะตากรรมสยองในไม่นานต่อมา 
เพราะเมื่อประจันหน้ากับกองทัพนักรบซูลูผู้ดุร้าย กระหายเลือด ที่ดาหน้าเข้ามาอย่างกระเหี้ยนกระหือรือนั้น ไม่รู้ว่าเจ้าม้า Fate เกิดตกใจอะไรเข้า มันเผ่นโผนขึ้นร้องเสียงดัง และสลัดองค์เจ้าชายร่วงลงจากหลังของมันในบัดดล

นาทีวิกฤติมาถึงในตอนนี้เอง เจ้าชายรีบลุกขึ้นพยายามจะขึ้นทรงม้า เพื่อหนีพวกซูลูที่ดาหน้าเข้ามาพร้อมด้วยหอกดาบในมือที่มีขนาดใหญ่น่ากลัว แต่ไม่ทันเสียแล้ว...ไม่กี่นาทีต่อมา พระวรกายของเจ้าชายอิมพีเรียลแห่งฝรั่งเศส และทหารคนสนิท ก็ทอดอยู่กลางพื้นสนามรบ ภายใต้คมหอกคมดาบของนักรบซูลูจนยับเยินไปเป็นที่น่าสยดสยอง

พระศพของเจ้าชาย ถูกนำส่งไปยังอังกฤษ ท่ามกลางความเศร้าสลดของพระญาติวงศ์ ทุกเสียงกล่าวเหมือนกันว่า หากพระองค์ไม่แสดงความกล้าหาญ ไม่กลัวภัยจนเกินไป ก็คงไม่สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังหนุ่มแน่นปานนี้เป็นแน่ อย่างไรก็ตาม พระจักรพรรดินียูเจนี ทรงรับพระศพโอรสไปทำพิธีฝัง อย่างสมพระเกียรติ ด้วยความสลด อาลัยเป็นยิ่งนัก

จนกระทั่งศึกซูลูยุติลงด้วยชัยชนะของฝ่ายอังกฤษ อย่างเด็ดขาดในปีต่อมานั่นเอง อดีตพระจักรพรรดินีจึงมีพระราชสาส์น ไปถึงสมเด็จพระราชินีนาถวิคตอเรียน แห่งอังกฤษ ขออนุญาตเสด็จไปยังดินแดนซูลู เพื่อทอดพระเนตรสนามรบตรง จุดที่พระราชโอรสสิ้นพระชนม์ อย่างสยองขวัญ

สมเด็จพระนางวิคตอเรียน ทรงพิจารณาแล้วก็มีพระบรมราชานุญาต ด้วยความเห็นพระทัยลึกซึ้ง อดีตพระจักรพรรดินียูเจนี จึงเสด็จพร้อมด้วยบริวารและนายทหารในกองทัพอังกฤษ ที่เคยรบซูลูเคียงข้างเจ้าชายเมื่อปีก่อน ตรงไปยังดินแดนที่เรียกว่า อิซานด์ลวานา อันเป็นสนามรบนองเลือด และทุกคนจำได้ดีว่าจุดที่เจ้าชายอิมพีเรียล ทรงล้มลงสิ้นพระชนม์นั้น มีก้อนหินใหญ่เป็นที่สังเกตอยู่ชัดเจน 
ทว่า เมื่อทุกคนไปถึงที่นั่น ก็ต้องผิดหวังไปตามๆ กัน เพราะว่าทุกหนแห่งของยุทธภูมิ ปกคลุมแน่นขนัดไปด้วยพงหญ้าและต้นไม้งอกขึ้นคลุมรกเรื้อ จนมองไม่เห็นเค้าของก้อนหินอันเป็นจุดสังเกตถึงบริเวณที่เจ้าชายสิ้นพระชนม์ ได้เลยแม้แต่เงา 
น่าสงสารพระจักรพรรดินี... พระนางเสด็จพระดำเนิน ด้วยพระบาทไปบนพื้นรกรุงรัง ด้วยความร้อนรนพระทัย ทันใดนั้น ผู้ตามเสด็จก็ได้ยินพระนาง ทรงร้องขึ้นด้วยสุรเสียงดังก้อง

"กลิ่นดอกไวโอเลต!... ฉันได้กลิ่นดอกไวโอเลต... มันเป็นดอกไม้ที่ลูกชอบมาตั้งแต่เล็ก!" 
ตรัสแล้วพระนางก็ทรงวิ่งไปยังจุดหนึ่ง ซึ่งกลิ่นดอกไวโอเลตระเหย ออกมาหอมกรุ่นได้กลิ่นกันทุกคน ทหารที่ตามเสด็จรีบคุ้ยพงหญ้า และไม้รกทึบตรงพื้นที่นั้นออกโดยเร็ว ไม่มีต้นไวโอเลตเลยสักต้นอยู่ตรงนั้น แต่กลิ่นหอมรวยรินออกมาตลอดเวลาที่พระจักรพรรดินี และข้าราชบริพารยืนรอทหารขุดคุ้ยพงหญ้า และแล้วไม่นานต่อมา ก้อนหินอันเป็นหลักให้สังเกตสถานที่สิ้นพระชนม์ ของเจ้าชายก็เผยพ้นพงหญ้าออกมา... มันตั้งอยู่ตรงจุดที่มีกลิ่นดอกไวโอเลตแรงจัดนั่นเอง! 
เรื่องนี้พิสูจน์ถึงอะไรกันแน่?

วิญญาณของเจ้าชายเสด็จมาชี้ทาง ให้พระมารดาได้พบสถานที่สิ้นพระชนม์ ของพระองค์เองจริง หรือว่าพระจักรพรรดินี ทรงเกิดอุปาทานไปเอง?

ถ้าเป็นไปในกรณีหลัง กลิ่นดอกไวโอเลตนั้นมาจากไหนล่ะคะ เพราะถ้าเกิดจากอุปาทาน ก็ทำไมข้าราชบริพารและทหาร ที่ตามเสด็จล้วนได้กลิ่นนั้นรวยริน มาจากจุดที่เจ้าชายล้มลงสิ้นพระชนม์ ด้วยกันทุกคน?

เรื่องนี้ถ้าจะมองให้เป็นปริศนา... ก็เป็นปริศนาเร้นลับเกี่ยวกับจิต และวิญญาณที่เรายังหยั่งไปไม่ถึง...



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น