THE NATURAL OF REVENGE: ยอดชู้รักแห่งประวัติศาสตร์

วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ยอดชู้รักแห่งประวัติศาสตร์


ยอดชู้รักแห่งประวัติศาสตร์


ในอดีตนั้น มีสตรีบางคน ที่สามารถสร้างตนเอง ให้ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ ด้วยการเกาะกุมหัวใจ ของบุรุษผู้มีอำนาจ แม้ว่าเธอจะเป็นเพียงคนรัก อย่างไม่เป็นทางการ ของบุรุษผู้นั้น สถานภาพของเธอ อาจเรียกได้ว่า สนมเอกชู้รัก คู่สวาทหรือกระทั่งนางบำเรอ แต่ประวัติศาสตร์ ก็ได้จารึกชื่อเสียง และความโด่งดังของเธอ ไว้ตลอดกาล 
คนแรกที่เราจะนำมาเล่าสู่กันฟังนั้น ทุกท่านคงรู้จักเธอดีคลีโอพัตรา (Cleopatra) นั่นเอง ย้อนกลับไปเมื่อ 51 ปีก่อน ค.ศ. เธอผู้นี้มีสัมพันธ์สวาทกับผู้นำของอาณาจักรโรมันถึง 2 คน

อันที่จริงรูปโฉมของคลีโอพัตรามิได้งดงามที่สุดแห่งเมืองอเล็กซาน-เดรียที่เธอปกครองอยู่ หากทว่าเธอมี “แท็กติก” ในการสร้างความประทับใจแก่บุรุษเพศที่เธอต้องการผูกมัดใจ

ชู้รักคนแรกของเธอคือ ซีซาร์ (Ceasar) ผู้เรืองอำนาจประดุจ จักรพรรดิของโรมัน เมื่อพบกันนั้นซีซาร์อายุ 52 ปี ในขณะที่คลีโอพัตราเพิ่งจะ 21 เท่านั้นเอง เธอถูกน้องชายผู้ขึ้นครองบัลลังก์ ขับไล่ออกจากอียิปต์ และต้องการหวนกลับไป ชิงแผ่นดินคืนมา ในการนี้เธอจำเป็นต้องขอ ความช่วยเหลือจากซีซาร์ 
วิธีการเข้าพบซีซาร์ของเธอนั้น ประวัติศาสตร์ไม่เคยลืมเลือน นั่นคือ เมื่อทาสผิวหมึกร่างกำยำ นำบรรณาการมามอบแด่ซีซาร์เป็นพรมม้วนใหญ่ ต่อหน้าซีซาร์กลางท้องพระโรงกรุงโรม เจ้าทาสทอดพรมผืนนั้นบนพื้น ร่างที่ม้วนกลิ้งออกจากพรมก็คือ โฉมงามคลีโอพัตรา เป็นภาพโรแมนติกอันสุดแสนตรึงใจต่อทุกคนในที่นั้น โดยเฉพาะซีซาร์ ผู้ชื่นชอบในอิสตรี

และแล้วซีซาร์ก็ส่งกองทัพไปพิชิตอียิปต์ คลีโอพัตราได้คืนสู่อำนาจ ทั้งสองครองรักร่วมกัน แม้ว่าซีซาร์จะมีภรรยาเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว คลีโอพัตราให้กำเนิดบุตรชายหนึ่งคนแก่ซีซาร์ 
หลังจากนั้น 3 ปี ซีซาร์ก็ถูกรุมสังหารกลางสภากรุงโรม คลีโอพัตราจึงต้องหาขั้วอำนาจมาคุ้มครองใหม่ เขาคือ มาร์ก แอนโธนีย์ ขุนผลผู้เก่งกล้าของโรม 
เมื่อแอนโธนีย์ไปเยือนอียิปต์ คลีโอพัตราจัดการต้อนรับเขาอย่างอลังการ นั่นคือ เชิญให้ เขาไปร่วมล่องเรือกัญญาสีทองวิจิตร ใบเรือสีม่วงส่วนเธอเอง ประดุจเทพีวีนัสทอดร่างอยู่บนแท่น มีเด็กชายในชุดคิวปิด หรือกามเทพตัวน้อยๆแวดล้อมแอนโธนีย์ เห็นแล้วตื่นตะลึงปานต้องมนตรา เขาตกอยู่ในห้วงเสน่ห์ ของเธอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

หากทว่า คู่แข่งคนสำคัญของแอนโธนีย์ คือ อ็อกตาเวียน ผู้ซึ่งจะได้เป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ของโรม ได้ยกทัพโรมันมาพิชิตอียิปต์ มาร์ก แอนโธนีย์ ฆ่าตัวตายด้วยสำคัญผิดว่า คลีโอพัตราเสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งที่จริงเธอเพียงถูกจับเป็นเชลยคลีโอพัตรา หวังใช้เสน่ห์ผูกใจอ็อกตาเวียนอีกคนหนึ่งแต่ไม่สำเร็จ เธอจึงอำลาโลกไปโดยใช้ งูพิษขบกัดที่ทรวงอก 
เป็นการปิดฉากโศกนาฏกรรมของสตรีทรงเสน่ห์ผู้หนึ่งของโลก 
ชู้รัก นามกระเดื่องคนที่สองได้แก่ มาดาม ปอมปาดัวร์ (Madame de Pompadour) แห่งฝรั่งเศสในสมัยศตวรรษที่ 18

ราชสำนักพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ในยุคนั้นเป็น สังคมของเชื้อพระวงศ์และขุนนางชั้นสูง แต่สาวน้อยปอมปาดัวร์ผู้มาจากครอบครัวราษฎรสามัญธรรมดา ทำอย่างไรจึงเข้ามามีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังราชบัลลังก์ได้ เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจ

อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศสตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา การที่กษัตริย์จะมีสนมเล็กสนมน้อยไว้เคียงข้าง เป็นสิ่งที่ยอมรับกัน สนมบางคนได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในตำแหน่ง Maitresse

วิธีการไต่เต้าสู่อำนาจของสาวน้อยปอมปาดัวร์ ก็ไม่แพ้คลีโอพัตรา 
นั่นคืนในงานแฟนซีสวมหน้ากาก กลางอุทยานพระราชวัง แวซายลส์ปี ค.ศ.1745 ปอม-ปาดัวร์ในวัย 24 ได้รับเชิญในฐานะบุตรีของคหบดี (ผู้กำลังล้มละลาย) เธอแต่งแฟนซีในชุดสาวเลี้ยงแกะ ส่วนพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ทรงแต่งองค์โดยการ เอากิ่งไม้ใบไม้มาประดับ พระวรกาย เมื่อทั้งสองได้ประสบ พบพักตร์ก็เกิด “ปิ๊ง” กันขึ้นในทันที แล้วปอมปาดัวร์ก็ได้เป็นคู่เชย ร่วมบรรจถรณ์ของพระราชาอย่างแนบแน่น

ทว่า 5 ปีต่อมา ความสัมพันธ์ทางเพศของทั้งสองก็จืดจางลง จะด้วยสาเหตุใดไม่แน่ชัด อาจด้วยปัญหาทางสุขภาพของปอมปาดัวร์ และทำให้เธอต้องมองหาหนทางที่จะยังคงอยู่ ในฐานะสนมคนสำคัญต่อไป

“แท็กติก” อย่างหนึ่งที่ปอมปาดัวร์นำมาใช้คือ สร้างภาพ ของเธอไว้ทุกหนแห่งในวัง แบบว่าไม่ว่าพระเจ้าหลุยส์ดำเนินไปที่ใดก็จะทอดเนตรเห็นสิ่งอันเป็นสัญลักษณ์ของปอมปาดัวร์ อาทิ ภาพเขียนรูปเหมือนของเธอที่ติดประดับแทบทุกผนัง ผ้าม่านทุกผืนที่แขวนนั้นเธอเป็นผู้เลือกหามา ถ้วยชามกระเบื้องต่างๆเป็นสิ่งที่เธอจัดสรร ไม่ว่าประทับอยู่ใดก็จะมีกลิ่นอายของเธอห้อมล้อมอยู่

ถัดมา ปอมปาดัวร์เริ่มมีอิทธิพลต่อนโยบายต่างประเทศของฝรั่งเศส รวมทั้งในวงการทหาร เธอเขียนจดหมายนับไม่ถ้วนถึงเหล่านายพล กระทั่งคนฝรั่งเศสแอบลือกันว่าเธอนี่แหละคือนายกรัฐมนตรีตัวจริง
เธอผันแปรจากสภาพของนางบำเรอไปสู่การเกาะกุมอำนาจ อันปราศจากการใช้กามารมณ์เป็นเครื่องมือ นับเป็นสิ่งที่แตกต่างไปจากเจ้าแม่ยั่วเมืองหรือสนมลับอื่นๆในประวัติศาสตร์

สนมเอกอีกหนึ่งนางที่มีเป้าหมาย ไม่เหมือนใคร คือ มิได้มุ่งหวังมีอำนาจ หากต้องการให้เชื้อสาย ของนางดำรงคงอยู่ อย่างมั่นคงและสูงส่ง สืบทอดแทนตนเองต่อไป เธอผู้นี้มีนามว่า เนลล์ กวีนน์ (Nell Gwynne) สนมของกษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ กลางศตวรรษที่ 17
ว่าไปแล้วเนลล์มาจากตระกูล ต่ำต้อยกว่าหญิงดังอื่นๆ เธออาศัยอยู่ในกรุงลอนดอนกับแม่ และโรสผู้เป็นน้องสาว แม่ของเธอเปิดซ่องโสเภณี โดยมีเธอกับโรสช่วยดูแลด้านบริการเครื่องดื่ม 
ปี ค.ศ.1661 สังคมอังกฤษเปิดโอกาสให้สตรีสามารถยึดอาชีพเต้นกินรำกินบนเวทีได้ เนลล์ไม่รอช้า ฉวยโอกาสนี้ทันที แต่เผอิญโชคไม่ดี ช่วงนั้นเกิดกาฬโรคระบาด แถมยังมีอัคคีภัยครั้งใหญ่เผากรุงลอนดอน กิจการบันเทิงจึงซบเซาลงไป และกลับมาฟื้นฟูขึ้นใหม่ในปี 1667 เนลล์โด่งดังอย่างรวดเร็วบนละครเวทียอดฮิตเรื่องTHE WEST END สมัยนั้นนางเอกละครจะมีบุรุษมากมายมาชื่นชมติดพันแล้วแต่ว่าพวกเธอจะเลือกใคร ที่มีฐานะร่ำรวยหรือสูงส่งไว้เป็นชู้รัก แต่ เนลล์คว้าเอาบุรุษสุดยอดของอังกฤษมาแนบกาย...กษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 2

การได้เป็นสนมเอกที่เปิดเผยของกษัตริย์แห่งอังกฤษ ทำให้ เนลล์ได้รับทุกสิ่งที่เธอปรารถนา เธอมีชีวิตอย่างหรูหราและมั่งคั่ง ใช้จ่ายเงินเทียบเท่าสมัยนี้ก็หลายล้านปอนด์ ซื้อหาเครื่องเพชร คฤหาสน์ เสื้อผ้าอาภรณ์ทุกชิ้นออกแบบและตัดเย็บเฉพาะเธอ เหนืออื่นใดเธอได้รับความชื่นชม จากวงการสังคมอย่างกว้างขวางต่างจากนางบำเรออื่นๆโดยสิ้นเชิง

และเมื่อเนลล์มีบุตรชาย 2 คน เธอก็เลิกสนใจในสมบัติทรัพย์สิน แต่มองไปถึงสถานภาพ และเกียรติยศที่ทายาท ของเธอพึงได้รับ

เมื่อลูกชายคนโตอายุได้ 6 ขวบ เธอเรียกเขาต่อหน้าชาร์ลส์ว่า “มานี่ไอ้ลูกไม่มีพ่อ” เล่นเอาชาร์ลส์ ทรงสะดุ้งและทักท้วง เธอจึงทูลชี้แจงว่า ก็ไม่รู้จะเรียกอย่างไรนี่นา ด้วยเหตุนี้ในมิช้า บุตรคนโตของเธอ จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็น เอิร์ลแห่งเบอร์ฟอร์ด และเลื่อนขึ้นเป็น บารอนเฮดดิงตัน จนสุดท้ายได้เป็นถึง ดยุคแห่งเซนต์ อัลบานส์ 
เนลล์นั้นเป็นเพียงสนมผู้เดียวในสนมสำคัญ 3 นาง ที่มิได้รับยศถาบรรดาศักดิ์อันเนื่องจากชาติตระกูลต้อยต่ำของเธอ หากแต่เธอได้สร้างฐานะตำแหน่งให้แก่ทายาท จนปัจจุบันนี้มีเหลนโหลนของเธอปรากฏอยู่ในวงสังคมชั้นสูงของอังกฤษถึงกว่า 2,000 คน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น